Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สิงห์นักอ่าน
•
ติดตาม
21 ต.ค. 2021 เวลา 10:37 • หนังสือ
☀️ รีวิวหนังสือ ”รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลง” เราจะรับมือการเปลี่ยนแปลงในสภาวะปัจจุบันได้อย่างไร? ☀️
เขียนโดย คุณรวิศ หาญอุตสาหะ
📚 หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเล่มที่ 10 แล้วของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ CEO ผู้พลิกโฉมแบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติไทยอย่าง “ศรีจันทร์” ให้ดูทันสมัย และโดนเด่นมากยิ่งขึ้นรวมถึงเป็นผู้ก่อตั้งเพจ “Mission to the moon” ที่ตัวผมนั้นเป็นแฟนคลับตัวยงเลยครับ : )
โดยคุณรวิศทำตั้งแต่งานบริหารธุรกิจของตัวเอง รวมถึงเป็นกรรมการให้กับบริษัทขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ อีกทั้งยังเขียนหนังสือ เขียนบทความ ทำ podcast อ่านข่าวตอนเช้า ตลอดจนไปบรรยายตามที่ต่าง ๆ แถมยังเป็นนักวิ่งมาราธอนอีกต่างหาก!! (คนอะไรจะทำอะไรได้เยอะขนาดนี้เนี่ย!) เรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ “Super Productive” สุด ๆ และคำว่า Super Productive นี่เหมือนจะเป็น signature ที่ติดตัวคุณรวิศไปแล้วด้วยครับ
💥 ธีมของหนังสือเล่มที่ 10 ของคุณรวิศนั้น ผมว่ามันเข้ากับสภาวะในยุคปัจจุบันมาก ๆ ที่เราทุกคนต้องเจอกับวิกฤตของโรคระบาดอย่างโควิด-19 ที่อยู่กับเรามาจะสองปีอยู่แล้ว พวกเราต้องปรับตัวในการใช้ชีวิตมากเหลือเกินตั้งแต่การใช้ชีวิต สังคม การทำงาน ธุรกิจต่าง ๆ ที่หนีไม่พ้นจากผลกระทบของเหตุการณ์โรคระบาดในครั้งนี้ ซึ่งประสบการณ์และแนวคิดต่าง ๆ ในการปรับตัว และการยืนหยัด ต่อสู้ให้ได้ในสภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้ได้ถูกถ่ายทอดผ่านหนังสือเล่มนี้โดยมีเนื้อหาหลัก ๆ แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่ Defining Moments, Tight-Loose-Tight, The Amount of Joy แล้วก็ Wake-Up Call ครับ
1
……………..
“Defining Moments” 🌈
ในส่วนแรกจะเน้นในเรื่องจุดเริ่มต้นของแนวคิดและ mindset ในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ซึ่งผมจะขอยกบางเรื่องที่รู้สึกว่าชอบมาเล่าให้ฟังกันครับ
อย่างเรื่องแรกที่ชื่อตอนว่า “แปรงฟัน” ซึ่งคุณรวิศเล่าให้เห็นความสำคัญของการกระทำสิ่งเล็ก ๆ ที่ในระยะยาวจะส่งผลกระทบหรือเปลี่ยนชีวิตเราได้ เช่น เรื่องการเขียนบทความหรือการทำ podcast ของคุณรวิศเองที่พยายามทำอย่างสม่ำเสมอจนสุดท้ายทำให้ตัวเค้าสามารถออกหนังสือมาได้หลายเล่ม อีกทั้ง Mission to the moon ก็ยังเติบโตเป็นอย่างก้าวกระโดดจนทุกวันนี้มีรายการมากมาย ที่ผมแทบจะตามดูหรือฟังไม่ทันกันเลยทีเดียวครับ
1
แล้วในเรื่องเล่านี้ คุณรวิศได้เล่าเรื่องของเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่มีปัญหาเป็นโรคสมาธิสั้นตั้งแต่เด็ก จนคุณแม่ของเค้าต้องพาไปหากิจกรรมทำซึ่งก็คือการว่ายน้ำ เด็กผู้ชายคนนี้ชอบมาและฝึกฝนไปเรื่อย ๆ โดยแทบไม่เคยหยุดพัก เมื่อเวลาผ่านไปเด็กผู้ชายคนนี้ก็กลายเป็นนักว่ายน้ำทีมชาติสหรัฐอเมริกาเจ้าของสถิติเหรียญโอลิมปิกเยอะที่สุด ถึง 28 เหรียญ ซึ่งเค้าก็คือ ไมเคิล เฟลป์ส นั่นเองครับ 😲
1
📌 ซึ่งคุณรวิศได้สรุปเอาไว้ว่า การแปรงฟันก็เหมือนการทำอะไรซ้ำ ๆ ที่เราอาจไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง แต่ในระยะยาวเราจะมีสุขภาพฟันที่ดี ฟันไม่ผุ เหมือนกับการที่เราจะประสบความสำเร็จได้ด้วยการทำอะไรซ้ำ ๆ อย่างสม่ำเสมอครับ
1
สำหรับอีกตอนที่อยากเอามาเล่าเรื่อง คือ ตอนที่ชื่อว่า “1,000 ชั่วโมงนับจากนี้” ที่ได้อ้างอิงจากบทความของคุณธนา เธียรอัจฉริยะ ว่าในช่วงสถานการณ์โควิดแบบนี้ การทำงานในองค์กรนั้นจะมีโอกาสครั้งใหญ่ซ่อนอยู่คือ การทำงานที่คนอื่นไม่อยากทำ ไม่เกี่ยงงาน และทำงานหนักกว่าคนอื่น ซึ่งในช่วงวิกฤตนั้นบริษัทเองจะเห็นความทุ่มเทของคนที่ทำงานหนักได้อย่างชัดเจนขึ้นมาก ๆ และเมื่อผ่านเวลาวิกฤตเหล่านี้ไปบริษัทน่าจะตอบแทนเราอย่างเต็มที่แน่นอน
1
ในทางตรงกันข้ามหากเราทำตัวเอาเปรียบบริษัท ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามจนบริษัทอาจมองเห็นว่าไม่มีเราก็ได้ อันนี้ก็คงอันตรายต่ออาชีพของเราแล้วหละครับ ซึ่งเค้าบอกว่าเราจะเลือกเป็นแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้วหละครับ นี่จะเป็นจุดที่ ”defining moments” ของหน้าที่การงานเราเลยครับ 💡
……………..
“Tight-Loose-Tight” 🔩🪛
ในส่วนที่สองนี้จะเน้นพูดถึงการยืดหยุ่นทางความคิด แนวทางการบริหารจัดการองค์กรของคนที่มีบทบาทเป็นผู้นำ ซึ่งคำว่า “Tight-Loose-Tight” หรือ “ตึง-ผ่อน-ตึง” นั้นมาจากแนวความคิดในการบริหารของคุณซิกเว่ เบรกเก้ อดีตซีอีโอของ Telenor Group ที่คุณรวิศได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ ซึ่งคุณซิกเว่ได้ให้แนวคิดในเรื่องของความเป็นผู้นำไว้ว่า สภาวะผู้นำนั้นมีความสำคัญมากในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วดั่งเช่นทุกวันนี้ โดย leadership หรือหลักการความเป็นผู้นำที่คุณซิกเว่ใช้ก็คือ “Tight-Loose-Tight”
1
✅ Tight ตัวแรกคือการตั้งเป้าหมายที่จะต้องชัดเจน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุด
1
✅ Loose ถัดมาคือวิธีการทำงานที่ต้องให้มีความยืดหยุ่นและสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์
1
✅ Tight ตัวสุดท้ายคือการติดตามวัดผลที่ต้องมีการการวัดผลที่ดีและสม่ำเสมอ
1
👉🏻 สำหรับอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจในส่วนที่สองนี้ก็คือ เรื่องของการยืดหยุ่นทางความคิด หรือ “Cognitive Flexibility” ที่คุณรวิศบอกว่า มีความสำคัญในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ที่จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยไม่สติแตกไปก่อน ! ซึ่งทักษะนี้สามารถฝึกได้โดยการรับรู้และยอมรับปัญหาหรือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนเป็นอย่างแรก และหลังจากนั้นให้ลองเปลี่ยนมุมมองวิธีการคิดต่อปัญหานั้น ๆ รวมถึงเปลี่ยนวิธีการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ที่ใช้ไม่ได้ด้วยครับ
2
……………..
“The Amount of Joy” 🥳
ส่วนที่สามนี้จะพูดถึงเรื่องของการใช้ชีวิตให้มีความสุข คุณรวิศได้เล่าถึงเรื่องปริมาณความสุข ที่เมื่อคนเราเข้าสู่วัยกลางคน (ช่วงอายุ 35-50 ปี) ก็ควรจะต้องคิดถึงวิธีการใช้ชีวิตให้มีความสมดุล ซึ่งเค้ายกตัวอย่างมาสามเรื่องในเรื่องของสิ่งของที่เงินสามารถซื้อได้ ว่าเราอยากได้อะไร ขนาดไหน พอแค่ไหน
1
เรื่องถัดมาคือเรื่องความรัก ทั้งในเรื่องของครอบครัว คนรอบข้างและตัวเราเองที่ต้องสมดุลกัน และเรื่องสุดท้ายคือเรื่องงาน ที่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่กินเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตเราไปเลยก็ว่าได้ ที่เราต้องดูสมดุลให้ดีว่าเราจะต้องทำงานหนักขนาดไหน เราต้องการเงินหรือผลตอบแทนขนาดไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อการตัดสินใจต่าง ๆ ในชีวิตของเรา และมีผลไปยังความสุขของเราด้วย
1
💡 ในบทนี้คุณรวิศยังได้พูดถึงเรื่องชัยชนะเล็ก ๆ หรือ “small wins” ซึ่งเค้าได้ยกตัวอย่างเรื่องของการวิ่งที่คุณรวิศบอกว่า ตัวเลขสถิติต่าง ๆ ในการวิ่งเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้เค้าพยายามทำต่อไป และเมื่อได้ small win แล้วเราก็ควรฉลองหรือให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเราเอง เช่น ถ้าวิ่งได้จบตามเป้าหมายก็จะได้กินขนมที่อยากกิน
1
นอกจากนี้ในบทนี้ยังเล่าถึงเรื่องการใช้ชีวิตยังไงให้แก่ช้า ซึ่งต้องประกอบกันทั้งสองส่วนทั้ง “young at heart” คือจิตใจและวิธีคิดแบบหนุ่มสาวและ “young at health” คือต้องมีสุขภาพร่างกายที่ดีด้วยครับ ❤️
……………..
“Wake-Up Call” 🌅
ในส่วนสุดท้ายเป็นส่วนที่เล่าถึงปัญหาของสังคมที่สะสมอยู่มานานแล้ว แต่โดนเปิดแผลให้เห็นชัด ๆ ด้วยวิกฤตโควิด หลัก ๆ ก็คือเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางสังคม ที่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างขนาดใหญ่ของประเทศเรา ที่หลาย ๆ ภาคส่วนน่าจะต้องช่วยกัน โดยตัวคุณรวิศเองและบริษัทศรีจันทร์เองนั้นก็ได้มีส่วนร่วมและริเริ่มช่วยเหลือสังคมในเรื่องนี้เช่นกัน ให้ทุกคนสามารถก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายครั้งนี้ไปได้
💡 ซึ่งเรื่องของความเหลื่อมล้ำนี้ คุณรวิศได้เขียนข้อเสนอไว้น่าสนใจทีเดียวครับ คือ ควรเริ่มคิดการจัดสรรรายได้ขั้นพื้นฐาน (Universal Basic Income) การเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาให้มีคุณภาพมากกว่านี้ และการให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีขั้นพื้นฐานได้
1
ซึ่งอีกตัวเร่งที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือเรื่องของเทคโนโลยีนั่นเองครับ ที่มีการนำ AI หรือระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้ ทำให้คนจำนวนมากตกงานเนื่องจากโดนแทนที่ด้วย AI นั่นเองครับ ซึ่งเรื่องนี้ทางคุณรวิศได้พูดถึง “useless class” ที่เขียนไว้ในหนังสือดังอย่าง “Homo Deus” ที่เขียนโดย Yuval Harari ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งที่ AI มาทำงานแทนมนุษย์แล้วนั้น มนุษย์ก็จะไม่มีประโยชน์ในภาคการผลิตของสังคม เพราะทำงานสู้ AI ไม่ได้ จึงจำเป็นต้องทำการ “re-skill” เพื่อไปทำงานอย่างอื่น ซึ่งหากไม่สามารถทำได้ ก็ไปจะถึงจุดที่เรียกว่า “useless class”
1
……………..
📌 สำหรับใครที่เป็นแฟนคลับของคุณรวิศอยู่แล้วคงไม่พลาดที่จะติดตามผลงานเล่มนี้อย่างแน่นอน เพราะหนังสือเล่มนี้ก็เหมือนเป็นการสรุปเอาแนวคิด ประสบการณ์ รวมถึงบทเรียนต่าง ๆ ของคุณรวิศรวบรวมไว้ให้เราสามารถอ่านได้ง่ายๆ เป็นตอนสั้น ๆ ซึ่งหากใครที่ติดตาม podcast หรือรายการของ Mission to the moon อยู่เป็นประจำอย่างผมแล้วอาจจะเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วบ้าง ผมเองใช้เวลาอ่านรวดเดียวเพียงแค่ 2 วันก็จบแล้ว สำหรับใครที่อยากเริ่มอ่านหนังสือ เล่มนี้ก็น่าสนใจนะครับ
นอกจากนี้ที่หน้าปกหนังสือมีประโยคนี้อยู่ ซึ่งผมคิดว่ามันเป็นบทสรุปของหนังสือเล่มนี้ได้ดีเลยทีเดียวครับ…
“วิกฤตเรียกร้องให้เราทำสิ่งที่ต่างไปจากเดิม ช่วงเวลาเช่นนี้เองที่จะนิยามตัวตนของเรา” 🌈
1
#BookReview #รุ่งอรุณแห่งการเปลี่ยนแปลง #รีวิวหนังสือ #สิงห์นักอ่าน
1
ป.ล. ถ้าไม่อยากพลาดการติดตามการรีวิวหนังสือดี ๆ แบบละเอียดยิบ ฝากกด Like กดติดตามเพจ รวมถึงยังติดตามได้อีกหนึ่งช่องทางทาง facebook - สิงห์นักอ่าน
23 บันทึก
18
8
23
18
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย