10 ต.ค. 2021 เวลา 09:59 • ท่องเที่ยว
Turkey (11) .. เมืองเอฟฟิซุส (City of Ephesus).. หยุดเวลาไว้ที่ตุรกี
ตุรกี .. เป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในจุดเชื่อมต่อทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป ซี่งเรียกกันว่า “เอเซียไมเนอร์” (Asia Monor) นอกจากนี้ ตุรกียังมีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า 5000 ปี โดยเฉพาะในยุคที่โรมันเรืองอำนาจ ถึงขนาดมาตั้งอาณาจักรโรมันตะวันออกขึ้นที่นครอิสตันบูลเลยทีเดียว
ประวัติศาสตร์โลกได้จารึกไว้ถึงอำนาจบารมีระหว่างอาณาจักรโบราณกรีก โรมัน และอียิปต์ ผ่านการทำศึกสงคราม และสร้างสรรค์ศิลปะวัฒนธรรมให้เกิดบนแผ่นดินเมดิเตอร์เรเนียนมาแล้วนับพันปีก่อนคริสตศักราช
ตุรกี .. จึงเป็นประเทศที่มีแหล่งมรดกโลก (World Heritage Sites) ที่ได้รับการประกทศจากยูเนสโกแล้วถึง 18 แห่ง และมีอีกมากถึง 77 แห่งที่มีศักยภาพสำหรับการขึ้นทะเบียนในอนาคต
นครเอเฟซุส ก่อเกิดแต่ก่อนยุคคริสตกาล ... เติบโตในยุคของกรีกรุ่งเรืองในยุคโรมันสมัยจักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ (Augustus Caesar) ผู้มีชัยเหนือมาร์กุส อันโตนิอุส (Marcus Antonius) หรือที่รู้จักกันในนามมาร์ก แอนโทนี (Marc Antony) ชู้รักของพระนางคลีโอพัตรา (Clopatra) และได้สถาปนาให้เป็นเมืองหลวงของเขตการปกครองในเอเซีย
เอเฟซุส ยิ่งใหญ่และงดงามจนกระทั่งจารในจารึกว่า “มหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเซีย”
.. จูเลียส ซีซาร์ ปฐมกษัตริย์โรมันผู้ทรงอำนาจในสมัยก่อนคริสตกาล สามารถขยายดินแดนเหนือแผ่นดินยุโรป กลับมาสิ้นพระชนม์ด้วยมือสังหารซึ่งเป็นคนใกล้ชิด ที่มีชื่อว่า บรูตัส กับ คัสซิอุส .. และสองมือมีด ก็มาหลบซ่อนตัวอยู่ที่เมืองเอเซฟซุส
.. หน้าประวัติศาสตร์ยังบอกไว้อีกว่า พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ มหาราชแห่งกรีกโบราณ เมื่อพระชนม์มายุได้ 22 พรรษา ก็เคยเสด็จมาที่เอเซฟซุส ทรงสร้างวิหารสํกดิ์สิทธิ์ที่โดนไฟไหม้จากน้ำมือของ เฮรอสตาตุส (Herostatus) ด้วยอยากมีชื่อจารึกให้จดจำในหน้าประวัติศาสตร์
เมืองเอเซฟซุส ไม่ปรากฎที่มาแน่ชัด แต่สันนิษฐานกันว่า ... มาจากคำว่า “Apapas” ซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในอนาโตเลียตอนกลาง ซึ่งมีตำนานเล่าขานกันมาว่า .. เจ้าหญิงนักรบเผ่าอเมซอนสร้างเมืองนี้ในช่วงก่อนคริสตกาล หลักฐานจากรูปสลักนูนสูงบนทับหลังที่พบในวิหารเอเดรียน
.. อีกตำนานกล่าวว่า เจ้าชายอันโดรคลุส (Androclus) แห่งเอเธนส์เป็นผู้สร้าง เมื่อมีเหตุให้ไปสร้างเมืองตามคำทำนายของเทพอพอลโล ทรงเดินทางลงเรือมาทางทะเลอีเจี้ยน ไปยังดินแดนอนาโตเลีย จนมาพบกับเรื่องราวตามคำทำนายว่า หมูป่าและปลา จะบอกสถานที่แห่งนั้นให้กับ อันโดรคลุส
อันโดรคลุส พาทหารมาขึ้นฝั่งอนาโตเลีย .. ขณะก่อไฟย่างปลาอยู่นั้น ก็มีหมูป่าโผล่ออกมาจากพุ่มไม้ ตรงกับคำทำนาย จึงได้ควบม้าตามไปสังหารหมูป่า สถานที่นั้นจึงได้กลายเป็น เมืองเอเซฟซุส ซึ่งตำนานนี้มีสลักไว้ที่วิหารฮาเดรียน (Harian Tapinagi หรือ Temple of Hadrian)
เอเซฟซุส ตั้งอยู่บนทำเลที่มียุทธศาสตร์ที่ดีเยี่ยม .. มีภูเขา 2 ลูกขนาบข้าง คือ Mount Coressus และ Mount Pion ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นทะเลอีเจี้ยน เกิดเป็นปราการธรรมชาติ ข้าศึกเข้าโจมตีได้ยาก
อย่างไรก็ตามยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าเอเฟซุสถือกำเนิดขึ้นในสมัยใด แต่นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นราวศตวรรษที่ 14 ก่อนคริสตกาล
จากนั้นอีกหลายพันปีต่อมา .. กรีกและโรมันได้เข้ายึดครองต่อกันตามลำดับ และเจริญสูงสุดในสมัยการปกครองของโรมัน ในสมัยของจักรพรรดิออกุสตุส ซีซาร์ เป็นเมืองใหญ่ที่สวยงามที่ได้ชื่อว่า “มหานครแห่งแรกและยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเซีย”
เมืองนี้ได้รับอารยธรรมของกรีกและโรมันแอย่างเต็มที่ ... ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 เอเฟซุสภายใต้การปกครองของโรมันเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เป็นเมืองใหญ่ที่สุด 1 ใน 5 ของโรมัน และใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีพลเมืองมากกว่า 250,000 คนเลยทีเดียว .. และ Ephesus ได้รับการสถาปนา ขึ้นเป็นเมืองหลวงโรมันตะวันออก
Ephesus ... เคยเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูสุดขีดในโลกยุคโบราณช่วงศตวรรษที่ 6 BC ที่เคยมีการล่องเรือค้าขายไปยังโรมในอิตาลี เอเธนส์ในกรีก และเมืองท่าอเล็กซานเดรียทางตอนเหนือของอียิปต์ .. Ephesus จึงเป็นเมืองท่าสำคัญบนคาบสมุทรอนาโตเลียไปโดยปริยาย
แต่...เมื่อมีสูงสุดย่อมก็ย่อมมีเสื่อมโทรม หลังจากนั้นเอเฟซุสก็ถูก แผ่นดินไหว โรคระบาด สงคราม และกาลเวลากลืนกินหายไป
กระทั่งปี ค.ศ.1860 นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ตามด้วยเยอรมัน และออสเตรียน ขุดค้นเจอซากของเมืองที่ช่วงนั้นมีเพียงเสาต้นเดียวโผล่ขึ้นมากลางทุ่งโล่ง จากนั้นจึงมีการขุดค้นเรื่อยมา
.. การขุดค้นทางโบราณคดีพบว่า หลายส่วนของเมืองโบราณแห่งนี้ในยุคกรีกโรมันยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ถึงสมบูรณ์มาก แล้วเอเฟซุสก็ถูกปลุกตื่นจากหลับใหลกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์แห่งอารยธรรมกรีก-โรมันอันสุดคลาสสิคที่ยังคงอยู่คู่กับตุรกี ทำให้ในแต่ละวันมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมงานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม รวมไปถึงความเชื่อต่างๆ
Ephesus ... ในปัจจุบัน เป็นโบราณสถานอยู่ในเมือง เซลจุค (Selcuk) เมืองอิชเมียร์ (Izmir : เป็นเมืองที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งด้านตะวันตกของ อนาโตเลีย ใหญ่เป็นอันดับสาม รองจากอิสตุนบูล และอังการา เป็นศูนย์กลางที่สำคัญทางด้านพาณิชย์และการท่องเที่ยวทางตอนใต้) ริมทะเลอีเจี้ยน อายุราว 2 พันปี ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ และมีร่องรอยอารยธรรมที่เก่าแก่ ถือว่าเป็นเมืองเก่าที่มีสภาพสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆในยุคเดียวกัน
ตัวเมืองโบราณ Ephesus มีขนาดใหญ่โตมาก .. การเข้าสู่เขตเมืองโบราณเอเซฟซุสผ่านได้ 3 ประตู .. เราเริ่มต้นที่ประตูเมือง
.. ที่หน้าประตูมีสถานอาบน้ำสาธารณะ Varius Baths เพื่อให้ชาวเมืองชำระร่างกายให้สะอาดก่อนเข้าเมือง .. ในยามนี้เหลือเพียงซาก ที่เคยเป็นห้องอาบน้ำร้อน น้ำเย็น ห้องพิเศษสำหรับเศรษฐี ขุนนาง เพื่อใช้พูดคุยเรื่องเศรษฐกิจ การเมือง
.. จากนั้นจะพบกับถนน Curetes Street ซึ่งเป็นถนนโบราณใจกลางเมือง ถนนสายหลักนี้ปูพื้นด้วยแผ่นหินอ่อนแบบโรมัน ที่วางเรียงแผ่นสูงต่ำอย่างได้จังหวะ สัดส่วนรูปทรงอิสระ .. โดยมีซากอาคารบ้านเรือน วิหาร โรงละคร และโรงอาบน้ำ เรียงรายอยู่ทั้งสองฟากฝั่งของถนน จินตนาการได้ไม่ยากว่า ในช่วง 10 ปีก่อนคริสต์ศักราช เมื่อเมืองนี้สร้างขึ้นใหม่ๆ จะมีผู้คนนับหมื่น นับแสน และเรือสินค้าน้อยใหญ่นับพันลำเข้ามาจอดเทียบท่า และย่านตลาดกลางเมือง (Agora) จะคึกคักแค่ไหน
Relief of Hermes (3rd century AD)
แต่ละก้าวที่เราเดิน เหมือนเรากำลังดิ่งลึกลงไปในภวังค์ .. ผ่านเข้าไปในม่านของประวัติศาสตร์ที่คอยเล่นซ่อนหา .. ล่อหลอกให้เราเข้าไปค้นหาให้พบกับความจริงของเรื่องราวในอดีตที่ตกหล่นหายไปกับกาลเวลา
เข้าเขตเมืองเก่าไปได้ไม่เท่าไหร่ ... เราก็เจอกับโอเดียน (Odeum) ตั้งตระหง่านโดดเด่น มีลักษณะโค้งครึ่งวงกลมไล่เสต็ปขึ้นไป สามารถจุคนได้ราว 1400 คน .. ในอดีตที่แห่งนี้นอกจากใช้ชมการแสดงดนตรีแล้วยังใช้เป็นที่ประชุมสภาเมือง ในปัจจุบันนักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปถ่ายรูปกันอย่างจุใจ อีกด้วย
ด้านหน้าเป็นที่ตั้งของ The Basilica
ใกล้ๆกับ โอเดียน มี วิหารแห่งไฟนิรันดร์ “ไพทานอน” (Prytanelon) .. เป็นสัญลักษณ์ของเมือง ในสมัยโบราณจะมีคนที่ทำหน้าที่มิให้ไฟในวิหารนี้ดับ
The Domitian Square และ The Memmius Monument (1st century)…
ประตูเฮอคิวลิส (Hercules gate).. เป็นจุดเริ่มต้นของถนน Curetes Street สร้างในสมัยศตวรรษที่ 2 มีรูปสลักนูนของเฮราคิสห่มหนังสิงโต ยืนขนาบสองข้างของประตู
ด้านหน้าอาคารหลังหนึ่ง .. มีแผ่นโมเสกที่มีลวดลายน่าหลงใหล ยังคงมีรอยภาพสีจางๆ หินสลักบนหัวเสาถูกวางซ้อนๆกันอยุ่ รูปสลักหินเป็นใบหน้าคนในสภาพแตกหักแหว่งวิ่น ไม่มีส่วนของความสมบูรณ์ บางชิ้นเหลือแค่เพียงบางส่วนของเศษชิ้นสลักลวงดลายสวยงาม บ้างเป็นแผ่นหินรูปโค้งประตู .. พอจะเห็นเป็นร่องรอยของภาพชีวิตจริงในเมืองโบราณ
ตลอดถนนสายนี้มีเรื่องราวและวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยนั้น ซึ่งเราจะเห็นผ่านสถาปัตยกรรมที่หลงเหลืออยู่ ซากปรักหักพังสิ่งก่อสร้างเมื่อกว่าสองพันปีที่แล้ว ... แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่และเสน่ห์ อาจจะเป็นเพราะสถาปัตยกรรมคลาสสิกแบบกรีก-โรมัน ที่ใช้หินอ่อนสีขาวเป็นวัสดุ ประกอบกับการสลักลวดลายจำหลักหินที่วิจิตร จึงทำให้ Ephesusมีความงามที่ข้ามกาลเวลา
เราเดินผ่านถนนเล็กๆที่ฝั่งขวาเรียงรายไปด้วยดงเสาแบบกรีกยุคคลาสสิค มีทั้งที่เกือบสมบูรณ์และหักพังตั้งสลับกันไป
Temple of Domitian … วิหารโดมิเทียน สร้างขึ้นเพื่อถวายจักรพรรดิ โดมิทินัส
จัตุรัสโดมิเชียน (Domitian) ... บริเวณนี้มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างด้วยกัน เช่น .. แท่นบูชาแบบโรมัน ส่วนที่เด่นกว่าใครก็เห็นจะเป็นรูปสลัก ‘ไนกี’ เทพธิดาแห่งชัยชนะที่แม้จะแตกหักไปเสี้ยวหนึ่งแต่รูปที่เหลือนั้นถือว่าค่อนข้างสมบูรณ์ทีเดียว
น้ำพุทราจัน (Fountain of Trojan ) … เป็นบ่อน้ำสะอาด ให้ประชาชนชาวเอพิซุส ดื่มกิน
จัตุรัสโดมิเชียนยังเป็นจุดเชื่อมเมืองอันสำคัญ ... จากจุดนี้จะมีถนนคูเรตีส (Curetes) เป็นถนนหลักกลางเมืองที่ทอดยาวลดระดับไปตามสภาพพื้นที่ ซึ่งบนถนนสายนี้มีวิหารฮาเดรียนเป็นจุดชวนชมสำคัญ
วิหารฮาเดรียน (Hadrian) สร้างขึ้นราว ค.ศ. 138 ปัจจุบันเหลือเพียงส่วนด้านหน้าประตูโค้งของอาคารเท่านั้น ยอดประตูโค้งมีรูปสลักครึ่งตัวของเทพธิดาไตคี ซึ่งเป็นเทพธิดาประจำเมือง แต่ด้วยองค์ประกอบของความงามที่ยังเหลืออยู่ก็ทำให้วิหารแห่งนี้น่าชมเป็นอย่างยิ่ง ..
โดยเฉพาะรูปสลักต่างๆไม่ว่าจะเป็นรูปสลักเรื่องราวการสร้างเมืองเอเฟซุส หรือรูปสลักนางเมดูซ่าทั้งบนซุ้มโค้งด้านหน้าในที่หน้ามุขด้านใน ..เวลามองต้องระวังนะคะ เพราะว่าอาจจะกลายเป็นหินได้ 555
จากวิหารเดินต่อไปก็จะได้พบกับห้องน้ำสาธารณะแบบโรมัน ... ที่สนใจมาก เพราะเป็นส้วมโล่งๆ มี ‘แป้นถ่าย’ เป็นแผ่นหินเจาะรูพอเหมาะ เรียงเป็นแถวติดๆกันให้นั่งถ่ายทุกข์กันแบบประชันสายตาโดยไม่มีการแบ่งชาย-หญิง แต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังพบร่องรอยของห้องอบไอน้ำ(Roman Bath) และมีลานน้ำพุ และมีการแสดงดนตรีขับกล่อมสร้างบรรยากาศ ในห้องน้ำสาธารณะด้วย
ชาวโรมันในยุคนั้นจึงนิยมใช้ห้องอาบน้ำสาธารณะเป็นหนึ่งในสถานที่พบปะพูดคุยกันในเรื่องต่างๆ ทั้งเรื่องการบ้านการเมือง ซุบซิบนินทา เรื่องบันเทิงเริงใจ หรือแม้กระทั่งใช้เป็นที่จีบกันของคู่หนุ่ม-สาวซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิทยาการด้านส้วมของโรมันที่ได้ชื่อว่าเจริญล้ำยุคอย่างมากในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
The gate of Hadrain .. ตั้งอยู่ตรงปลายสุดของถนน Curetest Street เยื่องๆกับ The library of Celsus
ออกจากห้องน้ำก็มาถึงยังจุดสิ้นสุดถนนคูเรตีส ซึ่งมีอาคาร “ห้องสมุดเซลซุส” (The Library of Celsus) ตั้งตระหง่านโดดเด่น เป็นห้องสมุดแห่งตำนานของเมือง และเป็นสัญลักษณ์และไฮไลท์ของเมืองโบราณแห่งนี้
.. เซลซุส (Tibelius Julius Celsus) เคยเป็นข้าหลวงใหญ่โรมันปกครองมณฑล .. ต่อมา Tibelius Julius Aquila ผู้เป็นลูกชาย ต้องการสร้างอนถสาวรีย์ให้กับผู้เป็นบิดา แต่เกิดเปลี่ยนใจมาสร้างหอสมุดแทนในปี ค.ศ. 117 แล้วเสร็จในปี ค.ศ. 125 และใช้เป็นสุสานฝังศพบิดาในโลงหินไว้ภายใต้อาคารห้องสมุดด้วย
ห้องสมุดโบราณเซลซุส ถือว่าเป็นหอสมุดใหญ่เป็นอันดับสองของของโลกยุคโบราณ จะเป็นรองก็เพียงหอสมุดอเล็กซานเดรียในอียิปต์เท่านั้น .. เป็นสุดยอดของงานสถาปัตยกรรมลือชื่อในยุค โดดเด่นด้วยศิลปะแบบเฮเลนนิส อันเป็นยุคทองของงานศิลปวิทยาของกรีก
.. ต่อมา ห้องสมุดเซลซุสถูกทำลายโดยชาว กอธ (Goth) ที่ได้เผาทำลายในปี ค.ศ.262 ทำให้เอกสารและโครงสร้างส่วนที่เป็นไม้ทั้งหมดถูกทำลายทั้งหมด แต่ด้านหน้าที่เป็นหินอ่อนยังคงอยู่ และยืนยงต่อมาได้อีกหลายร้อยปี จนกระทั่งเกิดแผ่นดินไหวในศตวรรษที่ 10 ทำให้ส่วนหน้าของห้องสมุดพังลงมา ก่อนจะได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1970
ในวันที่เราไปเยือน .. ซากอาคาร 2 ชั้นของห้องสมุดยังดูค่อนข้างสมบูรณ์ ฉายแสงแห่งความโอ่อ่าสวยงามและยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยพลังงาน และเสน่ห์ของศิลปะที่สร้างสรรค์เป็นอาคารมหัศจรรย์แห่งนี้
ด้านหน้าโดดเด่นไปด้วยเสาโรมันและซุ้มขนาดใหญ่ ซี่งแบ่งสัดส่วนให้ห้องสมุดเป็น 2 ชั้น โดยมีรูปสลักของเทพี 4 องค์ อยู่ตรงบันไดทางขึ้น ฝีมือการสลักสวยงามมาก ตั้งประดับอยู่ทั้ง 2 ด้านซ้าย-ขวา และระหว่างบานประตูรวม 4 องค์ ..
… ประกอบด้วย เทพีแห่งปัญญา เทพีแห่งคุณธรรม เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และเทพีแห่งความรู้ (รูปสลักจริงถูกย้ายไปไว้ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเวียนนา ออสเตรีย เมื่อนานมาแล้ว) มีความสวยงามตามแบบแผนของรูปแบบสถาปัตยกรรมคลาสสิคแบบ เฮเลนนิส ที่มีความอ่อนหวาน ฝีมือปราณีต.. มีทางเข้า 3 ช่องเป็นประตูโค้ง
ภายในห้องสมุดโบราณเซลซุส .. ใช้เป็นที่เก็บม้วนหนังสือที่ทำจากไม้ปาปิรัส กว่า 12,000 ม้วน และเชื่อกันว่าเคยมีวิธีการเก็บรักษาหนังสือให้อยู่ในสภาพดี หอสมุดแห่งนี้จึงเป็นแหล่งรวมภูมิปัญญาของโลกตะวันตก เพื่อให้เหล่านักปราชญ์ได้เข้ามาศึกษา .. ซึ่งปัจจุบันด้านในห้องสมุดเหลือเพียงลานโล่งๆ
The gate of Mazeus and Mithradates …
ตั้งอยู่ติดกับห้องสมุด ในสมัยโบราณเป็นสุานที่ค้าขาย
เราเดินตามทางเดิม มีความสุขกับการได้เห็นโบราณสถานที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่สำคัญและเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดของกรีกและโรมัน ...
ใกล้ๆห้องสมุด เป็นบริเวณ Trading Agora
เราก้มลงมองภาพแกะสลักชิ้นหนึ่งบนพื้น เป็นรูปแกะสลักฝ่าเท้ากับศีรษะคนที่ทำอย่างง่ายๆบนแผ่นหิน ..
ใครบางคนบอกว่า นี่อาจจะเป็นชิ้นงานโฆษณาชิ้นแรกของโลก เพื่อประกาศขายสินค้าและบอกทางไป The house of love ซ่องโสเภณี น่าทึ่งมากค่ะ
วิหารเทพีอาร์เทมิส .. 1 ใน 7 ของสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ ปัจจุบันเหลือเพียงซากปรักหักพัง แต่เรายังสามารถที่จะมองเห็นความยิ่งใหญ่ในอดีตอย่างชัดเจน
Complex .. ประกอบด้วย ยิมเนเซี่ยมเวดิอุส ที่พ่อค้าคหบดีสร้างขึ้นเมื่อศตวรรษที่ 2 .. มีรูปแบบตามความนิยมของโรมันในสมัยนั้น คือ รวมยิมเนเซียมไว้กับโรงอาบน้ำ ที่มีทั้งน้ำร้อน น้ำเย็น และน้ำอุ่น
ไฮไลท์สำคัญอีกแห่งหนึ่งของเมืองโบราณ เอฟฟิซุส คือ โรงมหรสพใหญ่ (The grand theatre) .. ที่ยิ่งใหญ่อลังการ ซี่งหนังสือ ตุรกี : อดีตถึงปัจจุบัน กล่าวว่า เริ่มการก่อสร้างครั้งแรกในศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลในสมัยกรีก
... โรงละครเอเฟซุส มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโรงละครโบราณในตุรกี สามารถจุคนได้ 30,000 กว่าคน เป็นโรงละครโค้ง สร้างด้วยหินล้วนๆ อิงแอบอยู่กับความลาดชันของภูเขา มีลานแสดงตรงกลางแวดล้อมด้วยที่นั่งชม 66 แถว ไล่ระดับขึ้นไปจนสูงลิบ ปัจจุบันยังคงใช้งานได้ดีอยู่และยังมีการจัดการแสดงอยู่บ้างเป็นครั้งคราว เพราะมีชัยภูมิหรือฮวงจุ้ยอันดีที่หันหน้าออกสู่ทะเลเพื่อให้ลมธรรมชาติช่วยพัดเสียงย้อนเข้ามา
ที่โรงละคร ... ฉันมองย้อนลงไปดูสภาพร่องรอยอันยิ่งใหญ่ของโรงละครแห่งนี้ ทำให้ได้ตระหนักถึงความจริงที่ว่า สรรพสิ่งในโลกหล้าไม่มีสิ่งใดอยู่ยั้งยืนยงค้ำฟ้า
TheHellenistic fountain
The Theatre มองจาก The Harbour Street
ถึดจาก The Grand Theatre เป็นที่ตั้งของ The Theatre Gymnasium ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงเศษทรากของกองหิน
.. แม้เอเฟซุสอันยิ่งใหญ่ ยังถูกกาลเวลาย่อยสลายดับสูญ .. ฉะนั้นมนุษย์ผู้ไม่เป็นนิรันดร์จะยึดมั่นถือมั่นกันไปไย ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่แค่ไหน ไม่มีทางที่จะหลีกหนีจากวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดพ้น
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา