#MODERN : จาก Dr.No ถึง No Time to Die และปืนคู่ใจของสายลับ 007
กระแสภาพยนตร์ No Time to Die ภาพยนตร์สายลับ 007 ภาคสุดท้ายของ แดเนียล เคร็ก (Daniel Craig) ยังคงทำรายได้ดีอย่างต่อเนื่อง เมื่อแฟนๆสายลับทั่วโลกต่างเฝ้ารอการกลับมาของบอนด์ที่ว่ากันว่า ‘ดีที่สุด’ โดยทำรายได้ทั่วโลกในสัปดาห์ล่าสุดคือ 313 ล้านเหรียญดอลล่าสหรัฐ หรือเป็นจำนวนเงินกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท สร้างความหวังให้กับอุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั่วโลก ที่ได้รับผลกระทบจากสภาวะโควิด-19
ย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ภาพยนตร์สายลับ 007 ตลอดระยะเวลา 59 ปี นักแสดงชายมากมายต่างร่วมสร้างความทรงจำให้ผู้ชม ในฐานะสายลับ MI6 ใส่สูทถือปืนพก ผู้มีผมดำ ตาฟ้า และสเน่ห์แบบที่สาวๆหลงใหล ตั้งแต่บอนด์คนแรกที่รับบทโดย ฌอน คอนเนอรี (Dr.No - You Only Live Twice), จอร์จ ลาเซนบี (On Her Majesty's Secret Service), โรเจอร์ มัวร์ (Live and Let Die - A View to a Kill), ทิโมธี ดาลตัน (The Living Daylights - Licence to Kill), เพียร์ซ บรอสแนน (Tomorrow Never Dies - Die Another Day) จนถึง แดเนียล เคร็ก (Casino Royale - No Time to Die) บอนด์คนล่าสุดซึ่งเพิ่งอำลาบทไปไม่นานหลังจากรับบทมากกว่า 15 ปี เรียกว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนานสำหรับชีวิตนักแสดงท่านหนึ่งเลยทีเดียว
ปืนอื่นๆของบอนด์: นอกจากปืนหลักที่เราเห็นบ่อยๆแล้ว บอนด์เป็นสายลับที่มีความสามารถในการใช้อาวุธได้ทุกประเภทโดยเฉพาะปืน ดังนั้นในแต่ละภาคจะมีปืนเด่นๆที่เราได้เห็นกันนอกจาก PPK 418 และ P99 อย่าง FN Model 1910 (Dr.No), Walther P38 (Gold Finger), M. B. Associates Gyrojet Rifle (You Only Live Twice), Savage 99F (For Your Eyes Only), SIG-Sauer P226 (Quantum of Solace) และ Glock 17 (Skyfall)
เนื่องจาก No Time To Die กำลังจะลาโรงในไม่ช้า เราขอยกคำพูดของแดเนียล เคร็กขณะกล่าวอำลาการเดินทางภายใต้รหัส 007 และชื่อเจมส์ บอนด์ ตลอด 15 ปีในกองถ่ายภาพยนตร์ No Time To Die ว่า “ทีมงานมากมายตรงนี้ร่วมเดินทางกับผมตั้งแต่หนังภาคแรก ผมรู้ว่าตลอดเวลามันมีเรื่องมากมายเกิดขึ้น แต่เชื่อเถอะว่าผมรักทุกๆวินาทีของหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะ No Time To Die เพราะในทุกเช้าที่ผมตื่นขึ้นมาเพื่อร่วมงานกับพวกคุณ มันเป็นช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเป็นเกียรติที่สุดในชีวิต”