Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หัวข้อประวัติศาสตร์
•
ติดตาม
22 ต.ค. 2021 เวลา 06:27 • ประวัติศาสตร์
การกำเนิดอาณาจักรปรัสเซีย รัฐที่ทรงแสนยานุภาพของยุโรป
การกำเนิดอาณาจักรปรัสเซีย รัฐที่ทรงแสนยานุภาพของยุโรป
ปรัสเซียนั้นเป็นรัฐในอดีตที่ได้วางรากฐานในเยอรมนีในปัจจุบัน เป็นที่น่าเสียดายที่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ รัฐปรัสเซียได้โดนยุบลงเนื่องจากฝ่ายสัมพันธมิตรที่เป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ ๒ ไม่ต้องการให้รัฐนี้ดำรงอยู่ต่อ แต่ในช่วงก่อนหน้านี้ปรัสเซียอันเป็นรัฐหนึ่งในเยอรมนีมีความเจริญรุ่งเรืองอย่างมาก เรียกได้ว่าเป็นชาติมหาอำนาจชาติหนึ่งของยุโรปเลยก็ว่าได้ โดยมหาอำนาจระดับแนวหน้าของยุโรปหลักๆ เลยคือบริเตนใหญ่ ฝรั่งเศส ราชวงศ์ฮัพส์บวร์คออสเตรีย รัสเซียและปรัสเซีย
นอกจากนี้ปรัสเซียเองยังได้รวบรวมแว่นแคว้นที่พูดภาษาเยอรมันต่างๆ เข้าด้วยกันและสถาปนาเป็นประเทศเยอรมนีหรือรัฐจักรวรรดิเยอรมนี (Deutsches Kaiserreich) โดยกษัตริย์แห่งปรัสเซียทรงมีพระอิสริยยศเป็นพระจักรพรรดิแห่งเยอรมนี นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่าปรัสเซียเป็นผู้ครองเยอรมนีทั้งหมด นั่นจึงไม่แปลกที่เยอรมนีไม่ต่างอะไรจากปรัสเซียขนาดใหญ่ เพราะในเมื่อเยอรมนีอยู่ภายใต้การควบคุมโดยปรัสเซีย จึงไม่แปลกที่สามารถกล่าวเช่นนี้ได้และปรัสเซียเองก็ได้วางรากฐานเยอรมนีแบบปัจจุบัน หลังจากที่เยอรมนีอยู่ภายใต้ราชวงศ์ฮัพส์บวร์คจากออสเตรียเป็นเวลาหลายร้อยปี
เดิมทีปรัสเซียไม่ได้อยู่ในสถานะที่เป็นราชอาณาจักรหรือที่เรารู้จักกันว่า “Kingdom” ในภาษาอังกฤษ หรือ “Königriech” ในภาษาเยอรมัน แต่ดินแดนของมันเหล่านี้เป็นเพียงดินแดนที่แยกกันภายใต้การปกครองของพระราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น (Haus Hohenzollern) โดยเป็นดินแดนที่แยกกันระหว่าง ๒ แคว้นคือแคว้นบรานเดินบวร์ค หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือราชรัฐผู้คัดเลือกบรานเดินบวร์ค (Kurfürstentum Brandenburg)
รัฐนี้มีสถานะเป็นชายแดนของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์หรือเยอรมนีในขณะนั้น นอกจากนี้เจ้าผู้ครองราชรัฐบรานเดินบวร์คนี้ยังได้รับสิทธิพิเศษในการเลือกตั้งพระจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชนชาติเยอรมัน (จักรพรรดิแห่งเยอรมนีโบราณเป็นพระประมุขโดยการเลือกตั้ง ไม่ได้สืบทอดตามราชสันตติวงศ์) กับดินแดนอีกแห่งหนึ่งคือปรัสเซียซึ่งในภาษาเยอรมันเรียกปรัสเซียว่า “พร็อยเซิน” (Preußen) มีสถานะเป็นดัชชีหรือแฮคร์ซกทุม (Herzogtum) ซึ่งก็คือราชรัฐที่ปกครองโดยมีดุ๊คเป็นประมุขแห่งรัฐ
โดยบรานเดินบวร์คนั้นเป็นศูนย์กลางสาขาหลักของราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นมาตั้งแต่ ค.ศ. ๑๔๑๕ (พ.ศ. ๑๑๙๘) แล้วตามที่เล่าไปคือเจ้าผู้ปกครองรัฐนี้ทรงได้รับพระราชสิทธิในการลงคะแนนเลือกผู้ที่จะเป็นจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ถ้าหากเปลี่ยนรัชกาล เนื่องจากตำแหน่งนี้ไม่ได้สืบทอดตามสายพระโลหิตแต่มาจากการเลือกตั้งและแต่งตั้งโดยผู้มีอำนาจในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์
ส่วนปรัสเซียเองนั้นเป็นรัฐที่มีมานานแล้ว โดยมีสถานะเป็นประเทศราชของเครือจักรภพโปแลนด์ – ลิทัวเนียซึ่งสมัยก่อนนั้นทั้งสองเป็นประเทศคู่ปกครองโดยประมุขพระองค์เดียวกัน ทั้งยังไม่ต่างอะไรจากประเทศๆ หนึ่ง ดัชชีปรัสเซียก่อตั้งขึ้นหลังจากการสลายตัวของคณะภราดรบ้านนักบุญมารีย์เยอรมันในเยรูซาเล็ม (ละติน: Ordo domus Sanctæ Mariæ Theutonicorum Hierosolymitanorum)
หรือคณะอัศวินทิวทอนิก ปกครองโดยอัลเบร็คท์ (Albrecht von Preußen) ซึ่งพระองค์มีสถานะเป็นดุ๊คแห่งปรัสเซียปกครองดินแดนแว่นแคว้นนี้มาจนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. ๑๕๖๘ (พ.ศ. ๒๐๘๑) ดัชชีก็ตกเป็นของอัลเบร์คท์ ฟรีดริช (Albrecht Friedrich) ผู้เป็นพระโอรส ในเวลาต่อมาพระธิดาของอัลเบร์ค ฟรีดริชคือพระนางอานนาแห่งปรัสเซีย (Anna von Preußen) ได้ทรงอภิเษกสมรสกับโยฮันน์ ซีกิสมุนด์ (Johann Sigismund) จากบรานเดินบวร์คซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นเช่นเดียวกับทางปรัสเซีย ทำให้เจ้าราชรัฐบรานเดินบวร์คได้ปกครองปรัสเซียและมีพระอิสริยยศเป็นดุ๊คแห่งปรัสเซีย และพระนางอานนาเจ้าหญิงแห่งปรัสเซียผู้เป็นพระชายาก็มีพระอิสริยยศเป็นเจ้านครรัฐผู้คัดเลือกแห่งบรันเดินบวร์คด้วย ซึ่งถึงแม้ว่าบรานเดินบวร์คและปรัสเซียจะเป็นรัฐร่วมประมุขแล้ว แต่ถึงกระนั้นราชรัฐปรัสเซียยังเป็นประเทศราชของพระเจ้าแผ่นดินโปแลนด์อยู่
ในเวลาต่อมาในทวีปยุโรปเกิดสงครามศาสนาขึ้นเรียกกันภายหลังว่าสงครามสามสิบปี รบกันช่วงปี ค.ศ. ๑๖๑๘ – ๑๖๔๘ (พ.ศ. ๒๑๖๑ ๒๑๙๑) โดยเป็นสงครามที่เกิดระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนคริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิกและนิกายโปรเตสแตนต์ทั้งยังถือว่าเป็นสงครามศาสนาครั้งใหญ่ครั้งสุดท้าย โดยในช่วงสงครามครั้งนี้ ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นได้รับผลกระทบกระเทือนอย่างหนักจากสงคราม โดยเฉพาะภัยจากภายนอก ต้องเข้าใจก่อนว่าในสมัยนั้นราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นยังเป็นรัฐที่ไม่ได้ทรงอำนาจมากนัก
นอกจากนี้แต่ละดินแดนยังไม่มีสำนึกถึงความเป็นชาติ ทั้งยังมีกฎหมาย ประเพณี วัฒนธรรม การปกครอง ฯลฯ แตกต่างกันอีก เมื่อเกิดสงครามขึ้นราชรัฐบรานเดินบวร์คซึ่งเป็นดินแดนหลักของราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นได้ถูกทำลายอย่างเห็นได้ชัด ดินแดนส่วนต่างๆ ถูกสวีเดนนำทหารมายึดครองแทบทั้งสิ้น ทั้งยังบังคับให้ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นเป็นพันธมิตร จนในเวลาต่อมาบรานเดินบวร์ค – ปรัสเซีย อยู่ภายใต้การปกครองของฟรีดริช วิลเฮล์ม (Friedrich Wilhelm) โดยพระองค์ทรงสงบศึกกับราชอาณาจักรสวีเดน ซึ่งแม้สวีเดนจะยึดพอเมอเรเนีย แต่ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นมีพระราชสิทธิได้ปกครองต่อเนื่องจากเจ้าผู้ปกครองเก่าทรงไม่มีรัชทายาท ประกอบกับฟรีดริช วิลเฮล์มทรงสนับสนุนเนเธอร์แลนด์และเนเธอร์แลนด์เองยังได้สนับสนุนให้ราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นยึดครองดินแดนต่างๆ เป็นอันมาก
พระองค์ทรงได้รับฟาร์เทอร์พอเมอเรเนีย รัฐมุขนายกฮัลเบอร์ชตัดท์ และราชรัฐมุขนายกมินเดิน และสิทธิในการสืบครองราชรัฐอัครมุขนายกมาคเดอบวร์ค กับในช่วงที่สวีเดนมีปัญหากับโปแลนด์ – ลิทัวเนีย ฟรีดริช วิลเฮล์มได้ประกาศเอกราชของปรัสเซียจากกษัตริย์คาทอลิกแห่งโปแลนด์พระนามว่าพระเจ้าววาดือสวัฟที่ ๔ วาซา (โปแลนด์ : Władysław IV Waza) ซึ่งพระองค์ทรงปกครองเครือจักรภพโปแลนด์ – ลิทัวเนียและรัสเซียทั้งปวง ตามสนธิสัญญาเวห์เลา (Vertrag von Wehlau) ในปี ค.ศ. ๑๖๕๗ (พ.ศ. ๒๒๐๐) ซึ่งถึงจะได้รับรองความเป็นเอกราชจากราชอาณาจักรโปแลนด์แล้ว แต่พระมหากษัตริย์โปแลนด์ก็ทรงมีพระราชสิทธิในดินแดนปรัสเซียอยู่ กล่าวคือถ้าเจ้าผู้ปกครองปรัสเซียสิ้นพระชนม์โดยไร้รัชทายาทแล้ว ดินแดนปรัสเซียต้องตกเป็นของพระมหากษัตริย์โปแลนด์ทันที
ในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ – ๑๘ นั้นราชสำนักยุโรปหลายแห่งมักจะเน้นเรื่องความเป็นเลิศเป็นหลัก อุดมคติในยุคนั้นกล่าวว่ากษัตริย์ต้องเป็นผู้ประเสริฐ มีความเพียบพร้อมทุกสิ่งอย่าง โดยเฉพาะเรื่องด้านวัตถุ ซึ่งเป็นอิทธิพลที่มาจากราชสำนักฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ ภาพลักษณ์ของพระองค์ทรงวางพระองค์ดุจดวงอาทิตย์ เรียกพระองค์เองว่าสุริยกษัตริย์ และหลายๆ สิ่งที่สะท้อนถึงพระราชอำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ โดยหลายๆ รัฐต้องการสร้างรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สมบูรณ์แบบดังเช่นฝรั่งเศส ภาพลักษณ์ของกษัตริย์ต้องเปรียบประดุจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตะต้องไม่ได้ ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีความผิดพลาดและประเสริฐยิ่งใหญ่ ทั้งมีพระราชอำนาจอันมากมาย
เพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศของกษัตริย์ แน่นอนว่าภาพลักษณ์ของกษัตริย์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้ยาก แต่กษัตริย์ในยุโรปพระองค์ต่างๆ ต่างก็ใฝ่ฝันในภาพลักษณ์ของกษัตริย์ผู้ประเสริฐนี้ ทั้งยังเป็นเรื่องที่สำคัญมากในยุคนั้น ราชสำนักยุโรปหลายๆ แห่งต่างพยายามอวดอ้างอำนาจของตน และราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นก็ต้องการอุดมคติที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ แต่การที่จะบรรลุถึงอุดมคติและภาพลักษณ์ของผู้ปกครองที่ยิ่งใหญ่นี้ได้คืออย่างแรกต้องเป็นกษัตริย์หรือพระจักรพรรดิ แต่เจ้าผู้ปกครองบรานเดินบวร์ค – ปรัสเซียในยุคนั้นคือฟรีดริชที่ ๓ (Friedrich III von Brandenburg)
พระองค์ทรงปรารถนาถึงแรงบันดาลพระทัยในการเป็นกษัตริย์ให้ได้ ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นถึงพระเดชานุภาพของพระองค์ เพราะบรานเดินบวร์คเจ้าผู้ปกครองมีพระอิสริยยศเป็นเพียงมาร์คกราฟ (Markgraf) ซึ่งเป็นเพียงขุนนางและเทียบเท่าบรรดาศักดิ์มาร์ควิสของอังกฤษเท่านั้น กับปรัสเซียซึ่งเป็นดินแดนอีกแห่งที่พระองค์ปกครองนั้นเจ้าผู้ปกครองก็เป็นเพียงดุ๊ค แน่นอนว่าดินแดนที่พระองค์ทรงปกครองไม่มีดินแดนไหนที่ปกครองโดยกษัตริย์ ทำให้พระราชสถานะของพระองค์ไม่มีความสูงส่งเลยแม้แต่น้อย กลับกันเจ้าผู้ครองนครแซกโซนีซึ่งเป็นรัฐใกล้เคียงของบรานเดินบวร์คกลับได้เป็นถึงกษัตริย์โปแลนด์และแกรนด์ดุ๊คแห่งลิทัวเนีย กับเจ้าผู้ครองนครฮาโนเวอร์ซึ่งเป็นเพียงดุ๊คก็กำลังจะเป็นถึงพระมหากษัตริย์แห่งบริเตนใหญ่ คือเป็นถึงกษัตริย์อังกฤษ สกอตแลนด์และไอร์แลนด์
ทำให้พระองค์ทรงพยายามจะเลื่อนพระองค์เองให้เป็นกษัตริย์ดังที่รัฐเพื่อนบ้านของพระองค์กำลังเป็นอยู่ แต่ติดปัญหาคือตรงราชรัฐบรานเดินบวร์ค ราชรัฐบรานเดินบวร์คเป็นรัฐในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์นั้นจักรพรรดิโรมันอันศักดิสิทธิ์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งเยอรมนี อิตาลีและเบอร์กันดีอยู่แล้วทำให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์มีกษัตริย์ไม่ได้เพราะจักรพรรดิทรงรวบทุกตำแหน่งที่เป็นยศกษัตริย์สำหรับพระองค์เพียงผู้เดียว ยกเว้นราชอาณาจักรโบฮีเมียที่ได้รับสิทธิพิเศษแต่นอกนั้นไม่สามารถเป็นกษัตริย์ได้ แต่ฟรีดริชที่ ๓ ทรงปกครองปรัสเซียซึ่งเป็นรัฐอิสระและอยู่ภายนอกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ทำให้ทรงขอจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในยุคนั้นคือจักรพรรดิเลโอพ็อลด์ที่ ๑ (Kaiser Leopold I) ในการขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ของดินแดนที่พระองค์ปกครอง แม้จักรพรรดิจะกล่าวว่าผิดธรรมเนียม เพราะตำแหน่งกษัตริย์สงวนไว้เฉพาะราชาแห่งโรมันและราชาแห่งโบฮีเมียตามที่กล่าวไป แต่ในที่สุดจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ก็ทรงยินยอม เพราะฟรีดริชที่ ๓ ก็ทรงอ้างว่าพระองค์ทรงปกครองปรัสเซียซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และไม่ได้อยู่ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ทำให้จักรพรรดิทรงยอมเพื่อแลกกับการสนับสนุนของราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์นในสงครามสืบราชบัลลังก์สเปนซึ่งเป็นสงครามในทวีปยุโรปที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ทำให้พระองค์ทรงได้รับพระราชอิสริยยศเป็นพระมหากษัตริย์สมดังที่ทรงมีพระราชประสงค์ไว้
โดยทรงใช้พระอิสริยยศเดิมที่ปกครองปรัสเซียและสถาปนาเป็น “พระมหากษัตริย์ในปรัสเซีย” (König in Preußen) ซึ่งพระราชสถานะนี้เป็นพระยศที่ค่อนข้างแตกต่างจากที่อื่น เพราะดินแดนอื่นๆ กษัตริย์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งรัฐนั้นๆ เช่น กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส กษัตริย์แห่งโบฮีเมีย กษัตริย์แห่งฮังการี กษัตริย์แห่งสวีเดน แต่กลับกันฟรีดริชที่ ๓ กลับเป็นเพียงกษัตริย์ในปรัสเซียไม่ใช่กษัตริย์แห่งปรัสเซีย และเมื่อพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์จึงทรงมีพระนามใหม่ว่าฟรีดริชที่ ๑ กษัตริย์ในปรัสเซีย
การที่พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ในปรัสเซียสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงพื้นเพของพระองค์ ฟรีดริชในอดีตปกครองดัชชีปรัสเซียและเป็นเพียงดุ๊ค ในบรานเดินบวร์คซึ่งเป็นดินแดนที่พระองค์ปกครองก็เป็นดินแดนของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์โดยที่อยู่ภายใต้พระราชอำนาจของจักรพรรดิในนาม ซึ่งเมื่อจักรพรรดิปกครองในนามแต่อำนาจจริงอยู่ที่ผู้ปกครองท้องถิ่นคือราชวงศ์โฮเอินท์ซ็อลเลิร์น ทำให้การที่ฟรีดริชที่ ๓ (ต่อมาคือที่ ๑) ทรงรวมสองรัฐนี้เข้าด้วยกันในชื่อราชอาณาจักรปรัสเซีย
ก็หมายความว่าดินแดนบรานเดินบวร์คกลายเป็นดินแดนของปรัสเซียไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความที่ในจักรวรรดิห้ามมีกษัตริย์ ยกเว้นราชาแห่งโรมันและราชาโบฮีเมียที่ได้รับสิทธิพิเศษในการเป็นกษัตริย์ได้ และอาณาจักรปรัสเซียเองก็ไม่ได้รับสิทธิพิเศษนี้ กล่าวคือเมื่ออยู่นอกจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์สามารถเรียกตนเองว่าปรัสเซียได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ปรัสเซียจะไม่สามารถเรียกตนเองในฐานะราชอาณาจักรซึ่งหมายถึงรัฐที่มีกษัตริย์เป็นประมุขได้เด็ดขาด กษัตริย์ปรัสเซียเมื่ออยู่ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์สามารถเรียกพระองค์เองได้เพียงมาร์คกราฟแห่งบรานเดินบวร์ค ไม่สามารถเรียกพระองค์เองเป็นกษัตริย์ปรัสเซียได้
โดยในวันที่ ๑๗ มกราคม ค.ศ. ๑๗๐๑ (พ.ศ. ๒๒๔๔) ฟรีดริชที่ ๓ ก็ได้สถาปนาตราอาร์มเหยี่ยวดำแห่งปรัสเซียขึ้น พร้อมกับสลักคำขวัญภาษาละติน ซูอูม คูอิคุเว (ละติน: Suum cuique) ลงบนตราอาร์มดังกล่าว ในวันที่ ๑๘ มกราคม ทรงสวมมงกุฏให้แก่พระองค์และพระชายาโซฟี ชาร์ล็อทเทอ แห่งฮันโนเฟอร์แห่งฮาโนเฟอร์ (Sophie Charlotte von Hannover) ในพระราชพิธีแบบบารอก ณ ปราสาทเคอนิชส์แบร์คในปรัสเซีย การกระทำของพระองค์นั้นเป็นที่ถกเถียงกันมากถึงความชอบธรรมดังกล่าว เนื่องจากราชอาณาจักรปรัสเซียเป็นรัฐใหม่เพราะฉะนั้นจึงมีความชอบธรรมแค่ไหนในเรื่องนี้
เพราะเดิมทีดินแดนปรัสเซียเคยตกเป็นเมืองขึ้นของโปแลนด์ และเมื่อปรัสเซียได้รับอิสรภาพจากโปแลนด์แล้ว ดินแดนปรัสเซียบางส่วนก็ยังเป็นของโปแลนด์อยู่ เรียกกันว่าแคว้นปรัสเซียหลวง เพราะกษัตริย์โปแลนด์ทรงมีพระอิสริยยศเป็นแกรนด์ดุ๊คแห่งปรัสเซีย (หลวง) เพราะฉะนั้นการที่ฟรีดริชทรงอ้างพระองค์ว่าเป็นกษัตริย์ปรัสเซีย จึงเท่ากับเป็นการอ้างสิทธิทับพระยศของกษัตริย์โปแลนด์ด้วย แต่ปัญหาก็หมดไปเนื่องจากในปี ค.ศ. ๑๗๗๒ (พ.ศ. ๒๓๑๕) แคว้นปรัสเซียหลวงของโปแลนด์อยู่ภายใต้การปกครองของปรัสเซีย และปรัสเซียได้เปลี่ยนชื่อแคว้นนี้ใหม่ว่าแคว้นปรัสเซียตะวันตก ส่วนดัชชีปรัสเซียซึ่งเป็นดินแดนปรัสเซียเก่าก็ยังอยู่
แต่อยู่ในชื่อของแคว้นปรัสเซียตะวันตก และในช่วงเวลาเดียวกันปรัสเซียมีอำนาจเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นมหาอำนาจของยุโรป ทั้งยังคอยต่อสู้กับจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เช่น ยึดดินแดนไซลีเซีย สนับสนุนเจ้าจากรัฐอื่นให้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแทนที่ราชวงศ์ฮัพส์บวร์คซึ่งปกครองอยู่เดิม เรียกได้ว่าปรัสเซียเป็นตัวทำลายความแข็งแกร่งของจักรพรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ไปในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ในเวลาต่อมาพระมหากษัตริย์ปรัสเซียจึงใช้พระอิสริยยศพระมหากษัตริย์ *แห่ง* ปรัสเซียแทน จากเดิมเป็นกษัตริย์ในปรัสเซีย และปัญหาเกี่ยวกับธรรมเนียมการห้ามมีกษัตริย์ในจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์หมดไปเพราะจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายในปี ค.ศ. ๑๘๐๖ (พ.ศ. ๒๓๔๙)
เมื่อจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายพระยศมาร์คกราฟแห่งบรานเดินบวร์คก็หายไปกลายเป็นเพียงเขตการปกครองหนึ่งของปรัสเซียเท่านั้น และกษัตริย์ปรัสเซียก็สามารถใช้พระอิสริยยศนี้ได้อย่างเสรีโดยที่ไม่ต้องสนใจว่าต้องใช้ในโอกาสไหน เพราะจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ล่มสลายไปแล้วทำให้พระองค์ไม่ต้องเรียกพระองค์เองว่ามาร์คกราฟอีกต่อไปแล้ว สามารถใช้พระยศกษัตริย์ปรัสเซียในดินแดนเยอรมนีได้เลย
รายการอ้างอิง
(๑) Sammlung historischer Landkarten zur preußisch/deutsch-polnischen Geschichte (Memento vom 16. Juni 2007 im Internet Archive)
(๒) Beier, Brigitte (2007). Die Chronik der Deutschen (in German). wissenmedia. p. 162. ISBN 3-577-14374-6.
เว็บไซต์เพิ่มเติม
The Kingdom of Prussia is Founded,
https://www.historytoday.com/archive/kingdom-prussia-founded
***บทความของวันที่ ๒๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๔
1 บันทึก
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย