19 ต.ค. 2021 เวลา 15:46 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Music of the Spheres - Coldplay
บทเพลงแห่งการวนลูป
[รีวิวอัลบั้ม] Music of the Spheres - Coldplay
-เห็นหน้าปกอัลบั้มแล้วก็อดนึกถึง A Head Full of Dreams ไม่ได้เสียจริง เวลาเราเห็นหน้าปกอัลบั้มที่เคยผ่านตามาแล้ว อย่างแรกไอ้เราก็ไม่ใช่คนประเภทด่วนตัดสินหนังสือที่หน้าปกหรอกนะ แต่ความไม่มีอะไรใหม่กลับฉุกคิดอยู่ในหัวด้วยความน่าเสียดายจนได้ สไตล์เพลงโดยรวมในงานชุดล่าสุด แทบจะไม่ต่างจากงานชุดนั้นจนแทบกลับไปกดสูตรอิเล็กโทร-ป็อปอีกครั้ง การเชิญแขกรับเชิญบอยแบนด์ที่ดูทรงแล้วน่าจะพยายามเอาใจชาวเอเชียมากกว่าการเสริมบริบทมิติของภาษาข้ามชาติพันธุ์ให้แข็งแกร่งอย่างจริงจัง ความพยายามของวงร็อคที่ขึ้นชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุดแห่งเกาะอังกฤษกลับทำสิ่งที่เรียกว่า “ง่ายไป” ในมุมมองคนฟังที่ติดตามมานาน 25 ปี ถ้าไม่ให้ผิดหวังไปมากกว่านี้ก็คงจะเป็นสเตตัสของวงที่ไปไกลจนถึงจุดอิ่มตัวเสียจน เราแทบจะไม่คาดหวังงานเพลงท้าทายทางโสตประสาทและความคิดจากวงนี้เป็นแน่นแท้
-ต่อให้พวกพี่ๆเน้นทำเพลงด้วยภาษาที่ง่าย ทุกเพศทุกวัยไม่ต้องไต่บันไดฟัง คุยด้วยภาษาสากลก็ตาม เราก็ยังคาดหวังการทำเพลงด้วยอารมณ์ที่หนักแน่นมั่นคงซึ่งเป็นดีเอ็นเอหลักของวงนี้อยู่ดี เพียงแต่ความหนักแน่นดังกล่าวกลับเบาบางลงด้วยการวิ่งตามกระแสในบางเวลา คำร้องยังน้อย การปล่อยให้ Theme Song เป็นตัวบ่งบอกความรู้สึกไปเกือบ 60 เปอร์เซ็นต์ มันทำให้ผมแอบคิดเหมือนกันว่า นี่พวกพี่ทำเพลง Theme Song เตรียมออกทัวร์ใช่มั้ย ? ความพยายามจะพาคนฟังทัวร์จักรวาลกลับขาดสิ่งที่ “เปิดหูเปิดตา” ด้วยสายตาที่ไม่กว้างไกลเกินพอที่จะเพลิดเพลินในความพิสมัยระหว่างทางได้
-การเรียกใช้บริการจาก Max Martin ในครั้งนี้อาจจะไม่ตรงจุดซะเท่าไหร่ ให้ขุนพลเพลงป็อปที่มีกรอบของสไตล์ป็อปคนเมือง มีเป้าประสงค์พุ่งที่ชาร์ตเพลง กลายเป็นความไม่ beyond ไปตามบริบทซักเท่าไหร่นัก เราเลยได้ป็อป-ร็อคของ Full Band ทั่วไป ไม่ได้มีกลิ่นไซไฟจ๋าขนาดนั้น เป็นการบอกเล่าเรื่องความรักความสัมพันธ์ของบุคคลรอบข้าง โดยมีแสงสีไฟนีออนฟ้าชมพูคอยเป็นแม่สี ไม่ต่างจากผับบาร์หรืองานคอนเสิร์ตตีมอวกาศก็เท่านั้น
-เห็นแววจากซิงเกิ้ลแรก Higher Power มันเป็นอิเล็กโทรป็อป upbeat ที่ไม่ได้ส่งต่อพลังมากนัก มีลูกเล่นที่เห็นได้ตามศิลปินป็อปทั่วไป ผิดกับ Humankind ที่ส่งต่อความ alert ได้ดีกว่า มันเป็น anthem ปลุกใจที่มีลูกเล่นโหมโรงสมกับการเอาไปสาดพลังใน stadium ที่ยังพอมีดีเอ็นเอเก่าๆของวงหลงเหลือบ้างคงหนีไม่พ้น People of The Pride ที่มีรีฟกีตาร์ปลุกเร้ามากที่สุด ได้ยินปุ๊บพร้อมดึงอารมณ์ให้คนดูกระทืบเท้าได้เลย ดีเอ็นเอความเป็นนักร้องสายให้กำลังใจหนักแน่นยังคงอยู่ในเพลง Let Somebody Go ซึ่งมีแนวโน้มฮิตมากๆโดยเฉพาะในไทย เพราะพี่ไทยชอบฟีลระล่ำระลักปล่อยเธอไปแบบนี้ แถมยังได้ Selena Gomez มาฟีท Gen Y-Z ให้ความสนใจ น่าจะติดชาร์ททั่วโลกได้อยู่
-นอกจากจะกดสูตรป็อปตาม AHFOD ยังมีการหยิบสไตล์เพลงบางส่วนจาก Everyday’s Life มาอย่างละนิดหน่อยอย่างเห็นได้ชัด เช่น ❤️ (Human Heart) ที่ได้ We Are KING และ Jacob Collier มาฟีทรวมตัวกันประสานเสียงกอสเปล ชวนระลึกถึง interlude track อย่าง When I Need a Friend เพลงมโนมุมมองเอเลี่ยนมองมายังโลกอย่าง Biutyful ที่ใช้เทคนิคการ distort เสียงเจี๊ยวจ๊าวขี้เล่นแบบในเพลง Cry Cry Cry อินโทรกระเพื่อมแอบแปลกๆมากกว่าล้ำ แต่มีจุดที่ผมชอบมากสุดคือ ท่อนแยกท่อนสุดท้ายก่อนเข้าฮุก หนักแน่นเข้าที่เข้าทางมากสุด ทั้งนี้ทางวงยังไม่เปิดเผยว่าใครคือคนที่เป็นตัวแทนเอเลี่ยนเสียงเจี๊ยวจ๊าวคนนั้น
-มาถึงช่วงระทึก เอ๊ย ! เพลงที่ทุกคนรอคอยคือการคอลแลปกันระหว่างวงดนตรีพี่ใหญ่เกาะอังกฤษกับ Bangtan Boys บอยแบนด์เกาหลีใต้ที่ไปได้ไกลไม่มีใครไม่รู้จักกับเพลง My Universe ไอ้ผมรู้สึกยินดีนะที่เห้ย 7 หนุ่มเอเชียบุญถึงว่ะที่ได้ร่วมงานกับวงกิตติมศักดิ์สุดยิ่งใหญ่ระดับโลก ตอนที่ได้ยินการคอลแลปนี่ก็แอบหวั่นใจส่วนนึงในเรื่องของความเข้ากันได้ ผลที่ได้คือพี่คริสและชาวคณะลงมาลดวัย เรียนรู้วิถีบอยแบนด์ชัดๆ สิ่งนึงที่เข้าใจคิดคือการให้ 7 หนุ่มมาร้อง/แร็พด้วยภาษาตัวเองเนี่ยแหละ อย่างน้อยก็เปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมทางภาษากันมากกว่าจะใส่อังกฤษกันอย่างเดียว
-แต่ถ้าจะเป็นเพลงที่ทำหน้าที่เป็นมิติความแตกต่างทางชาติพันธุ์และภาษาของคนร่วมโลกกลับไม่มีน้ำหนักในการส่งสาสน์ที่แข็งแกร่งมากนัก เป็นการดันรุ่นน้องต่างชาติที่ไม่สอดรับกับเนเจอร์วงตัวเองมากซะเท่าไหร่ เหมือน Coldplay เข้าหา BTS ยิ่งมีแทร็คก่อนหน้า (Music of the Spheres II) ต่อด้วย ♾ (Infinity Sign) ต้องอุทานด้วยความไม่น่าเชื่อเมื่อเอา 3 แทร็คมารวมกัน นี่พวกพี่ซ้อมไปโอลิมปิกใช่มั้ย ?
-ปิดท้ายด้วยสูตรโคลย์เพลย์ที่คุ้นเคย เพลงปิดอัลบั้มต้องยาวเป็นพิเศษอย่าง Coloratura ที่ยังคงสมเกียรติโคลเพลย์อยู่ไม่น้อย ต่อให้เพลงระหว่างทางจะไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นที่น่าจดจำก็ตาม อย่างน้อยเพลงปิดท้ายอัลบั้มเกือบทุกชุดมักจะเข้าตาคนฟังเสมอ เฉกเช่นเพลงนี้ที่คอรัสประสานเสียงโดดเด่น ฮาร์โมนี่ งดงามเป็นล้นพ้น และยังมีความเจ้าบทเจ้ากลอนโรแมนติกอบอุ่นหัวใจอีกเช่นเคย ต่อให้โลกจะวุ่นวายแค่ไหน คุณเท่านั้นคือสิ่งที่ผมต้องการ ความยาวเกือบ 10 นาที มากด้วยลวดลายศาสตร์เพลงป็อปและเข้มข้นในช่วงองก์สองพอกัน
-Music of the Spheres คืองานที่ฟังง่าย แต่ก็ผ่านไปได้ง่ายเช่นกัน ด้วยเหตุผลของแก่นหลักที่ช่างเบาบาง ผมยังไม่เห็นสาระสำคัญของงานเพลงที่วางไว้เป็นการเดินทางรอบอวกาศ ข้ามเอกภพ จะไปไกลแต่ก็ไม่ไกลมาก เนื่องจากความจับฉ่ายที่เดี๋ยวพูดเรื่องนอกโลก/ในโลกในแบบที่ล่องลอย นอกเหนือเสียจากหยุดอยู่ตรงที่การมอบความรักให้แก่เพื่อนมนุษย์และคนรัก เต้นรำไปด้วยกันก็เท่านั้น คาดเดาได้ โดยเฉพาะพาร์ท interlude ไม่ได้มอบมิติที่แตกต่างหรือเป็นน่าพิสมัยมากนัก สุดท้ายเป็นการคั่นเวลา ตัด element intro outro ของเพลงเต็มแยกมาก็เท่านั้น เอาจริงพี่ทำแบบ The 1975 ชุดล่าสุดก็ดีเสียกว่า ประหนึ่งพวกพี่ทำเพลงบรรเลงด้วยอีกมิติแยกต่างหากเลยก็ได้
-สุดท้ายนี่ไม่ใช่งานเพลงที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนการโอบกอดโลกได้ดีนัก เหมือนคนที่เพิ่งเห่อหนังไซไฟแล้วคิดการใหญ่ แต่ใจไม่ถึง มองข้ามการใส่ใจรายละเอียดสิ่งละอันพันละน้อย ขาดการให้น้ำหนัก Full Band ระหว่างทาง ผ่านแล้วผ่านเลย ไม่ดึงดูดให้คนฟังซึมซับเต็มที่ ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากการมีของในมือให้มีประสิทธิภาพพอ ผ่านการคิดน้อยเกินไป สนองความแอบหิวการออกทัวร์เสียจนรีบทำเพลงเพื่อให้มีเพลงใหม่ไปเล่น โดยที่ไม่ดูเลยว่าคนที่ต้องการฟังเพลงพวกพี่ ที่จริงแล้วเค้าไม่คิดไกลอยากได้อะไรล้ำๆ หรือการนำเสนอเพลงใหม่แก้ขัด แต่อยากได้งานเพลงที่อยู่กับพวกเขาได้นานๆต่างหาก
รุ่นใหญ่ไม่น่าพลาดเรื่องการทำอย่างไรให้เต็มอิ่ม
Top Tracks : Humankind, People of The Pride, Coloratura
Give 5.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา