12 ต.ค. 2021 เวลา 13:47 • ธุรกิจ
แฟลช​ เอ็กซ์เพลส (FLASH EXPRESS) เป็นบริษัท​ที่กลายเป็นสตาร์ต​อัพระดับยูนิคอร์น​รายแรกของเมืองไทยที่มีมูลค่าเกิน 1000 ล้านดอลล่าร์หรือราวๆ ประมาณ 30000 ล้านบาท
อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้แฟลชกลายเป็นที่รู้จักของคนไทย จากไก่รองบ่อนขึ้นสู่บริษัทอีคอมเมิร์ซ​ top 3
ของเมืองไทยได้ แล้วกลยุทธ์​แบบกองโจรของแฟลชนั้นเป็นอย่างไร ?
(เดี๋ยววันนี้บทความของนาย​ติง​ลี่จะมาเล่าให้ฟังครับ)
ปัจจุบันนี้แฟลช​เปิดให้บริการมาแล้ว 4 ปี โดยเริ่ม
ก่อตั้งเมื่อ ปี พ.ศ. 2560 จากคุณ คมสัน​ต์ แซ่ลี
ซีอีโอวัยหนุ่มจากดอยวาวี
แฟลชทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซ​อย่างครบวงจรไม่ว่าจะเป็นธุรกิจด้านขนส่งด่วน (Flash Express)​ บริการด้านโลจิสติกส์​ (Flash Logistics) ที่ให้บริการด้านการรับ-ส่ง สินค้าขนาดใหญ่, บริการด้านคลังสินค้าจัดเก็บสินค้าดูแลสินค้าอย่าง (Flash Fulfillment) และบริการด้านการเงิน (Flash Money) ฯลฯ
โดย คมสันต์ ลี ได้เล่าเรื่องราวประวัติ​ความเป็นมาของบริษัทตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน​ออกเป็น
3 ยุคด้วยกันคือ ยุคอันธพาล ยุคแห่งกฎระเบียบ
ยุคปลูกฝังวัฒนธรรม​องค์กร
โดยวันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวการล้มลุกคลุกคลาน​ในช่วงเริ่มต้นว่าแฟลชทำยังไงจนตีตลาดและเป็นที่รู้จักของคนไทยได้สำเร็จให้ฟังกันครับ
1) ยุคอันธพาล
ช่วงเริ่มต้นธุรกิจขนส่งในตลาดอีคอมเมิร์ซ​มีคู่แข่งมากมายหลากหลายแบรนด์ แฟลชในตอนนั้นก็ยังมีคนรู้จักไม่มากก็เลยต้องจ้างพรีเซนเตอร์​เข้ามาเพื่อดึงดูดลูกค้าให้รู้จักกับแบรนด์
โดยตอนนั้นแฟลชเลือกให้ ติ๊ก เจษฎาภรณ์​ เข้ามาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ เหตุผลที่เลือกเพราะคุณติ๊กดูเป็นคนน่าเชื่อถือเป็นดาราที่ไม่มีข่าวลบๆในวงการ ทำให้ภาพลักษณ์​ของแฟลชดูมีความ
น่าเชื่อถือขึ้น
จากนั้นพอมีคนเริ่มรู้จักขึ้นมาหน่อยแฟลชก็เริ่ม
ใช้การตลาดแบบกองโจรขึ้นมา เพราะในตอนนั้นแฟลชมีความเชื่อว่าต้อง ''​อยู่ให้รอด''​ ย่อมเป็นสิ่งสำคัญกว่า เพราะในธุรกิจสตาร์ต​อัพส่วนใหญ่จะเน้นไปให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรจึงไม่แปลกใจที่ส่วนใหญ่มักจะเจ๊งในช่วงเริ่มต้น
''​จะทำวิธีอะไรก็ได้ผมไม่สนใจ ผม just want คำตอบหรือผลลัพธ์​''​
นี่เป็นคำกล่าวของคุณคมสันต์ที่บอกกับคนในบริษัท​ซึ่งทำให้เกิดกลยุทธ์​กองโจรขึ้นมา...
- สร้างสายสัมพันธ์​กับคนที่มีประสบการณ์
ในวันที่แฟลชสามารถ​ให้บริการกับคนทั้งประเทศได้ เพราะมีไปรษณีย์​ไทยเป็นแบ็คอัพ​ให้
เนื่องจากตอนนั้นการขนส่งของแฟลชยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะไปส่งของให้กับลูกค้าในทุกพื้นที่ได้ จึงต้องหาบริษัทที่มีประสบการณ์​เข้ามาช่วยนั่นคือไปรษณีย์​ หลังจากนั้นมาทั้งสองบริษัท​ก็กลายมาเป็นพันธมิตร​กัน
- ปลอมตัวเพื่อหาลูกค้า
คมสันต์ได้วานจ้างพนักงานกว่า 200 คน ที่เป็นฝ่ายขาย ให้ไปยืนอยู่ที่หน้าสาขาของคู่แข่ง เพราะในตอนนั้นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์​ส่วนใหญ่ต้องถือบัตรคิวรอ
ซึ่งวิธีที่ง่ายที่สุดก็คือไปหาในจุดที่ลูกค้าอยู่
จากนั้นก็ให้ลูกน้องปลอมตัวไปถามลูกค้าว่า
''​พี่ขายอะไรทำไมขายดีจังหนูขอเป็นตัวแทนสินค้าของพี่ได้ไหม?
พี่ช่วยสอนการขายให้หนูหน่อยสิ''​
แล้วก็แลกไลน์แลกเบอร์โทรเอาไว้ติดต่อกันกัน
เมื่อลูกค้าตอบกลับมาก็แนะนำไปเลยว่าแฟลชจะให้ทดลองส่งฟรี 20 ชิ้น แถมยังไปรับฟรีถึงหน้าบ้าน และราคายังถูกกว่าที่ 25 บาท (เทียบกับเจ้าอื่นอยู่ที่ 60 บาท)​ เมื่อลูกค้าได้ยินแบบนี้...
''​มาร้อยรายก็เสร็จทั้งร้อยราย''​
- ให้บริการแบบ Door-to-Door
.
ในประเทศที่ตลาดอีคอมเมิร์ซ​ได้รับการพัฒนาแล้ว ไม่มีประเทศไหนที่ให้ผู้บริโภคเดินทางไปส่งของเอง
แฟลชจึงได้เปิดให้บริการที่มีชื่อว่า Door-to-Door​
ขึ้นมาเพื่อให้ลูกค้าสะดวกสบาย​ขึ้นในการจัดส่ง
โดยให้พนักงานไปรับของถึงที่บ้านลูกค้าโดยตรง
หลักคิดง่ายๆของคมสันต์ในตอนนั้นคือ แฟลชไม่ได้มีต้นทุนที่มากเพียงพอที่จะเปิดสาขาแข่งกับเจ้าอื่นๆไม่มีเงินถุงเงินถังที่จะไปแย่งทำเลดีๆ เหมือนกับแบรนด์ใหญ่ๆ
ดังนั้นจึงเปลี่ยนพนักงานส่งของให้เป็นสาขาเคลื่อนที่โดยอัตโนมัติ​ซึ่งได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี
- ประเมินผลฝ่ายขายเป็นรายวัน
ทุกๆวันในตอนเช้าเวลาเจ็ดโมง สรุปผลของเมื่อวานทั้งหมดว่าลูกน้องได้ transaction มาเท่าไหร่
ถ้าหนึ่งสัปดาห์ไม่ผ่านเกณฑ์​ก็เปลี่ยนคนใหม่ ดังนั้นจึงทำให้คนที่เข้ามาในองค์กรมีแต่คนที่กระหายเลือดมุ่งแต่จะทำยอดขายเพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจวิธีการ
- จูงใจพนักงานด้วยเงินรางวัล
ในช่วงแรกการจัดส่งสินค้าของแฟลชถือว่าค่อนข้างแย่ จึงจำเป็นต้องเปิดรับพนักงานจำนวนมากซึ่งตอนนั้นคนที่จะคิดมาสมัครงานยังไม่มั่นใจเพราะส่วนใหญ่ต้องการความมั่นคง​ในบริษัท
คมสันต์จึงได้ออกกฎว่าทุกคนที่เป็นพนักงานในองค์กรต้องหาคนมาเพิ่ม 1 คนต่อ 1 เดือน ซึ่งหนึ่งปีจะต้องหาได้ 12 คน ถ้าหามาไม่ได้จะไม่ได้รางวัล แต่ถ้าหามาได้แล้วผ่านเกณฑ์​ให้หัวละ 5000 บาท
เมื่อประกาศไปแบบนี้ก็ได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดีชนิดที่ว่ารับแทบไม่ทันและผ่านพ้น​วิกฤติ​ไปได้ช่วงหนึ่ง
- ทำงานตลอด 365 วัน ไม่มีวันหยุด
ในตลาดขนส่งพัสดุเมื่อก่อนผู้ให้บริการส่วนใหญ่เปิดให้บริการแค่วันจันทร์-​ศุก​ร์ แฟลชจึงมองเห็นจุดอ่อนของคู่แข่ง ศึกษาว่าอะไรที่คนอื่นยังทำได้ไม่ดีแล้วนำมาพัฒนาเป็นจุดแข็งของตัวเอง จึงทำให้เกิดการทำงานแบบ 365 วัน ไม่มีวันหยุด
2) ยุคแห่งกฎระเบียบ
หลังจากสองปีผ่านไปแฟลชได้เริ่มเข้าสู่ในยุคที่สองซึ่งจะมีการใช้กฎเกณฑ์​ต่างๆ เข้ามาใช้ในองค์กรทำให้มีพนักงานลาออกมากที่สุดโดยเฉพาะผู้บริหาร
เพราะเดิมทีแล้วในช่วงแรกคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาในบริษัทมักจะมีแต่พวกที่กระหายเลือดทำวิธีไหนก็ได้ขอให้ได้ผลลัพท์
เมื่อมีการตั้งกฎเกณฑ์​ขึ้นมาใหม่ทำให้คนที่เคยใช้แต่วิธีการเดิมๆ กลับใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปเพราะพวกเขาต้องทำตามขั้นตอนให้ถูกต้อง เพราะในช่วงนั้นเกิดการ​คอรัปชั่น​ในองค์กรขึ้นแฟลชจึงต้องรีบจัดระเบียบวินัย​ให้เร็วที่สุดไม่อย่างนั้นบริษัท​ก็จะตาย
และแฟลชเองยังมีการสร้างทีมติดตามงานโดยเฉพาะ เมื่อมีการประชุมและมอบหมายหน้าที่​งานกันเสร็จ ก็จะให้ทีมติดตามคอยประกบเพื่อที่จะให้คนที่ได้รับมอบหมายงานรู้สึกว่ามีคนตามจี้หลังอยู่ตลอดเพื่อไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง
3) ยุคปลูกฝังวัฒนธรรม​องค์กร
เมื่อองค์กรเริ่มใหญ่ขึ้นการดูแลตรวจสอบพนักงานก็เริ่มทำได้ยากขึ้น เพราะแฟลชในตอนนั้นเองยังไม่รู้ว่าพนักงานคนไหนที่ทำจริง เก่งจริง ดีจริง
ดังนั้นจึงเกิดการแข่งขันกันในองค์กรขึ้นมาเพื่อคัดสรรคนเก่งขึ้นมาเป็นผู้บริหาร และในหนึ่งงานที่มอบหมายต้องมี 2-3 คน แข่งขันกันเองในหนึ่งโปรเจ็กต์
''​ม้าลองวิ่งแข่งกันเอง ม้าตัวไหนชนะให้ม้าตัวนั้นเป็นพระเอก''​
ปัจจุบันคมสันต์บอกกับว่า Flash Express กำลังอยู่ในยุคเตรียมเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กร ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นภายในปีนี้หรือช่วงปีหน้า เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับองค์กร
และนี่คือกลยุทธ์​กองโจรของ (FLASH​ EXPRESS​)​
''​สุดท้ายนี้ผมหวังว่าบทความนี้อาจเป็นประโยชน์​ต่อทุกคนไม่มากก็น้อยครับ''​
.
หากคุณชอบบทความที่มีสาระดีๆเพื่อนำไปปรับใช้
ได้ในชีวิต
.
ก็สามารถ​ติดตามได้ทาง
ขอขอบคุณ​สำหรับทุกคำติชมครับ
และอย่าลืมรักษาสุขภาพ​กันด้วยนะครับผม
อ้างอิง
.
คมสันต์ แซ่ลี CEO FLASH EXPRESS
โฆษณา