4 พ.ย. 2021 เวลา 23:30
“หยุดใจดีแล้วเอางานทั้งหมดมากองไว้ที่ตัวเองได้แล้ว”
เรียนรู้ 3 กลยุทธ์ เพื่อลาออกจากการเป็น ‘pleaser mentality’
เหนื่อยแต่ไม่กล้าพัก ทำไม่ได้แต่ไม่อยากขอความช่วยเหลือ ใครขอให้ช่วยอะไรก็โอบรับมาทั้งหมดเพราะเกรงใจ และอยากทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ถ้าคุณกำลังมีลักษณะนิสัย 1 ใน 3 ที่พูดถึงอยู่นี้ เราอยากให้คุณได้อ่านและเรียนรู้ ‘ความเป็นตัวคุณ’ ไปพร้อมๆ กัน เพราะบางครั้งการเป็นคนใจดีก็อาจสร้างบาดแผลโดยไม่รู้ตัวได้เหมือนกัน
‘pleaser mentality’ คือคำเรียกลักษณะรวมๆ ของบุคคลประเภท ‘yes man!’ การเป็น pleaser อาจจะสร้างความอิ่มเอมใจให้กับคุณในช่วงระยะเวลาเริ่มต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เพิ่งเริ่มต้นชีวิตการทำงานใหม่ๆ หรือตัดสินใจย้ายงานในช่วงแรกๆ ไม่ว่าใครจะไหว้วานให้ช่วยเหลือทำอะไรก็รับปากไปเสียหมด ซึ่งเรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหามาก ถ้าคุณควบคุมและตีกรอบขอบเขตการทำงานของตัวเองได้
ทว่า pleaser ส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อคนรอบๆ ตัวมี ‘perception’ มาที่คุณแบบเดียวกับที่คุณแสดงออกว่า ยินดีจะช่วยเหลือทุกคน ทุกเมื่อ ขอบเขตที่คุณสร้างไว้จึงค่อยๆ ขยายออกไป กลายเป็น ‘scope creep’
คุณจะกลายเป็นคนแรกที่ทุกคนนึกถึงเมื่อต้องการความช่วยเหลือ คุณจะเป็นคนแรกที่ถูกขอให้ทำงาน add-on สุดพิเศษ คุณจะเป็นคนที่อยู่ออฟฟิศถึงดึกทุกครั้งจนเป็นภาพชินตา งานส่วนอื่นๆ ที่เพิ่มมากลายเป็นงานประจำตั้งแต่เมื่อไรคุณอาจจะจำไม่ได้ เพราะขอบเขตที่คุณสร้างไว้ตั้งแต่แรกมันช่างพร่าเลือนเหลือเกิน
แต่คำถามก็คือ ทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคุณรึเปล่า แล้วจะมีวิธีจัดการกับความใจดีของตัวเองยังไงได้บ้าง
ก่อนอื่น ลองไปตรวจสอบต้นตอสาเหตุที่เกิดขึ้นกันก่อนค่ะ โดยแบรด เวิร์ธลีย์ (Brad Worthley) ที่ปรึกษาด้านการบริการลูกค้า และความเป็นผู้นำ บอกว่า การเกิดขึ้นของ ‘scope creep’ อาจเป็นผลมาจากการที่บุคคลมีความนับถือในตนเองต่ำ (low self-esteem) ทำให้กลายเป็นคนที่ทำงานหนักเกินไป ทำทุกอย่างมากเกินพอดี ลองปรับมายด์เซ็ต ทำความเข้าใจกับสภาวะที่เกิดขึ้น ด้วย 3 เทคนิค นั่นคือ วาง-ควบคุม-ลำดับ
ข้อแรก ได้แก่ วางความเป็น ‘pleaser mentality’ ลงซะ คนที่ใจดี ใจอ่อน ชอบช่วยเหลือทุกคนจนไม่คิดถึงความสามารถในการแบกรับของตัวเองนั้น แท้จริงแล้วเพราะพวกเขามีความพึงพอใจที่จะแบกรับสิ่งนั้นเองต่างหาก
อาจจะดูใจร้ายไปหน่อยแต่ลึกลงไปแล้วที่เราเลือกจะไม่ปฏิเสธ และอ้าแขนรับทุกอย่างมาทั้งหมด เป็นเพราะเราอยากจะเป็นที่รักของทุกคน ต้องการช่วยเหลือคนอื่นๆ อยากให้ทุกคนเคารพความเป็นคุณ
แต่อีกมุมหนึ่งที่คุณอาจจะไม่เคยนึกถึงเลยก็คือ การกวาดทุกอย่างมาไว้ภายใต้ความรับผิดชอบของตัวเองยังคล้ายกับเป็นการฉกฉวยโอกาสในการเรียนรู้ของคนอื่นๆ ซึ่งท้ายที่สุด ความเป็น ‘pleaser’ ที่ว่าก็ไม่ใช่อะไรที่จีรังยั่งยืน มันจะทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย ไม่ใช่แค่เหนื่อยงานแต่ถึงที่สุดแล้วคุณจะค้นพบข้อเท็จจริงที่ว่า เราไม่มีทางทำให้ทุกคนมีความสุขไปได้ตลอด
ฉะนั้น การเลือกจะทำตามคำขอร้องจึงไม่เป็นประโยชน์ทั้งกับตัวเองคุณเอง และคนรอบข้างด้วย
ต่อมาคือ เรียนรู้ที่จะขอความช่วยเหลือให้เป็น ‘pleaser’ ชอบช่วยเหลือคนอื่น และโอบรับทุกอย่างมาไว้ที่ตัวเอง แต่ในทางตรงกันข้ามก็เป็นพวกเขาอีกนั่นแหละที่ไม่กล้าร้องขอความช่วยเหลือจากใครๆ ไม่ใช่แค่เพราะเกรงใจนะ แต่อีกนัยหนึ่งถ้าทำด้วยตัวเองไม่สำเร็จก็จะเกิดความรู้สึกว่า ล้มเหลว ‘out of control’ กับชิ้นงานนั่นเอง
ซึ่งจริงๆ แล้วอาการคิดวนไปวนมา พยายาม ‘crack’ ปัญหา และกล่าวโทษตัวเองซ้ำๆ แบบนี้ นอกจากจะไม่ได้ทำให้ทุกอย่างคลี่คลายแล้ว ยังอาจส่งผลต่อสปีดของกระบวนการทำงาน และจะยิ่งเพิ่มรอยร้าวการสื่อสาร ปรึกษาพูดคุยกันในทีมด้วย
ทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า การรับเอาความช่วยเหลือของคนอื่นๆ มาปะติดปะต่อให้กับตัวคุณไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย ไม่มีใครทำได้ดีไปหมดทุกอย่าง คนเก่งจึงไม่ใช่แค่การมีทักษะ ‘solve problems’ ได้ แต่ยังต้องรู้จักขอความช่วยเหลือคนอื่นให้เป็นด้วย
และสุดท้าย คือการวางแผน ลำดับความสำคัญ และวางขอบเขตให้ตัวเอง การทำงานเป็น ‘priority’ แรกๆ ในชีวิตของหลายคนก็จริง ดิฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นอันดับแรกๆ แต่อย่าลืมว่า งานไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิตขนาดนั้น
.
ไม่ได้จะบอกให้ทุกคนใช้แนวคิดแยกงานกับชีวิตออกจากกันนะคะ มองงานกับชีวิตไปพร้อมๆ กันได้ก็ดีค่ะ แต่จาก 100 เปอร์เซ็นต์ของชีวิตคงไม่ได้เต็มไปด้วยงานทั้งหมดถูกต้องไหมคะ ในสัดส่วนอื่นๆ ที่จะเข้ามาเติมเต็ม ‘life’ ให้สมบูรณ์มากขึ้นยังประกอบไปด้วยครอบครัว เพื่อนสนิท คนรัก ชีวิตส่วนตัว และอื่นๆ อีกยิบย่อยมากมาย
.
ลองลำดับสลับๆ ดูบ้าง วันนี้ลองเปลี่ยนเป็นเพื่อนและครอบครัวขึ้นมาก่อนงานดูไหม หรือวันไหนที่ไม่จำเป็นต้องอยู่เคลียร์งานจนดึก ก็ลองสับให้สัดส่วนอื่นๆ เป็น priority แรกๆ ดูบ้าง ขอบเขตนี้ไม่ได้กำหนดเป็นเส้นตาย แต่ขึ้นอยู่กับคุณต่างหากว่าจะบาลานซ์ยังไงให้มีความสุขที่สุด
เขียนโดย Piraporn Witoorut
.
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
.
.
“Knowledge is the only way to success”
- - - - - - - - - - - - - - - - - -
ติดตามคอนเทนต์เพื่อพัฒนาตัวเองสู่ความสำเร็จจาก Future Trends ได้ที่
(อย่าลืมกด See First เพื่อไม่ให้พลาดคอนเทนต์ใหม่ในทุก ๆ วัน)
#FutureTrends #KnowledgeforSuccess
โฆษณา