12 ต.ค. 2021 เวลา 05:17 • ประวัติศาสตร์
ตอนที่สาม
ตอนที่สาม อินทรีดำที่พยายามจะเป็นพิราบขาว
ลีถงเดินทางถึงอเมริกา และก็เริ่มใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่นั่น เขาอาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย กลางคืนเป็นยาม และกลางวันเรียนปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์จนจบ และลีถงก็ได้พบรักกับนักแสดงสาวสวยชาวเวียดนาม ทั้งสองคบหากันอยู่เป็นเวลานาน
ลีถงหลีกเลี่ยงที่จะแสดงความคิดเห็นทางการเมืองใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อสู้เพื่อเอกราชของเวียดนาม หรือการประนามรัฐบาลคอมมิวนิสต์ เขาพยายามใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบ และเรียนต่อปริญญาเอกทางด้านรัฐศาสตร์ อย่างไรก็ตาม ด้วยบุคคลิกและความสนใจของเขาเอง ลีถงได้ตั้งกลุ่มชาวบ้านในแถบที่เขาอาศัยอยู่ เพื่อป้องกันตัวเองจากโจรผู้ร้ายขึ้น แต่เค้าความยุ่งยากก็เกิดขึ้น เมื่อเขายิงโจรวัย 15 ปีที่ย่องเข้ามาในบ้านหลังหนึ่งตาย ทุกคนเริ่มมองเขาด้วยสายตาหวาดระแวง ถึงความรุนแรงที่อยู่ในตัวเขา
นอกจากนี้การเรียนของเขาก็มีปัญหา อาจารย์ส่งร่างวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกของเขา ซึ่งทำเกี่ยวกับหัวข้อ "สาเหตุแห่งสงครามในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" คืนมาเพื่อให้แก้ไขใหม่ โดยให้เหตุผลว่า สิ่งทีเขาเขียนเป็นเรื่องส่วนตัวไม่ใช่วิชาการ
ลีถงเริ่มเคว้ง เขาอายุ 44แล้ว และพบว่าตัวเองเป็นเพียงแค่ยามแก่ ๆ คนหนึ่ง ซึ่งกำลังล้มเหลวในชีวิต เขาตัดสินใจซื้อตั๋วเครื่องบินไปกรุงเทพ ก่อนไปก็ไปซื้อร่มชีพตัวเล็ก ๆที่ร้านขายเครื่องกีฬาในเมืองนิวออร์ลีนส์ และทำพินัยกรรมยกของทุกชิ้นให้กับเด็ก ๆชาวเวียดนามที่เป็นกำพร้าจากสงคราม แล้วก็ขึ้นเครื่องบินไปกรุงเทพ
เขาเลือกโรงแรมที่ใกล้กับกองทัพอากาศมากที่สุด และก็เริ่มจับตาดูความเคลื่อนไหวของโรงเก็บเครื่องบินทหารอากาศ ลีถงเล่าว่า ตอนนั้นเขาวางแผนที่จะขโมยเครื่องบินรบสักลำหนึ่งแล้วไปปฏิบัติการที่เวียดนาม แต่ความพยายามของเขาไม่ประสบความสำเร็จการรักษาความปลอดภัยแน่นหนาเกินไป เขาทำได้เพียงแค่เข้าไปในโรงเก็บเครื่องบิน และทิ้งร่องรอยไว้เหมือนกับอวดโอ่ว่าเขาได้เข้ามาที่นี่แล้วนะ
เมื่อแผนหนึ่งล้มเหลว แผนสองก็ตามมา ลีถงเดินเข้าไปซื้อตั๋วเครื่องบินชั้นหนึ่งไปโฮจิมินห์ซิตี้ และแล้วในวันที่ 2 กันยายน 1992 อินทรีดำก็กลับคืนสู่ท้องฟ้าเวียดนามอีกครั้ง ครั้งนี้เขาพาเอาชีวิตผู้โดยสารเครื่องบินพาณิชย์มากกว่าร้อยคน เข้าไปเสี่ยงในความเป็นความตายด้วย...
โฆษณา