9 ต.ค. 2021 เวลา 13:00 • ไลฟ์สไตล์
ปกาเกอะญอ และสิ่งถักทอ เครื่องนุ่งห่ม
“ต่ากิหน่อแชะ ลอเลอะทีนี
ต่ากิหน่อทึ ลอเส่อกวี”
“แม้ทอผ้าอยู่ข้างลำธาร นงคราญเธอก็ช่างสร้างสรรค์ ลายน้ำใสที่ไหลผ่าน เธอก็เสกสรรค์ได้งาม…ตามริ้วลาย”
ความตอนหนึ่งในบทธาปกาเกอะญอที่ผู้ชายใช้ร้องเกี้ยวและเยินยอสตรี ได้แสดงให้เห็นถึงบทบาทและศักยภาพของผู้หญิง ที่สามารถนำสิ่งต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในธรรมชาติมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายบนพื้นผ้าได้ ประหนึ่งจะเปรียบเปรยว่า ขนาดเรื่องยากๆ อย่างการลอกเลียนแบบธรรมชาติลงมาไว้ในผืนผ้า พวกเธอยังทำได้ นับประสาอะไรกับการใช้ชีวิตหาอยู่หากิน ก็คงจะไม่เกินมือของพวกเธอ
สุวิชาน พัฒนาไพรวัลย์ ได้กล่าวว่า บนผืนผ้าทอโดยเฉพาะเชซู (เชซู คือเสื้อตัวสั้นสีดำของสตรีที่แต่งงานแล้ว ครึ่งตัวบนโล่ง ครึ่งล่างทอและปักลวดลายต่างๆ เป็นพื้นที่ทางสังคมของผู้หญิงปกาเกอะญอในการที่จะ 1) เป็นพื้นที่นำเสนออัตลักษณ์ตัวตนใน 3 ระดับ คือ ระดับปัจเจก ระดับกลุ่ม และระดับชนเผ่า 2) เป็นพื้นที่แสดงพลังการเป็นผู้สร้างผู้ผลิตของสตรีและ 3) เป็นพื้นที่สร้างสรรค์ทางศิลปะของสตรี
เป็นที่ทราบกันดีว่า เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มนับเป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับมวลมนุษยชาติ เป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่คนเราจำเป็นต้องมี ต้องใช้ ต้องสวมใส่ รูปแบบและวัสดุเส้นใย ก็แตกต่างกันไปตามสภาพพื้นที่ สภาพภูมิอากาศและบริบททางด้านทรัพยากร ณ ที่แห่งนั้น เริ่มแรกเริ่มเดิมทีก็ใช้เพียงเพื่อปกคลุมป้องกันร้อนหนาวแดดลมฝน ต่อมาก็พัฒนาปรับปรุงขึ้นเพื่อให้เกิดความงามเป็นที่พอใจของผู้สวมใส่ ความคิดความเชื่อหลายสิ่งถูกถ่ายทอดลงไปยังผืนผ้า เริ่มมีการสร้างเอกลักษณ์รายละเอียดแสดงตัวตนของแต่ละเผ่าพันธุ์
เคยมีเรื่องเล่าในประวัติศาสตร์ยุคสมัยที่มีการลบพรุ่งระหว่างกลุ่มชน บุรุษได้กำชับกับสตรีไว้ว่าจะอย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้พวกเธอสวมใส่แต่งตัวตามแบบฉบับเผ่าพันธุ์ แม้ถูกจับไปเป็นเชลยที่ไหน ก็ขอให้ยังสวมใส่ หากพวกผู้ชายตามไปกอบกู้หรือไปช่วยเหลือจะได้รู้ว่า ใครเป็นคนของใคร จะได้พาหนีกลับออกมาถูกคน
จึงเห็นได้ว่านอกจากจะใช้สวมใส่เพื่อปกคลุมร่างกายแล้ว เสื้อผ้ายังมีหน้าที่อื่นๆ อีกอย่างหลากหลาย เป็นเช่นนี้ในเกือบทุกกลุ่มชาติพันธุ์ ไม่เว้นแม้แต่ในหมู่ชาวกะเหรี่ยงชาวปกาเกอะญอ การผลิตเสื้อผ้าของชาวห้วยตองก็อเองก็มีความน่าสนใจในแง่ที่นอกเหนือจากการผลิตไว้ใช้ในวิถีชีวิต ยังมีการผลิตขึ้นในหลากหลายวัตถุประสงค์ มีการพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ตามการเติบโตของสังคมภายนอกและการวิวัฒน์จากภายใน
รูปแบบการใช้ผ้าของคนห้วยตองก๊อ คนปกาเกอะญอ บ้านห้วยตองก๊อ มีความผูกพันกับการใช้ผ้าตั้งแต่เกิดจนตาย ตั้งแต่นุ่งห่มกันลมกันหนาว ใช้ทั้งในพิธีกรรม ใช้เป็นเครื่องมือในการหาอยู่หากินต่างๆ อย่างหลากหลาย มีทั้งประโยชน์ใช้สอย คติความเชื่อและความงดงามชนิดที่ไม่ต้องตั้งคำถาม
เชวา : ชุดยาวสีขาวของหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงาน
เชวาเป็นเสื้อของเด็กหญิง ใส่แบบนี้ไปจนถึงเป็นหญิงสาวก่อนที่จะแต่งงาน ด้วยเป็นวัยที่กำลังเติบโตเป็นสาว จึงเป็นช่วงที่ต้องมีความระมัดระวังในการแต่งกายมากที่สุด เชแปลว่า เสื้อ วา แปลว่า ขาว ซึ่งหมายถึงหญิงสาวบริสุทธิ์นั่นเอง
ลักษณะของเชวาจะเป็นชุดยาวถึงข้อเท้า พื้นเป็นสีขาว มีการทอสีแดงไว้บริเวณขอบเสื้อ ทั้งแขน คอ และชายเสื้อชายกระโปรง ลายแถบสีแดงนี้ หมายถึง การป้องกันสิ่งที่ไม่ดีและสิ่งชั่วร้ายเข้ามาหาตัวหญิงสาว รวมถึงปกป้องไม่ให้ผู้ชายมาจับเนื้อต้องตัว ห้ามล่วงล้ำเข้ามาเกินแถบสีแดงนี้ ผู้หญิงปกาเกอะญอ จะสวมใส่เสื้อเชวาจนกว่าจะแต่งงาน จึงเปลี่ยนไปสวมชุด “เชซู” จากนั้นจะไม่สามารถกลับมาใส่เสื้อเชวาได้อีกต่อไป หากใส่จะเกิดเรื่องไม่ดี ต้องทำพิธีแก้ไข
ปัจจุบันการทอเชวามีความหลากหลายของลวดลายและสีสันมากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเกิดจากจินตนาการของผู้ทอ ฝีมือและความชื่นชอบส่วนตัวของผู้ทอที่เป็นเจ้าของเสื้อตัวนั้นๆ
เชซู : เสื้อของเจ้าสาวและหญิงที่แต่งงานแล้ว
ในวันแต่งงานเจ้าสาวจะแต่งสองชุด คือ เชวา หรือชุดยาวสีขาวโพกหัวด้วยโข่เผล่อกิในช่วงแรกของพิธี และต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสวมเชซู หรือเสื้อดำ นุ่งผ้าซิ่น (หนี่) โพกหัวด้วยโข่เผล่อกิ เพื่อเข้าสู่พิธีต่อไป
เชซู หรือแปลว่า เสื้อสีดำ เช แปลว่า เสื้อ ส่วน ชู แปลว่า สีดำ เชซูจะเป็นเสื้อตัวสั้นเพียงระดับเอวหรือคลุมสะโพก ในอดีตอาจยาวเกือบถึงเข่า จึงต้องนุ่งห่มร่วมกับผ้าซิ่น การที่ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเปลี่ยนจากสวมชุดยาวมาสวมเสื้อสั้นร่วมกับผ้าซิ่น เพื่อความสะดวกในการให้นมบุตร
เชซู จะเป็นเสื้อที่ทอเป็นพื้นสีเข้มจนออกสีดำ (ในอดีตจะย้อมด้วยห้อมเป็นสีน้ำเงินเข้มจนเป็นสีดำ) แล้วทอหรือปักลวดลายด้วยด้ายสีสันสดใส ในช่วงครึ่งตัวล่าง คนปกาเกอะญอ เชื่อว่าผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะมีภาระต่างๆ มีรายละเอียดในชีวิต ที่ต้องใส่ใจดูแลเพิ่มมากขึ้น จึงเหมือนกับลวดลายมากมายที่ทอที่ปักอยู่บนเสื้อ ขณะเดียวกันชีวิตหลังการแต่งงานก็จะไม่สดใสเหมือนกับตอนเป็นเด็กสาวแล้ว เหมือนกับสีดำบนตัวเสื้อโดยมีความเชื่อว่าฝ้ายสีดำจะช่วยปกป้องกันภัยอันตรายที่จะมาถึงตัวและคนในครอบครัว
เชซู จะมี 2 ลักษณะ คือ เสื้อดำที่ทอลายหรือปักลายเฉยๆ เรียกว่า “เซกิ” ส่วนเสื้อดำที่ทอลายปักลาย แล้วปักตกแต่งด้วย “เบอะ” หรือ “ลูกเดือยหิน” จะเรียกว่า “เชเบอะ” เชซูที่จะใช้สำหรับพิธีแต่งงาน คนห้วยตองก๊อบอกว่า จะต้องเป็นเชเบอะเท่านั้น เพราะคนปกาเกอะญอ เชื่อว่า เบอะ เป็นตัวแทนของเมล็ดพันธุ์ หญิงที่แต่งงานแล้วจะต้องให้กำเนิดเผ่าพันธุ์ของคนปกาเกอะญอ อีกทั้งผู้หญิงยังมีหน้าที่เก็บเมล็ดพันธุ์ เพื่อเพาะปลูกหล่อเลี้ยงชีวิตและครอบครัว การปักลูกเดือยไว้บนเชซู ที่เรียกว่า เชเบอะ จึงเป็นเครื่องเตือนใจของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว ฉะนั้นในวันแต่งงานจะต้องสวมเชเบอะเท่านั้น สวมผ้าซิ่นมัดหมี่ โพกศีรษะด้วยโข่เผ่อกิ
เชซูที่จะใช้ในงานแต่งงาน ว่าที่เจ้าสาวจะเป็นคนทอเตรียมไว้ และเมื่อแต่งงานแล้วแม่สามีอาจจะให้เสื้อเชซูผืนงามเป็นของรับขวัญ ฉะนั้นเมื่อเธอแต่งงานแล้ว นอกจากจะทอผ้าให้ตัวเองให้สามีและลูกๆ สวมใส่แล้ว หากมีลูกชายเธอจะต้องถอดเก็บไว้ เพื่อเป็นของรับขวัญให้กับลูกสะใภ้ โดยเสื้อปักผืนงามลูกสะใภ้ มักจะหยิบขึ้นมาสวมใส่ในโอกาสพิเศษ ไม่ให้เก่าหรือขาดเสียหาย เพื่อจะส่งต่อให้กับลูกหลานเป็นมรดกตกทอดต่อไป
ลวดลายผ้าห้วยตองก๊อ (ต่ากิต่าโกย)
ลายผ้าของบ้านห้วยตองก๊อสามารถจำแนกออกได้เป็น 4 แบบ ตามลักษณะของเทคนิคที่ทำให้เกิดลวดลาย คือ 1) ลายผ้าทอ (ต่าทากิ) 2) ลายผ้าปัก (ต่าชะกิ) 3) ลายปะติดปะต่อผ้า (ต่าเดาะหล่อ) 4) ลายเย็บเพลาะต่อผ้า (ต่าชะตี่ต่าอาโต) โดยลวดลายต่างๆมีดังต่อไปนี้
ลายผ้าปัก (ต่าชะกิ)
ถือเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างหนึ่งของผ้าปกาเกอะญอ โดยส่วนมากแล้วจะทำการปักลายบนเชซู หรือเสื้อแม่บ้านด้วยกายภาพที่มีการปักลวดลายหลากสีสันหลายเทคนิคลงบนผืนผ้าสีเข้ม ขับให้ลายปักมีความโดดเด่นสวยงาม รวมถึงลวดลายทั้งหลายที่แฝงไปด้วยความเชื่อเบื้องหลังมากมาย อีกทั้งคุณค่าและมูลค่าที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ ทักษะและเวลาที่ใช้ปักถักทอ ส่งผลให้ผ้าปกาเกอะญอ มีความโดดเด่นในแวดวงสิ่งทอของกลุ่มชาติพันธ์ุในประเทศไทย
ที่บ้านห้วยตองก๊อและพี่น้องปกาเกอะญอในบริเวณเดียวกัน มีการใช้ลายปักร่วมกัน แต่อาจจะมีความแตกต่างกันบ้างในเรื่องของชื่อเรียกและความหมายเบื้องหลังของลวดลาย โดยลายผ้าปักของปกาเกอะญอ สามารถจำแนกเป็น 1) ลายปักด้าย 2) ลายปักเดือย 3) ลายปักแบบภาพรวมของเสื้อ
แม่ลายสามเหลี่ยม ลายโยห่อกือ หรือลายเกล็ดนิ่ม
แม่ลายสามเหลี่ยม ชาวห้วยตองก๊อใช้ลายโยห่อกือหรือลายเกล็ดนิ่ม เป็นอีกหนึ่งลายปักจากตำนานงูใหญ่ เมื่อแสงแดดส่องลงมากระทบตามลำตัวของงูใหญ่ ทำให้สีของเกล็ดงู แลดูเป็นแผ่นๆ ซ้อนกันคล้ายกับเกล็ดของตัวนิ่ม หรือโยห่อ ตามชื่อท้องถิ่นคนปกาเกอะญอในสมัยก่อนสังเกตุเห็น จึงจดจำและนำมาปักเป็นลายผ้า ปัจจุบันเรียกชื่อลายนี้ว่าโยห่อกือ
การปักลายโยห่อกือ หรือแม่ลายสามเหลี่ยมของปกาเกอะญอ จะตัดออกเป็นแก่นกลางของสามเหลี่ยมเสมอ แบ่งออกเป็นสองฝั่ง ลักษณะเหมือนต้นสน
ลายดอกไม้และลายสมัยใหม่อื่นๆ
ลวดลายผ้าแต่ละลายส่งต่อผ่านการเดินทางของกาลเวลา แต่ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ไม่เคยจบสิ้น ดอกไม้ ใบหญ้า ท้องฟ้า สายฝน กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับสตรีปกาเกอะญอ สร้างสรรค์ลวดลายใหม่ไว้บนผืนผ้า ทั้งเพื่อสนองจินตนาการอันสดใหม่ สร้างตัวตนใหม่ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ บางลวดลายอาจได้รับความนิยม และอาจจะถูกส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป ถูกบันทึกเป็นแม่แบบแม่ลายในอนาคตข้างหน้าก็เป็นได้
2) ลายลูกเดือย
ลูกเดือย เป็นธัญพืชในตระกูลหญ้าชนิดหนึ่งที่มีหลายสายพันธุ์ มีทั้งที่บริโภคได้และไม่ได้ “เบอะ” หรือลูกเดือยหิน พบมากในภาคเหนือโดยเฉพาะบนภูเขาสูง ลำต้นไม่สูงมาก เป็นลูกเดือยชนิดที่ไม่นำมารับประทาน เนื่องจากมีแป้งน้อย เปลือกหุ้มมีความแข็งมาก ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อทำเครื่องประดับ เนื่องจากเปลือกมันวาว และมีหลายสีคนปกาเกอะญอ นิยมนำมาปักลงบนเสื้อเชซู ร่วมกับการปักลายด้วยด้ายสี เรียกเสื้อที่ปักลูกเดือยหินนี้ว่า “เชเบอะ”
ลูกเดือยหินมีหลายชนิดที่นำมาใช้ปักผ้า เช่น เบอะพะทอ (ลูกเดือยเม็ดยาว) เบอะวอหมะ (ลูกเดือยเม็ดกลาง) เบอะเปอะเหลอะ (ลูกเดือยเม็ดป้อม) เบอะนาทีวา (ลูกเดือยเจ้าน้ำขาว) เบอะนาทีซู (ลูกเดือยเจ้าน้ำดำ)
คนปกาเกอะญอมีความเชื่อว่า เบอะ คือ แม่ของข้าวทั้งปวง จึงปลูกต้นเดือยไว้ในไร่หมุนเวียน เพื่อดูแลข้าวเหนียวได้ให้ได้ผลผลิตดี เมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จแล้วจะเกี่ยวเบอะกลับไปไว้ที่บ้าน เพื่อไว้ปักเสื้อเชเบอะ แสดงสัญลักษณ์ของความเป็นแม่ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าเบอะบางชนิด ช่วยปกป้องคุ้มครองผู้สวมใส่ เช่น เบอะนาทีหรือลูกเดือยเจ้าน้ำ จะคุ้มครองให้ปลอดภัยจากผีน้ำผีป่า แม่บ้านปกาเกอะญอ จึงปักลูกเดือยไว้บนเสื้อที่ตัวเองสวมใส่
โดยส่วนใหญ่แล้วการปักลูกเดือยหรือเบอะ ลงในเสื้อเชเบอะนั้น สามารถปักร่วมได้ทั้งกับลายปักและหลายทอ ซึ่งการปักลูกเดือยนั้น ก็มีชื่อเรียกลายต่างๆด้วยเช่นกัน
ลายเดือยบวก หรือ โจกอเด
คล้ายกับการปักเดือย ลายฉุ่ยข่อหลอ มักเลือกเดือยเม็ดยาวมาปัก วางคู่กันสองเม็ดเพียงแต่เปลี่ยนจากปักเป็นเครื่องหมายคูณมาเป็นเครื่องหมายบวก และไม่มีปักด้ายตรงกลาง ไม่จำเป็นต้องปักด้ายรอบๆ เป็นรูปร่างใดแน่นอน ขึ้นอยู่กับบริบทของงลายอื่นๆ ที่อยู่รายรอบ นิยมปักเพื่อสร้างจุดสนใจบนพื้นผ้า เช่นเดียวกับลายฉุ่ยข่อหลอและลายทีข่า แต่ไม่นิยมปักลายต่อลายปูพรมไปได้ทั้งผืนผ้า
ลายดาวแฉก หรือ เบอะฉ่า
ลายดาวแฉก เป็นลายรูปร่างกลม เพราะนำเดือยเม็ดยาว เม็ดปานกลาง หรือเม็ดป้อม 8 เม็ด มาปักเรียงแผ่รัศมีออกจากจุดศูนย์กลาง ถ้าเป็นเดือยเม็ดยาวหรือเม็ดปานกลาง สามารถปักให้หัวเดือยชิดกันได้เลย ขณะที่เดือยเม็ดป้อมจะต้องปักด้ายด้วยลายวงกลมก่อน แล้วปักเดือยเม็ดป้อมรายล้อมแผ่รังสีออกมา การปักลายดาวแฉก มักใช้ปักแทรกแซมไปกับลายอื่นๆ เพื่อสร้างจุดเด่นหรือสร้างสมดุลให้กับลายอื่นๆ เช่น ลายเก่อเปเผล่อ ลายดอกไม้ เป็นต้น
ลายโยห่อกือ หรือ ลายเกล็ดนิ่ม
มีความเชื่อว่า หากสตรีคนไหนสวมเสื้อปักลายนี้จะแข็งแรง ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเนื่องจากเกล็ดของตัวนิ่ม ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรค เมื่อปักลายสามเหลี่ยมที่คล้ายเกล็ดนิ่มลงบนเสื้อ ก็จะนำมาซึ่งพลานามัยที่สมบูรณ์แก่ผู้สวมใส่
ลายเก่อเปเผล่อ
เป็นตัวแทนของความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในครอบครัว ทั้งระดับครัวเรือน และในระดับสังคมปกาเกอะญอ ดูจากลายจะเห็นการเชื่อมวงกลมทั้ง 8 ไว้ด้วยกัน ผ่านสายใย ลายเส้น หรืออะโบคิ ไม่ว่าจะอยู่ห่างกันอย่างไร เราก็คือครอบครัวเราก็คือปกาเกอะญอ เชื่อมต่อโยงใยถึงกันเสมอ
Cr. หนังสือต่าบึ๊ ต่าทา เรื่องราวบนผืนผ้าปะกาเกอะญอ ห้วยตองก๊อ
โฆษณา