Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Bnomics
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
14 ต.ค. 2021 เวลา 13:20 • หุ้น & เศรษฐกิจ
มองปัญหา Climate Change ผ่านเลนส์ของ Public Goods
มองปัญหา Climate Change ผ่านเลนส์ของ Public Goods
โดยปกติแล้ว ตามทฤษฎีของอดัม สมิทธ์นั้นว่ากันว่าการที่มนุษย์แต่ละคนตัดสินใจโดยยึดผลประโยชน์สูงสุดของตัวเองเป็นที่ตั้ง ก็จะนำไปสู่การแลกเปลี่ยนสินค้าขึ้นภายใต้ระบบตลาด และหากระบบตลาดดังกล่าวปราศจากซึ่งปัญหาหรือความล้มเหลวใดๆ การแลกเปลี่ยนดังกล่าวจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรในระบบเศรษฐกิจเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นในความเป็นจริงย่อมไม่ได้เป็นไปตามสิ่งที่คิดหรือสิ่งที่ทฤษฎีกำหนดไว้เสมอ เพราะในโลกแห่งความจริงก็มักจะเกิดความล้มเหลวของตลาด (Market Failure) ที่ทำให้ตลาดไม่ได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
1
อีกหนึ่งความล้มเหลวของตลาด (Market Failure) ที่ Bnomics จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกันในวันนี้ก็ คือ “สินค้าสาธารณะ” หรือ “Public Goods” นั่นเองครับ
📌 ทำความเข้าใจก่อนว่า Public Goods คืออะไร
ก่อนที่เราจะไปทำความเข้าใจถึงเรื่องของสินค้าสาธารณะหรือ Public Goods อยากจะขอชวนทุกคนไปทำความเข้าใจถึงคำอธิบายเบื้องต้นทางเศรษฐศาสตร์ของคำว่าสินค้าก่อน โดยในทางเศรษฐศาสตร์ เราจะแบ่งคุณสมบัติของ “สินค้า” หรือ “Goods” ที่ว่านี้เป็น 2 คุณสมบัติหลัก ซึ่งประกอบไปด้วย
1) การกีดกัน (Excludability) ซึ่งหมายถึง ว่าสินค้าดังกล่าวสามารถกีดกันไม่ให้คนเข้ามาบริโภคได้หรือเปล่า เช่น การตั้งราคาสินค้าและบริการดังกล่าวก็ถือเป็นการกีดกันคนไม่ให้เข้ามาบริโภคสินค้าและบริการดังกล่าวได้ หากจะยกตัวอย่างให้เข้าใจได้ง่ายมากยิ่งขึ้นก็เช่นสินค้าบริการปกติที่เราบริโภคกันทุกวันนี้ ที่หากเราไม่ยอมจ่ายเงิน เราก็ไม่สามารถบริโภคสินค้าและบริการดังกล่าวได้
2) การเป็นปรปักษ์ต่อการบริโภค (Rivalry) ซึ่งหมายถึง ว่าสินค้าดังกล่าวมีลักษณะที่เป็นปรปักษ์ต่อการบริโภคหรือเปล่า เช่น หากมีใครคนหนึ่งบริโภคสินค้าดังกล่าวไป จะทำให้ผู้อื่นไม่ได้บริโภคสินค้านั้น หรือได้รับประโยชน์น้อยลงหรือไม่
หากให้ยกตัวอย่างให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ ในกรณีของบรรดาร้านอาหารหรือขนมยอดฮิตที่มาเปิดตัวที่ไทยใหม่ๆ แล้วมีคนจำนวนมากที่แห่ไปต่อคิวซื้อกันเต็ม คนที่ไปต่อคิวได้ช้า ก็มีโอกาสน้อยที่จะซื้อได้สำเร็จ เพราะขนมที่ว่าอาจจะโดนคนแย่งซื้อจนหมดไปเสียก่อนจนได้
คุณสมบัติทั้งสองนี้เป็นคุณสมบัติสำคัญที่ใช้นิยาม “สินค้า” ตามแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์ โดยตัวอย่างชนิดของสินค้าที่ว่าก็อย่างเช่น สินค้าเอกชน หรือ Private Goods ซึ่งมีคุณสมบัติทั้งด้านการกีดกัน (Excludable) และปรปักษ์ต่อการบริโภค (Rival) ดังที่เรากล่าวไปข้างต้นเลย กล่าวให้เข้าใจง่ายมากยิ่งขึ้นก็คือ บรรดาสินค้าที่เราจับจ่ายใช้สอยบริโภคกันทั่วไปในชีวิตประจำวันนี่แหละ ที่เราต้องจ่ายเงินเพื่อให้ได้สินค้านั้นมาใช้ และหากคนซื้อกันเยอะ คนที่จะไปซื้อทีหลังก็มีโอกาสที่จะไม่ได้ซื้อก็ได้ เพราะสินค้าดังกล่าวหมดเสียก่อน
แต่สำหรับประเภทของสินค้าที่เราจะพูดถึงเป็นพิเศษในวันนี้ก็คือ สินค้าสาธารณะหรือ Public Goods นั่นเอง โดยสินค้าสาธารณะจะมีคุณสมบัติที่กลับตาลปัตรกับของสินค้าเอกชนเลย กล่าวคือไม่มีทั้งคุณสมบัติการกีดกันการบริโภค (Non-excludable) และไม่เป็นปรปักษ์ต่อการบริโภค (Non-rival)
ยกตัวอย่างเช่น กรณีของการป้องกันประเทศ (National Defense) ก็เป็นสินค้าสาธารณะชนิดหนึ่ง เพราะทุกคนที่อยู่ภายในประเทศย่อมได้รับประโยชน์จากการป้องกันภัยประเทศทั้งสิ้น ในขณะเดียวกัน การที่มีคนหนึ่งคนได้รับประโยชน์จากการป้องกันประเทศ ก็ไม่ได้ทำให้คนต่อๆ มาจะได้รับประโยชน์จากการป้องกันประเทศที่น้อยลงแต่อย่างใด
📌 ทำไม Public Goods ถึงนำไปสู่ปัญหาความล้มเหลวของตลาด
คำถาม คือ แล้วสินค้าสาธารณะที่ว่านี้กลับนำไปสู่ปัญหาความล้มเหลวของตลาดได้อย่างไร คำตอบก็คือว่าด้วยคุณสมบัติของสินค้าสาธารณะที่ไม่มีการกีดกัน (Non-excludable) เพราะใครก็สามารถใช้โดยไม่ต้องจ่ายเงินทั้งสิ้น ผลก็คือว่าระบบตลาดเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถจัดสรร Public Goods ที่ว่าให้เกิดขึ้นมาได้จริง เพราะแต่ละคนก็ไม่อยากจ่ายเงิน และคาดหวังว่ารอให้คนอื่นจ่ายเงินเพื่อสร้างสินค้าสาธารณะเหล่านี้ขึ้นมาแล้วกัน โดยหวังว่าตัวเองจะสามารถรับประโยชน์ไปได้ฟรีๆ ซึ่งปัญหาที่ว่านี้ก็เรียกกันว่า “Free Rider Problem” หรือพูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือเหมือนกับกรณีเวลามีเพื่อนขอติดรถไปด้วยทุกวันฟรีๆ โดยไม่ออกเงินช่วยนั่นเอง
ภาพการ์ตูนล้อเลียนปัญหา Free Rider - IIUM
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงมีหน้าที่เข้ามาแทรกแซงในระบบเศรษฐกิจเพื่อจัดการกับปัญหาความล้มเหลวตลาด เพื่อให้สินค้าสาธารณะเหล่านี้ ซึ่งมีความจำเป็นและมีประโยชน์กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็น การป้องกันประเทศที่กล่าวไปข้างต้น หรือระบบบำบัดน้ำเสีย หรือแม้แต่แนวกำแพงป้องกันน้ำท่วม เกิดขึ้นมาให้ได้
1
ทั้งนี้ ตัวอย่างของสินค้าสาธารณะที่ได้กล่าวมาข้างต้นนี้ ก็ล้วนเป็นตัวอย่างคลาสสิค ดั้งเดิม ที่เหล่าบรรดานักเรียนเศรษฐศาสตร์ได้เรียนมา ได้ผ่านหูผ่านตามาทั้งสิ้น
📌 ภาวะโลกร้อน: ความล้มเหลวของตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน ตัวอย่างที่ค่อนข้างชัดเจนและถูกกล่าวถึงมากที่สุดก็คือเรื่องของปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศหรือ Climate Change โดย Climate Change ได้ถูกกล่าวถึงในแง่ที่ว่าเป็นความล้มเหลวของตลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ (Biggest market failure the world has ever seen!)
โดยหนึ่งในปัญหาความล้มเหลวของตลาดที่เกิดขึ้นของภาวะโลกร้อนก็ คือ ปัญหาด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG emission) ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาผลกระทบภายนอก (Externalities) ที่ Bnomics ได้เล่าไปในบทความก่อนหน้านี้แล้ว เพราะบรรดาคนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกก็คือ เหล่าธุรกิจและโรงงานการผลิตต่างๆ แต่ผลกระทบของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดขึ้นนั้นกลับไปตกอยู่กับคนอื่นๆ ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมการผลิตดังกล่าว ตลอดไปจนถึงเหล่าคนรุ่นหลัง (Future generations) อีกด้วย
1
ในขณะเดียวกัน อีกหนึ่งความล้มเหลวของตลาดที่เกิดขึ้นของปัญหาภาวะโลกร้อนก็คือประเด็นเรื่องการลดปัญหาภาวะโลกร้อนนั่นเอง ซึ่งก็เรียกว่าเป็นสินค้าสาธารณะระดับโลก (Global Public Goods) เลยก็ว่าได้ เพราะการลดปัญหาโลกร้อนนั้น ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากตัวอย่างที่เราได้กล่าวไปข้างต้นเลย หากมีประเทศใดประเทศหนึ่งตัดสินใจลดและแก้ปัญหาโลกร้อนอย่างจริงจัง ก็ย่อมได้ประโยชน์กันไปทั้งโลก
เพราะฉะนั้น เราจึงไม่สามารถหวังพึ่งพาระบบตลาดเพียงอย่างเดียว เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงดังกล่าวให้สำเร็จได้ หากแต่ต้องมีการร่วมมือกันอย่างจริงจังในระดับประเทศ (International Cooperation) จึงจะสามารถบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น และแก้ปัญหาภาวะ Climate Change ได้อย่างแท้จริง
จึงไม่น่าแปลกใจว่าในช่วงที่ผ่านมา ประเด็นปัญหาเรื่อง Climate Change จึงได้กลายมาเป็นประเด็นที่ทั้งบรรดาบริษัททั่วโลก ผู้นำประเทศต่างๆ ให้ความสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้เกิดการร่วมมือกันในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ได้ อย่างเช่น กรณีของเหล่าธนาคารที่เริ่มให้ความสำคัญในการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้นว่ามีการปล่อยไปในภาคธุรกิจที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมหรือไม่
G7 Summit - Skynews
หรืออย่างกรณีของพรรคการเมืองประเทศต่างๆ ที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เช่นกรณีของโจ ไบเดน ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ที่ได้ผลักดันประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมให้เป็นวาระแห่งชาติ รวมถึงนำประเด็นดังกล่าวไปผลักดันในระดับการเมืองระหว่างประเทศอีกด้วย ซึ่งนับว่าน่าดีใจอย่างยิ่ง
ไบเดนกับการผลักดันวาระ Green New Deal
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่มีใครสามารถหนีปัญหาที่เกิดขึ้นไปได้ และหากไม่มีการร่วมมือกันอย่างจริงจัง โลกที่เราเคยเห็นก็จะไม่สวยงามอีกต่อไป และคนที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็ คือ บรรดาคนรุ่นหลังจากเรา (Future Generations) ซึ่งก็คือลูกหลานของเรานั่นเอง
ผู้เขียน : เอกศิษฎ์ น้าวิไลเจริญ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Website :
https://www.bnomics.co
Facebook :
https://www.facebook.com/Bnomics.co
Blockdit :
https://www.blockdit.com/bnomics
Line OA : @Bnomics
https://bit.ly/3eYkTJC
Youtube :
https://www.youtube.com/bnomics
Twitter :
https://twitter.com/bnomics_co
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference :
https://www.bbvaopenmind.com/en/economy/global-economy/climate-change-major-market-failure/
https://www.theguardian.com/environment/2012/may/21/economists-climate-change-market-failure
https://www.theguardian.com/environment/2011/apr/21/countries-responsible-climate-change
https://www.theguardian.com/environment/2011/feb/16/economic-impact-climate-change
https://www.investopedia.com/terms/m/marketfailure.asp
https://vi.unctad.org/tenv/docs/m3.pdf
https://are.berkeley.edu/~traeger/Lectures/ClimateChangeEconomics/Slides/2%20Efficiency%20-%20Market%20Failure,%20Public%20Goods%20and%20Externalities.pdf
6 บันทึก
12
5
6
12
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย