Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Mr.Arnon
•
ติดตาม
12 ต.ค. 2021 เวลา 06:43 • ศิลปะ & ออกแบบ
พระโพธิสัตว์ราหูเทพอสุรินทร์
ในพระไตรปิฏกระบุว่า พระราหูนั้นเคยคิดเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า แต่ดำริในใจว่าตนเองนั้นร่างกายใหญ่โต ไฉนเลยจะเข้าไปกราบพระพุทธองค์ได้ พระพุทธองค์สามารถรู้ถึงความคิดของพระราหูทุกประการ ได้เนรมิตร่างกายตนให้ใหญ่กว่าพระราหูหลายร้อยหลายพันเท่า อยู่ในกิริยานอนประทับปางไสยยาสน์ เมื่อราหูมาถึงที่ประทับ ยังนึกในใจอยู่ว่าพระองค์คงร่างเล็กนิดเดียว ก้มลงมองหาเท่าไหรก็ไม่พบ จนท้อใจคิดจะกลับอยู่แล้วจึงได้ยินเสียงพระพุทธเจ้าตรัสทัก เมื่อมองขึ้นไปจึงพบว่าร่างกายของพระพุทธเจ้าใหญ่โตยิ่งกว่าตนมากมายนัก ทั้งประทับนอนสีหไสยยาสน์ พระราหูจึงเกิดความเกรงในพระพุทธบารมี
3
นอกจากนี้พระพุทธองค์ยังได้แสดงปาฏิหาริย์พาอสุรินทราหูขึ้นไป ณ พรหมโลก บรรดาพรหมทั้งหลายที่พากันมาเข้าเฝ้า ล้วนมีร่างกายเล็กกว่าพระพุทธองค์ และต่างพากันเบิ่งตามองอสุรินทราหูเหมือนประหนึ่งมนุษย์จ้องมองมดปลวกตัวเล็ก ๆ แล้วกราบทูลถามว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญได้พาตัวอะไรมาด้วยหรือพระเจ้าข้า”
4
อสุรินทราหูบังเกิดความกลัวต้องหลบอยู่หลังพระบรมศาสดา นับตั้งแต่นั้นมาก็ลดมานะทิฏฐิเลิกหลงทะนงอวดตัว หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ไปตลอดชีวิต แล้วจึงกราบทูลลากลับไปยังพิภพ และถือว่าพระรูปปางสีหไสยยาสน์นั้นเป็นปางปราบอสุรินทร์ราหู ผู้ที่มีราหูเข้าแทรกในดวง ได้บูชาพระพุทธรูปปางนี่จะดีกับตนเองยิ่งนัก
2
ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ยังได้กล่าวถึงบุพกรรมแต่หนหลังของพระราหูว่า เคยตั้งปณิธานไว้ว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งการบำเพ็ญบารมีของพระราหูทุกภพชาติที่ผ่านมานั้นก็เพื่อพระโพธิญาณนี้ และจะสำเร็จแน่นอนในอนาคตกาล พระราหูจะสำเร็จเป็นพระโพธิญาณ หรือ บรรลุเป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้พระราหูปลาบปลื้ม พระราหูมีความเลื่อมใสในพระพุทธองค์ยิ่ง ๆ ขึ้น และตั้งใจบำเพ็ญเพียรทางพระโพธิญาณให้มากยิ่ง ๆ ขึ้น ทั้งพระไตรปิฎกล่าวว่า
4
พระราหูจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้านามว่า พระนารทพุทธเจ้า นับเป็นองค์ที่ห้าถัดจากพระศรีอารยเมตไตรพุทธเจ้า จากคติดังกล่าวนี้จึงถือว่าพระราหูนั้นมีฐานะเป็นพระโพธิสัตว์ และเป็นหน่อเนื้อพระพุทธางกูรแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นที่น่าเคารพกราบไหว้ของชาวพุทธเรา การกราบไหว้พระโพธิสัตว์นั้นเป็นคตินิยมอยู่แล้วของมหายาน แต่ฝ่ายหินยานหรือในบ้านเรานั้นรู้จักเรื่องพระโพธิสัตว์น้อย พระโพธิสัตว์นั้นบางครั้งมีรูปกายสวยงาม บางครั้งในรูปกายน่ากลัว และสามารถบังเกิดในภพภูมิใดก็ได้
1
อย่างพระราหูเป็นพระโพธิสัตว์ที่รูปกายน่ากลัว และเป็นพระโพธิสัตว์ที่เกิดขึ้นในแดนอสูร ทำหน้าที่ดูแลพระพุทธศาสนา ให้พรคนดี ย่ำยีคนชั่ว บำเพ็ญบารมีสร้างภพชาติเพื่อสืบพระพุทธวงศ์มิให้สิ้นสูญ โปรดสรรพสัตว์ให้พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นมหาบารมีมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่ สมควรที่จะได้รับการกราบไหว้บูชาเช่นเทพยเจ้าองค์อื่น ๆ
นอกจากนี้หลายท่านคงไม่เคยทราบว่าคำกล่าวขึ้นต้นก่อนสวดมนต์บทใด ๆ ก็ตาม คือ “นะโมตัสสะ” นั้นเป็นคำกล่าวนอบน้อมพระพุทธเจ้าที่เทพยดาหลายพระองค์ร่วมกันแต่งขึ้น จนกลายเป็นประโยค “นะโม ตัสสะ ฯ” ที่เราสวดกัน ในบทดังกล่าวนั้น พระราหูเป็นบุคคลสำคัญที่ร่วมรจนาบทคาถา “นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหัตโต สัมมาสัมพุทธัสสะ” โดย คำว่า
“นะโม”
ผู้กล่าวคือ พญายักษ์สันตาคีรี
“ตัสสะ”
ผู้กล่าวคือ องค์สุรินราหู
“ภะคะวะโต”
ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้แก่ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์ และท้าวเวสสุวัณ
“อะระหัตโต”
ผู้กล่าวคือ พระอินทร์ เป็นคำนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
“สัมมาสัมพุทธะสะ”
ผู้กล่าวคือ ท้าวมหาพรหมสหัมปติ
หากทำการท่องคำว่า “นะโมตัสสะ” ด้วยความเคารพศรัทธาก็สวามารถกันภูตผีปีศาจได้ เพราะเป็นคำกล่าวของพระราหู มีบารมีธรรมแห่งพระราหูอยู่ ภูติผีปีศาจทั้งหลายย่อมเกรงกลัวพระราหูฉันใดผู้ที่มีความเคารพพระราหูย่อมได้บารมีข้อนี้ตามไปด้วย นอกจากนี้นะโมที่เราสวดนั้นยังมีเทพเทวาอีกหลายพระองค์จึงเป็นคำกล่าวที่ศักดิ์สิทธิ์มาก การท่องทุกครั้งหากได้ระลึกถึงเทพเทวาทั้งหลายนี้แล้วย่อมเป็นสิริมงคลสูงสุด
การนับถือจึงมิได้หมายความว่าเรากำลังบูชาภูตผีปีศาจแต่อย่างใด แต่เรากำลังบูชาพระโพธิสัตว์ในรูปกายแห่งเทพอสูร อันเป็นคติสอนให้พิจารณาว่า อย่ามองที่รูปกายภายนอก แม้ว่ารูปกายแห่งพระราหูจะดูดุดันน่ากลัว แต่คุณธรรมภายในนั้นกลับตรงข้าม พระราหูเป็นเทพอสูรที่บำเพ็ญบารมีเพื่อบรรลุพระโพธิญาณมานับชาติไม่ถ้วน ภายในจิตใจนั้นมีแต่ความปรารถนาดีต่อมวลมนุษย์ สิ่งเลวร้ายในชีวิตมนุษย์นั้นไซร์ย่อมเกิดจากผลกรรมเก่าและใหม่ที่ตนก่อไว้ เมื่อถึงเวลา กรรมนั้นย่อมเป็นไปตามกลไกของมัน พระราหูเทพอสุรินทร์เป็นเทพยเจ้าผู้เป็นพยานแห่งการกระทำกรรมของมนุษย์ หาได้ให้ร้ายต่อใครไม่
ด้วยแรงอธิษฐานของพระราหู
ในไตรภูมิโลกวินิจฉยกถา กล่าวถึงประวัติความเป็นมาอดีตชาติของพระราหู ดังนี้
เรื่องไม่ได้ดั่งใจ
มีคหบดีคนหนึ่ง อยู่เมืองหงสาวดี มีลูกชาย ๓ คน คือ คนโตชื่อว่าวิสัฏฐิรกุมาร คนกลางชื่อเจ้าถูลกุมาร และคนสุดท้องชื่อว่าเจ้าวุฑฒะกุมาร คนสุดท้องมีพละกำลังมากกว่าพี่ชายสองคน
ต่อมาวันหนึ่งทั้งสามคนนี้จะทำอาหาร ก็มีการจัดสรรแบ่งงานกันทำ แต่น้องเล็กสุดทำงานไม่ได้ดั่งใจ พี่ทั้งสองจึงได้ทุบตีน้อง น้องไม่พอใจ อาฆาต แค้นพยาบาท จองเวร ว่า หากชาติหนึ่งชาติใดขอให้เราได้ข่มเหงพี่ชายทั้งสองเหมือนกับที่ท่านทำกับเราดังนี้ พระพุทธเจ้าจึงเฉลยว่า เจ้าวุฑฒะกุมาร คือ พระราหู เจ้าวิสัฏฐิรกุมาร คือ พระอาทิตย์ เจ้าถูลกุมาร คือ พระจันทร์
เรื่องตักบาตรร่วมกัน
1
อดีตกาลครั้งหนึ่งสมัยพระพุทธเจ้าเวสสะภู พระราหู พระจันทร์ และพระอาทิตย์ ได้ร่วมกันตักบาตรพระภิกษุสงฆ์ ในครั้งนั้น พระอาทิตย์ใส่บาตรด้วยภาชนะทองคำ พระจันทร์ใส่บาตรด้วยภาชนะเงิน ส่วนพระราหูใส่บาตรด้วยโอ (บางกล่าวว่า กะลา) เมื่อทั้งสามตักบาตรแล้วต่างคนก็ต่างอธิษฐาน แต่พระราหูอธิฐานว่า หากชาติหน้าชาติหนึ่งชาติใดขอให้เกิดมาร่างกายใหญ่โต เพราะจะได้ไม่มีใครมารังแกข่มเหงเหมือนกับชาตินี้ ด้วยบุญกุศลนี้จึงดลบันดาลให้พระอาทิตย์มีรัศมีดุจสีทอง พระจันทร์มีรัศมีดุจสีเงิน ส่วนอสุรินทราหูมีร่างกายใหญ่โตสมดั่งที่อธิษฐานไว้ทุกประการ
เรื่องติดหนี้พระราหู
พระอาทิตย์ พระจันทร์ และพระราหูเป็นพี่น้องกัน โดยพระราหูเป็นน้องเล็ก ต่อมาพี่ชายทั้งสองมาขอกู้ทรัพย์จากพระราหู ๑,๐๐๐ ตำลึง เพื่อนำไปสร้างมณฑป และวิหารถวายวัดในพระพุทธศาสนา แต่ครั้นกาลเวลาผ่านไป พี่ชายทั้งสองก็ไม่ได้นำเงินมาคืน ทำให้พระราหูโกรธจัดที่พี่ชายทั้งสองไม่รักษาสัจจะ จึงตั้งสัจจะอธิษฐานว่า ชาติหน้าของให้พี่ชายทั้งสองนี้เกิดมาเป็นคนรับใช้ตนในฐานะลูกหนี้ ไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ พระราหูจึงพยายามไล่จับพระอาทิตย์กับจันทร์ทุกชาติไป ทำให้พี่ทั้งสองผวาหวาดกลัวพระราหู เพราะไม่ได้ใช้หนี้พระราหู.
เหตุที่พระราหูในอนาคตจักได้เป็นพระพุทธเจ้า
คัมภีร์อนาคตวงศ์ได้กล่าวถึงอดีตของอสุรินทราหูที่ครั้งเสวยเป็นพระโพธิสัตว์ว่า อสุรินทราหูได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศน์ เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ และจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า พระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในอดีตชาติ อสุรินทราหูทรงถือกำเนิดเป็นพระราชามีพระนามว่าพระยาสิริคุตตมหาราช แห่งมัลลนคร พระมเหสีนามว่า ลัมภุราชเทวี มีพระโอรสนามว่า นิโครธกุมาร และพระธิดานามว่าโคตมี
อยู่มาวันหนึ่งมีพราหมณ์ ๘ คนได้มาเฝ้าถวายบังคมและทูลขอพระนคร พระองค์ได้มอบพระนครให้พราหมณ์ ๘ คนนี้ครองเมือง พระองค์พร้อมด้วยพระมเหสี พระราชโอรสและพระราชธิดา เสด็จออกจากพระนครไปรักษาศีลอยู่ ณ อาศรมพระธรรมิกบรรพต ในกาลนั้นยักษ์ตนหนึ่งหิวโหยมาก มาขอพระราชโอรสและพระราชธิดา พระองค์ก็มอบให้ พร้อมทรงหลั่งน้ำทักษิโณทกที่ปฐพีให้เหล่าเทวดาทั้งหลายเป็นพยานในมหาทานครั้งนี้ จากนั้นยักษ์ก็นำพระราชโอรสและพระราชธิดาไปกินเป็นภักษาหารอย่างเหี้ยมโหด แต่พระองค์ก็ทรงไม่แสดงอาการหวั่นไหว และพระองค์ยังชื่นชมในมหาทานกุศลในครั้งนี้ว่า
"ข้าแต่หมู่เทวดาผู้เจริญทั้งหลาย น่าอัศจรรย์จริงหนอ ทานของเราประเสริญแท้"
ด้วยทานบารมีในครั้งนี้ พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า พระยาสิริคุตตมหาราชหรืออสุรินทราหูจะได้บรรลุมรรคผล ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลครั้งหน้ามีพระนามว่า พระนารทะสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ ในอนาคตกาล ในคัมภีร์อนาคตวงศ์นั้น ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้าในอนาคต ๑๐ พระองค์ที่จะบังเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ดังนี้
๑. พระศรีอริยเมตไตรยพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือพระอชิตเถระ (เป็นคนละองค์กับชื่อที่ปรากฏในพระไตรปิฎก)
๒. พระรามะสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคืออุตมรามราช
๓. พระธรรมราชาสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือพระเจ้าปเสนทิโกศล
๔. พระธรรมสามีสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคืออภิภูเทวราช
๕. พระนารทะสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคืออสุรินทราหู
๖. พระรังสีมุนีสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือจังกีพราหมณ์
๗. พระเทวเทพสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือสุภพราหมณ์
๘. พระนรสีหสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือโตเทยยพราหมณ์
๙. พระติสสสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือช้างนาฬาคีรี
๑๐.พระสุมังคลสัมพุทธเจ้า ในสมัยพุทธกาลคือช้างปาลิไลยกะ.
4 บันทึก
6
7
4
6
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย