19 ต.ค. 2021 เวลา 21:59 • ท่องเที่ยว
Turkey (18) นครใต้ดิน .. Kaymakli
คัปปาโดเจีย … เป็นเมืองที่อยู่ระหว่างทะเลดำกับภูเขาเทารุส มีความสำคัญมาแต่โบราณกาลเพราะเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม อันเป็นเส้นทางค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรมที่ทอดยาวจากตุรกีไปจนประเทศจีน
.. ลาวาที่พ่นออกมาและเถ้าถ่านจำนวนมหาศาล อันเกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ และพลังธรรมชาติจากกระแสน้ำ ลม ฝน แดด และหิมะ ในบริเวณนี้ ได้ทำให้แผ่นดินที่ทับถมกันนับล้านปี เกิดเป็นภูมิประเทศประหลาดแปลกตาน่าพิศวงมากมาย จนชนพื้นเมืองเรียกขานกันว่า “ปล่องไฟนางฟ้า” (Fairy Chimney)
Cappadocia .. เป็นชื่อ ฮาลี คานาโซส เรียกขานเป็นคนแรก ต่อมาเปอร์เซียเรียกชื่อเมืองว่า คัตปาตุกา (Katpatuka) แปลว่า ดินแดนแห่งม้าแสนสวย .. แต่ปัจจุบันกลับมาเรียก “คัปปาโดเจีย” เหมือนเดิม
ในช่วงราวศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสตกาล .. คัปปาโดเจีย ภายใต้อิทธิพลของอาณาจักรโรมัน ผู้คนแถบนี้จึงล้วนเคารพบูชาในเทพเจ้าของกรีกและโรมัน กระทั่งประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 “เซนต์ปอล” ได้เดินทางมาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในแถบนี้ แต่ดูเหมือนว่าชาวโรมันผู้ปกครองในยุคนั้นจะปฏิเสธ และได้ไล่กำจัดทำลายล้างผู้ที่นับถือคริสต์ จนต้องหลบซ่อนการรังควานของพวกโรมันด้วยการเจาะถ้ำขุดพื้นดินลงไปเป็นอุโมงค์โถงห้อง เกิดเป็นเมืองใต้ดินขึ้นมา ที่สำคัญคือ พวกเขาได้ขุดเจาะบริเวณ “เกอเรเม่” ทำเป็นโบสถ์ถ้ำขึ้นมาเป็นจำนวนมาก
Kaymakli Underground City … เป็นหนึ่งในเมืองใต้ดินในอาณาเขตของคัปปาโดเกีย มีลักษณะเป็นอาคารบ้านเรือนที่ยังมีคนอาศัยอยู่ในดินอยู่ในบ้านถ้ำทั่วบริเวณไปหมด และวิถีชีวิตในการขุดเข้าไปในหินภูเขาไฟ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย รวมถึงใช้เป็นศาสนสถานต่างๆ ก็ยังได้รับการปฏิบัติสืบต่อกันมานานนับพันปีจนถึงปัจจุบัน
ที่น่าทึ่งมาก ก็คือ .. การขุดเจาะพื้นดินลงไปเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย เพราะไม่ใช่แค่ขุดเมืองใต้ดินลึก 1-2 ชั้น แต่ว่าได้ขุดลึกลงไป 6-7 ชั้น ไปจนถึง 10 กว่าชั้น โดยชั้นล่างที่ลึกที่สุด ลึกถึง 85 เมตรทีเดียว ... นับเป็นภูมิปัญญาที่เป็นรูปธรรมชัดเจนของชาวคัปปาโดเกีย มาตั้งแต่ยุคโบราณ
บางคนกล่าวว่า .. เมืองใต้ดินแบบนี้มีรวมกันถึงราว 150-200 แห่ง และบางแห่งอาจจะมีผู้คนอาศัยอยู่ถึง 30,000 คน แต่ที่ Kaymakli Underground City แห่งนี้เป็นสถาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เปิดให้เข้าชมได้
การขุดถ้ำจำนวนมากนี้ ได้ก่อให้เกิดเมืองใต้ดินที่มีครบเครื่องทุกอย่าง ... ทั้งส่วนที่เป็นที่อยู่อาศัย ห้องโถง ซึ่งโถงบางแห่งจุคนได้เป็นพันๆคน ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องถนอมอาหาร ห้องครัว ห้องอาหาร โบสถ์ ทางหนีฉุกเฉิน ฯลฯ
เมืองใต้ดิน Kaymakli ซึ่งเปิดให้เข้าชมได้เพียงแค่ 4 ชั้น … เราพบว่า ทางเดินลงแคบมาก บางช่วงเป็นทางชัน และบางช่วงมีบันไดแคบๆ จึงต้องเดินเรียงหนึ่งลงไปเท่านั้น ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาเรื่องเข่า หลัง โรคหัวใจ จึงไม่ควรลงไป
อย่างไรก็ตาม .. แม้จะเป็นเมืองขนาดใหญ่ขุดลึกลงไปในหินภูเขาไฟ ใต้ดินหลายชั้น แต่ว่าด้วยการวางแผนสร้างที่ยอดเยี่ยม จึงทำให้อากาศในนั้นกลับถ่ายเทได้ดี .. เวลาที่เราเดินชม สามารถมองเห็นวิธีการถ่ายเทอากาศจากชั้นต่างๆให้ไหลเวียนได้ เยี่ยมมากค่ะ
อากาศภานในเย็นสบาย มีอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีประมาณ 17-18 องศาเซลเซียส หน้าร้อนอากาศเย็น หน้าหนาวอากาศอบอุ่น ทำให้ยามที่ลงไปท่องในเมืองใต้ดินไม่รู้สึกอึดอัด กลับสบายๆ เดินได้ชิวๆ
บ้านใต้ดินมากมายเหล่านี้สามารถเดินทะลุกันได้ .. ชั้นแรกๆ ใกล้พื้นดินด้านนอก จะใช้เป็นสถานที่เก็บปศุสัตว์ ฉันสังเกตุเห็นว่ามีการสกัดหินให้เป็นรู … ไกด์ของเราอธิบายว่า รูที่เห็นเอาไว้สอดเชือกเพื่อผูกสัตว์ให้อยู่กับที่
แต่ละชั้นของเมืองใต้ดินมีทางเดินลดเลี้ยว ส่วนใหญ่จะแคบๆ แต่ก็ยังกว้างกว่าอุโมงค์ที่เคยเห็นในเวียดนามมาก .. อย่างไรก็ตาม เวลาเดินชมภายในต้องระมัดระวังไม่ให้เดินชนหิน หรือสิ่งต่าวงๆที่มีบาวครั้งมีวางอยู่ตามทางเดิน
การแบ่งพื้นที่ภายในเป็นสถานที่ในการใช้สอยให้ครบฟังชั่นค์ที่จำเป็นน่าสนใจมาก .. มีการแบ่งพื้นที่เป็นที่พักของครอบครัว เจาะเป็นช่องๆเข้าไปในผนังหิน เหมือนมีเตียงหินเอาไว้นอน ซึ่งเราเชื่อว่า คงจะมีวัสดุรองเพื่อความอยอุ่นด้วย
.. มีส่วนที่เป็นครัว ที่ว่ากันว่า เมืองใต้ดินส่วนใหญ่จะมีครัวที่ทุกบ้านใช้ร่วมกัน เป็นเหมือนครัวของคอมมูน เป็นการประหยัดพื้นที่ที่มีจำกัด ให้สามารถเอาไปใช้ในส่วนอื่นๆ
.. มีพื้นที่ที่ใช้เป็นสถานที่ทำไวน์ ซึ่งการปลูกองุ่นจะอยู่ด้านนอก เมื่อเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วจึงจะนำเข้ามาด้านใน เพื่อนำมาผ่านกรรมวิธีหลายขั้นตอน จนเป็นไวน์ และที่นี่ยังมีช่องสำหรับเก็บภาชนะเก็บน้ำองุ่นเพื่อนำมาหมักด้วยค่ะ
.. แค่คิดจินตนาการที่คนมากมายมาช่วยกันทำไวน์ ก็รู้สึกสนุกแล้ว .. จะมีการเต้นรำฉลองด้วยมั๊ยนะ?
... มีพื้นที่ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คือ โบสถ์ อันเป็นศูนย์รวมทางจิตใจ และจิตวิญญาณของผู้คน .. พยายามมองหา ร่องรอยของไม้กางเขน และที่ฝังศพของนักบวชหลายท่านที่เคยอ่านเจอ
.. ด้านหนึ่งของห้องที่มีอยู่ จะมีหินที่ใช้สำหรับเป็นแท่นทำเครื่องทองแดง และอาวุธต่างๆ
Moving Stone Gate … เป็นประตูที่ใช้กั้น ในช่วงที่มีข้าศึกบุกเข้ามา ส่วนรูตรงกลางเป็นที่สำหรับใช้สังเกตุความเคลื่อนไหวสิ่งที่อยู่ด้านนอก .. ต้องชื่นชมคนโบราณที่เคยอาศัยอยู่ ณ สถานที่แห่งนี้ ที่ได้สร้างกลไกป้องกันที่ฉลาดล้ำลึก
ดังนั้น แม้ว่าวัตถุประสงค์ในการสร้าง จะยังไม่ชัดเจนทีเดียว แต่หลายคนก็เชื่อกันว่า ผู้นับถือศาสนาคริสต์ในยุคแรกๆ ที่หลีกลี้จากยุโรปเข่าสู่คาบสมุทรอนาโตเลีย จึงยังมีศัตรูและผู้ที่นับถือละทธิความเชื่อต่างกันรุกรานอยู่เสมอ .. การสร้างนิวาสสถานพักอาศัยอยู่ใต้ดินจึงเกิดขึ้นเพื่อป้องกันศัตรูจากภายนอก
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา