17 ต.ค. 2021 เวลา 11:00 • สุขภาพ
❗️จากบทความที่แล้วการรอคอยได้จบลง❗️
🔆คุณเจอปัญหาเหล่านี้อยู่หรือเปล่าถ้าเจอแบบนี้เราคือเพื่อนกัน อย่ากังวลเลยคุณไม่ได้อยู่เดียวดาย🔆
เมื่อการนัดหมายมาถึง สิ่งที่ต้องทำคือการไปถึงก่อนเวลานัดหมาย ประมาณ 15-30 นาที เพราะจะต้องทำประวัติใหม่ มีการกรอกแบบสอบถาม เพื่อประเมินสุขภาพจิต มีการวัดสัญญาณชีพเบื้องต้น และชั่งน้ำหนัก ซึ่งน้ำหนักที่ได้ก็ลดจาก 51 kg. เหลือเพียง 45.9 kg. ตามภาพ
น้ำหนักที่ลดลง ไป 5.1 kg.
เมื่อถึงเวลาพูดคุยกับจิตแพทย์เราก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย แต่บรรยากาศในห้องที่ถูกออกแบบมาและรอยยิ้มของคุณหมอนั้นทำให้เราดูผ่อนคลายขึ้น
“ จากการประเมินคุณมีแนวโน้มที่จะมีความเครียดสูงและมีสัญญาณของโรคซึมเศร้าอยู่ ลองเล่าปัญหามาให้หมอฟังได้ไหมคะ “
คำถามที่ออกมานั้นครั้งแรกทำให้เรารู้สึกว่าไม่รู้จะอธิบายอย่างไร มันเหมือนจับต้นชนปลายไม่ถูก มันเริ่มจากตรงไหนหรือ
……ต่อการนี้จะเป็นสิ่งที่เราต้องเผชิญ……
เรื่องเริ่มจากการทำงานในที่เก่าที่มีความกดดันค่อนข้างเยอะ เเละทำงานที่ค่อนข้างหลากหลาย และความคาดหวังจากคนรอบข้างซึ่งเป็นแรงดันชั้นดี แต่ด้วยที่ว่าเราชอบในเนื้องานด้านนั้น จึงเป็นแรงผลักดันให้เราฝ่าฟันพร้อมที่จะเติมโตขึ้น ทุกอย่างดูจะไปได้ดี จนกระทั่ง….
เมื่อโรคระบาดร้ายเข้ามาการท่องเที่ยวหยุดชะงักและผลประกอบการไม่ดีเท่าที่ควร มีการปรับแผนการต่างๆมากมาย เริ่มจากการลดวันทำงาน ในแต่ละอาทิตย์ นั่นหมายถึง รายได้ที่ลดลง แต่ปัญหาหนี้สินยังคงเท่าเดิม
ลำดับต่อมาคือการลาแบบไม่รับเงินเดือนโดยสมัครใจโดยเริ่มต้นแบบเดือนเว้นเดือน การขอพักชำระหนี้เริ่มไม่เป็นผลเพราะภาระหลายด้าน
สถานการณ์ดูเหมือนจะแย่ลงมีมาตรการเลิกจ้างงานเกิดขึ้น เราต้องคุยกับเพื่อนร่วมงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าเรารู้ทั้งรู้ว่าเค้านั้นมีรายชื่อในมาตรการเลิกจ้าง…เราไม่อาจมองหน้าเค้าได้เลยมันเป็นความกระอักกระอ่วนใจที่สุดในชีวิตการทำงาน
ไม่กี่อึดใจ ก็มีการปรับแผนการเพิ่มเป็นลาโดยไม่รับเงินเดือน 3-6 เดือน !!! นั่นคือฝันร้ายของเรื่องทั้งหมด ได้แต่คิดว่าจะจ่ายหนี้สินอย่างไรเพราะพ้นการพักชำระหนี้มาแล้ว ค่าใช้จ่ายต่างๆ ค่ากินอยู่ จะทำอย่างไร
….คิดอยู่ในใจว่าเราต้องสู้ ลาไม่รับเงินเดือนถึงครึ่งปีนั้นมันนานเกินไป… เราตัดสินใจหางานใหม่ ซึ่งผลก็คือเราได้รับการตอบรับเข้าทำงานในกรุงเทพฯ
เหมือนเรื่องดีดีกำลังจะเกิดขึ้น ได้รับโอกาสใหม่อีกครั้ง
แต่เราระลึกเสมอว่าเราไม่ได้ชอบกรุงเทพมากนักเราเกลียดชังความวุ่นวายและเราชอบอยู่กับธรรมชาติมากกว่าตึกสูงเสียดฟ้า ต้องยอมรับว่าการมาใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพต้องปรับตัวหลายอย่าง เพราะทุกอย่างเป็นเงิน ค่าที่พักที่มีราคาสูง ค่าที่จอดรถ ค่าเดินทาง ค่าไฟและค่าน้ำในแต่ละหน่วยนั้นมีราคา ที่พักที่แม้แต่เวลานอนก็ได้ยิดเสียงรถ ขวักไขว่ไปมาตลอดคืน ทำให้เราตื่นกลางดึกบ่อยๆ แน่นอนว่าการนอนที่ไม่มีคุณภาพย่อมส่งผลมากมายต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิต
…ภาระงานในสถานที่ใหม่นั้น เป็นหนึ่งในความท้าทายและเราพร้อมที่จะเรียนรู้ซึ่งบอกก่อนว่าสังคมในที่ทำงานแห่งใหม่นี้ ค่อนข้างดี ทุกคนช่วยเหลือกันและหัวหน้าก็มีความเข้าใจดี…
แต่ความโชคดีก็มลายหายไป เพื่อนที่ทำงานร่วมกันมีเหตุจำเป็นต้องออกเพื่อไปแสวงหาหนทางใหม่ ภาระต่างๆจึงมากขึ้น การทำงานที่นานขึ้น การพักผ่อนไม่เพียงพอและไม่มีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดความเครียดสะสม ค่าใช้จ่ายในกรุงเทพที่มากเกินทำให้เราแทบไม่มีเงินเก็บ และผู้คนมากมายที่เจอในแต่ละวันนั้นจัดอยู่ในหมวดหมู่ของบุคคลที่เป็น Toxic. ยาพิษชั้นดีที่เรากินเข้าไปในทุกวัน
..อยู่ที่แห่งนี้เราไม่มีใครให้พูดคุยหรือระบายเราจึงเก็บสะสมสิ่งเหล่านั้นเรื่อยมา แม้ว่าจะมีสามีผู้ที่ซึ่งสาบานไว้ว่าจะอยู่ด้วยกันแม้ยามสุขหรือยามทุกข์ โควิดก็พลากเราจากกันและเราไม่ได้เจอกันมาเกือบ 2 ปีแล้ว
…นานวันเข้าสิ่งเหล่านี้ได้เปลี่ยนเราให้เป็นคนที่เราเคยสัญญาว่าจะไม่เป็น…
🔆น้ำตาที่พลั่งพลูออกมาขณะเล่าให้จิตแพทย์ฟัง เป็นน้ำตาที่อัดอั้นอยู่ข้างใน… นี่เรากลายเป็นคนอ่อนแอขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมชีวิตเราถึงเดินมาถึงจุดนี้ 🔆
“การร้องไห้นั้นไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความอ่อนแอร่างกายของเรานั้นแค่จะระบายความรู้สึกที่มี หลังการร้องไห้เราจะรู้สึกสบายใจขึ้นมากกว่าการกดเก็บมันเอาไว้”
จิตแพทย์พยายามเข้าใจเราและพยายามพยุงเราที่กำลังจมอยู่กับความทุกข์ใจให้เงยหน้าขึ้นมา
❗️การวางแผนการรักษาได้เริ่มขึ้น ❗️
* ยาตัวแรกที่ได้เริ่มคือ Sertraline
* ยาที่มีผลช่วยสนเรื่องการนอนหลับและเพิ่มความอยากอาหารคือ Lorazepam
*มีการนัดเพื่อรับการรักษาติดตามอาการในอีก 2 อาทิตย์
*จิตแพทย์ให้เราทำอะไรก็ได้ที่ช่วยให้เราไม่คิดฟุ้งซ่าน จองเราคือการวาดรูปแนว Mandala และพยายามพูดคุยเพื่อที่จะระบายความรู้สึกออกมา
***รายละเอียดการรักษาค่อนข้างเยอะและคุณหมอก็ถามละเอียดมากเพราะต้องการหาประเด็นและหาผู้ที่สามารถช่วยเราได้ เพราะเรามีแนวโน้มในการทำร้ายตัวเอง***
**ใครที่อยู่กรุงเทพไม่รู้ว่าจะหาหมอที่ไหนดี ส่งข้อความมาสอบถามส่วนตัวได้นะคะ หรือสายด่วนสุขภาพจิต 1323** ก็ได้ หรือจะส่งข้อความมาหามาพูดคุยกันก็ได้นะคะ เราคือเพื่อนกันเเละเราไม่ได้โดดเดี่ยว
🔆สุดท้ายนี้อยากให้มองว่าซึมเศร้าเป็นแค่โรคโรคนึง รักษาได้และผู้คนเหล่านั้นไม่ได้เรียกร้องความสนใจ โรคนี้เป็นได้ทุกวัยเพียงแต่บางครั้งเราไม่รู้ตัว หรือไม่ยอมรับ ลองสังเกตคนรอบข้าง ใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้นไม่แน่ว่าคุณอาจช่วยให้เขาเหล่านั้นผ่านพ้นวิกฤติด้านจิตใจนี้ไปได้🔆
🪴บทความต่อไปมาดูว่าเราจะจัดการยังไงกับชีวิตยาที่จิตแพทย์ให้นั้น เกิดผลหรือไม่ รอติดตามกันนะคะ🪴
โฆษณา