Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
on my way
•
ติดตาม
11 ต.ค. 2021 เวลา 08:58 • ปรัชญา
Chapter 9 : “ความผิดหวัง”ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตไปตลอดกาล
"ในการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริง คุณจำเป็นต้องมีแรงบันดาล หรือไม่ก็ความสิ้นหวัง" - วิลเลียม เอส
"ความผิดหวังเป็นวัตถุดิบชั้นเยี่ยม ของการเปลี่ยนแปลง โดยผู้ที่สามารถละทิ้งสิ่งที่เชื่อมั่นมาตลอดเท่านั้น จึงสามารถหลุดพ้นได้" - แอนโทนี่ ร็อบบินส์
Quote ด้านบนดูผิวเผินเหมือนจะย้อนแย้ง และดูเป็นคำพูดเพ้อฝัน แต่ดันแฝงไปด้วยความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้เลย
ในฐานะของนิสิตคนนึง หนึ่งในความใฝ่ฝันในวัยนี้คือ การเข้าร่วมการประกวดวิชาการ และได้รางวัลมาเข้าพอร์ตโฟลิโอเพื่อต่อยอดในอนาคต
การต้องมีทักษะ ความสามารถ ความคิดสร้างสรรค์ก็ไม่พอ แต่ต้องมี"ทีม"ที่ดี มีเป้าหมายเดียวกัน และมีความพร้อมในการเดินไปข้างหน้าด้วยกันด้วย
คงไม่ต้องสาธยายว่าเราทำมันสำเร็จแบบที่ตั้งใจไหม เพราะคำตอบคือ "ไม่"
เหตุการณ์นี้ทำให้เราทุกข์ ทรมานใจมาก แบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เราซึมร่วม 1 เดือนเต็มๆ เหมือนคนอกหัก ที่ไม่สามารถมูฟออน และละทิ้งความเจ็บปวดนี้ได้
หลังจากนั้น เราตั้งใจที่จะพัฒนาตัวเองอย่างจริงจัง ค้นหาตัวเองในสิ่งที่เราไม่เคยทำ ลองทำในสิ่งที่ตัวเองปิดกั้นมาตลอด เอาเวลาที่นึกถึงความผิดหวังนี้ ไปโฟกัสกับเรื่องอื่น
จุดเริ่มต้นของการ เปลี่ยนทัศนคติ พัฒนาตัวเอง และ Set Goal ใหม่ ได้เริ่มขึ้นแล้ว!
"เราไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว เราเป็นตัวเองใน version ที่ดีขึ้น" นี่คือสิ่งที่เราตั้งปณิธานกับตัวเองตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
เริ่มจากสิ่งที่เราปิดกั้นตัวเองมาตลอด ว่าเราทำไม่ได้หรอก มันยากเกินไป มันไม่เหมาะกับเราหรอก วันนี้เราจะออกจากความคิดแบบนี้แล้ว!
1. "ฉันไม่ชอบอ่านหนังสือ"
สิ่งแรกที่เราเปลี่ยนคือ การเป็นคนที่ใฝ่หาความรู้ใหม่ๆนอกเหนือจากตำราที่เรียนอยู่ เพราะอย่างที่บอกว่าเราต้องการค้นหาตัวเอง และพัฒนาตัวเอง
เริ่มจากการไป B2S และเลือกหนังสืออยู่นานที่โซนการตลาด/การลงทุน/การพัฒนาตัวเอง สุดท้ายเราก็ได้หนังสือเล่มแรกที่จะตั้งใจอ่านแล้ว!
ค้นพบว่าการที่ให้คนสมาธิสั้นแบบเรา มานั่งอ่านหนังสือด้วยความสงบนี่มันยากจริงๆ แค่ 5 นาทีก็แทบจะปิดและกลับไปนอนบนเตียงแล้ว
หนังสือแค่ 100 กว่าหน้า เราใช้เวลาอ่านเกือบ 1 เดือนเต็ม แต่เราก็ไม่ย่อท้อ เมื่อมีเล่มแรกก็มีเล่มต่อไป ความทรมานเหมือนตอนแรก มันเริ่มเบาบางลงไปเรื่อยๆ
เราในตอนนี้ สามารถอ่านหนังสือ 200 หน้า จบได้ ภายในเวลา 3 วัน ไม่น่าเชื่อว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ จุดที่หนังสือเป็นสิ่งที่อยู่ข้างหมอน และเราหยิบขึ้นมาอ่านในตอนเช้า
อุปนิสัยใหม่ถูกสร้างขึ้นแล้ว "เราชอบอ่านหนังสือ"
2. "ไม่เอาหรอก ตลาดหุ้นมันน่ากลัว"
จากคนที่ไม่กล้าเอาเงินออกจากบัญชีออมทรัพย์ของธนาคาร ในวันนี้ เงินกว่า 80% ถูกกระจายไปยังพอร์ตการลงทุน ทั้งกองทุนรวมและหุ้น
เรื่องนี้เราได้เขียนอย่างละเอียดแล้ว ใน Chapter 1 : จุดเปลี่ยนที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้น
3. "ฉันเกลียดการตื่นเช้า เวลาบ่ายตังหากที่เหมาะสมกับการตื่นนอน"
เชื่อว่า ความคิดนี้เป็นความคิดของใครหลายคน รวมถึงตัวเราเองใน 4 ปีที่แล้วด้วย
แต่เราพบว่า การเริ่มต้นเช้าวันใหม่ ในตอนบ่ายนั้น ทำให้เราพลาดโอกาสไปหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น โอกาสในการพัฒนาตัวเอง กินข้าว ฯลฯ และเวลาทำสิ่งอื่นในวันนั้นก็น้อยลงไปด้วย
ในทางกลับกัน การได้ตื่นเช้ามาจิบกาแฟ ทำกับข้าว อ่านหนังสือ เคลียร์งาน ทบทวนบทเรียน มันทำให้เราเหลือเวลาในการทำอีกหลายสิ่งในวันนั้นมาก
คนตื่นบ่ายทุกวันในวันนั้น สู่การเป็นคนที่วันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ก็ดันตื่น 8.00 ขึ้นมาอัตโนมัติ ด้วยพลังงานล้นเหลือ สมองโล่งพร้อมเรียนรู้สิ่งต่างๆ
จริงๆแล้ว เราไม่ได้ชอบตื่นเช้าหรอก แต่เราชอบ "ความรู้สึกที่ได้ตื่นเช้า มาทำสิ่งที่ตั้งใจไว้เมื่อคืน"
4. "ฉันไม่ใช่คนหาทำ มองแค่ปัจจุบันก็พอแล้ว"
เมื่อไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตที่ชัดเจน เราก็แค่ใช้ชีวิตไปอย่างธรรมดาในทุกๆวัน เน้นความเรียบง่าย ไม่ต้องท้าทายอะไร
แต่เราชอบชีวิตแบบนี้จริงหรอ มันเป็นความสบายในระยะสั้นรึเปล่า ?
เราเริ่มเปลี่ยนตัวเองอีกครั้ง "ฉันอยากมีความรู้เพิ่มในเรื่องที่ไม่เคยรู้จัง" โชคดีที่โลกยุคนี้สามารถหาความรู้ได้ตลอดเวลา และง่ายมากในอินเทอร์เน็ต
เราใช้เวลาในวันหยุดไปกับการเข้าคอร์สเรียนเพิ่มเติม ฝึกงานทั้งที่มหาลัยไม่บังคับ ขายของออนไลน์ เฝ้าหุ้น อ่านหนังสือ และพัฒนาตัวเองในทุกๆด้าน
โดยที่คนในรุ่นเรามักนอนดูหนัง เพลิดเพลิน สบายใจในวันหยุดแบบนี้ ซึ่งก็เป็นความชอบ และทางของเขา
แต่เรารู้สึกว่าความคิดเราเริ่มไม่เหมือนเพื่อนในรุ่นเดียวกันแล้วสิ เราอยากจะใช้เวลาว่างนี้ไปกับการพัฒนาตัวเองให้ได้มากที่สุด
นี่คือทางของเรา เราไม่อยากให้เวลาล่วงไปโดยไม่ได้ประโยชน์จากมันเลย
5. "ฉันไม่ใช่คนที่ชอบเข้าหาคนอื่นก่อน เขาต้องเป็นฝ่ายเข้าหาฉันเองสิ"
ความอีโก้ ความหยิ่งยโส และความดื้อรั้นในตัวเอง ทำให้เราเคยมีความคิดที่ผิดมหันต์เช่นนั้น
ภาพมันยิ่งชัดเจนขึ้น เมื่อผู้ใหญ่กลับเอ็นดูเพื่อนเราแบบเห็นได้ชัด เพราะเพื่อนคนนี้มีอุปนิสัยชอบเข้าหาคน จริงใจ และมักทำให้คนรอบข้างมีความสุข
เรากลับเป็นคนที่โดนเมิน จนต้องกลับมาพิจารณาตัวเองใหม่แล้วแหละ ว่าทำไมเป็นเช่นนั้น
"ต่อจากนี้ ฉันจะไม่มีอีโก้ในตัวเอง จะเข้าหาและช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความจริงใจ"
และผลลัพธ์มันก็ดีขึ้นจริงๆ ในวันนี้ผู้ใหญ่หลายคนจดจำเราได้ เอ็นดู และคอยช่วยเหลือเรา รวมถึงเพื่อนใหม่ที่พึ่งรู้จักด้วย
เหตุการณ์หนึ่งคือ เราเข้าไปทักทาย ชวนคนหนึ่งคุย เพราะเรารู้สึกว่าเขาโดดเดี่ยว หรือเขินอาย จนได้รับคำพูดที่ว่า
"ขอบคุณมากที่supportเราตั้งแต่วันแรก เธอเห็นเราเป็นคนเงียบๆเลยเข้ามาชวนคุย ทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย"
สิ่งนี้ช่วยย้ำเตือนเราอีกครั้งว่า ตอนนี้เราเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ จากคนที่ไม่ชอบเข้าหาใครก่อนตอนนั้น แต่กลับได้รับคำพูดแบบนี้ที่ไม่เคยได้มาก่อน
เราเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองแล้ว และจะพัฒนาให้ดีขึ้นกว่านี้แน่นอน เวลาเพียงไม่กี่ปี แต่เราในตอนนั้น กับเราในตอนนี้ ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ขอบคุณความผิดหวังในวันนั้น ที่เปรียบเสมือนยากระตุ้นชั้นดี ที่ทำให้เราเปลี่ยนแปลงตัวเอง สู่การเป็น "ฉันใน version ที่ดีกว่า"
บันทึก
3
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย