29 ต.ค. 2021 เวลา 12:19 • นิยาย เรื่องสั้น
ตอนที่ 6. อัศจรรย์ แห่งสิ่งลี้ลับ
พลังงานจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เราเคารพนับถือมีอยู่จริงหรือไม่...ไปหาคำตอบกัน!!!
ภาพถ่ายโดย Jonas Ferlin จาก Pexels
ความตายคืออะไร?
ตายแล้วไปไหน?
ดิฉันมีความเชื่อว่า "ดวงจิต" เป็นคลื่นพลังงานชนิดหนึ่ง ความตายคือการสิ้นสุดการเดินทาง จากภพหนึ่งไปสู่ภพใหม่ ตายแล้วเกิดเลย ส่วนจะเกิดที่ใดขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยก่อนตายเป็นตัวนำส่ง นั่นคือ"ดวงจิต" ของสัตว์โลกทั่วไปที่วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร
แต่ "ดวงจิต" ของครูบาอาจารย์ที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี จนถึงซึ่งความหลุดพ้นจากสังสารวัฏฏ์แล้ว
เป็น "ดวงจิต" ที่มีความสว่างไสว บริสุทธิ์ และมีอานุภาพมาก เป็นเหมือนขุมพลังงานขนาดใหญ่ ยังความสว่างให้แก่ดวงใจที่มืดมิด ช่วยจุดประกายให้ดวงจิตเหล่านั้นมองเห็นหนทางได้อีกครั้ง
ในเวลาคับขัน เมื่อชีวิตมาถึงทางตัน
นอกจากตัวเองแล้ว
ที่พึ่งทางใจที่ดีที่สุดสำหรับดิฉัน คงไม่พ้นครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ "คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม"
1
ถึงจะเกิดไม่ทันได้พบตัวจริงของคุณแม่แต่จากการศึกษาประวัติของท่าน ทำให้เกิดความเคารพนับถือ เลื่อมใส ได้ไม่ยาก
ช่วง ปีพ.ศ.2542 ดิฉันได้มีโอกาสมาที่วัดนี้เป็นครั้งแรกซึ่งเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในสวนแถว จ.นนทบุรี เพราะเพื่อนชวนมาร่วมถวายสังฆทาน จึงได้มีโอกาสมาสักการะบูชาองค์รูปปั้นของคุณแม่บุญเรือน
ที่วัดนี้มีครูบาอาจารย์ที่น่านับถือและมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการปฏิบัติธรรม สามารถให้คำปรึกษาแก่ผู้สนใจใฝ่รู้ได้ดี และเหมาะกับจริตของฉัน
ด้วยความประทับใจ ในความสงบ ร่มรื่น และอากาศดี ของวัดนี้ แถมมีการสอนปฏิบัติธรรมด้วย
ดิฉันจึงเลือกมาที่นี่เป็นประจำกับลูกและเพื่อน ๆ ถือเป็นสถานที่ ๆ สัปปายะแห่งหนึ่งที่ใกล้บ้านและสะดวกในการเดินทาง
ภาพจาก thaisamulets. com
ถ้ามีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ดิฉันจะนัดเพื่อน ๆ มาอยู่ค้างคืนเพื่อปฏิบัติธรรม
ซึ่งวันนี้พิเศษ เพราะตรงกับวันสำคัญทางศาสนาคือ "วันมาฆบูชา" เป็นอีก 1 วันคล้ายวันเกิดของลูกสาวด้วย (วันที่น้องเกิดครั้งแรกตรงกับวันมาฆบูชา)
ทางวัดจึงมีการปฏิบัติธรรม "แบบเนสัชชิก"(เนสัชชิก หมายถึง การปฏิบัติเจริญจิตตภาวนาที่ถืออิริยาบถทั้ง 3 ได้แก่ นั่ง ยืน เดิน เท่านั้น โดยเน้นการนั่งเป็นหลัก และไม่นอน ตามสัจจะที่ตั้งใจไว้)
ถือเป็นโอกาสที่ดี ในการพาลูกสาวมากราบนมัสการคุณแม่บุญเรือนอีกครั้ง และได้อธิษฐานจิตยกลูกสาวให้กับท่าน
ซึ่งในตอนนั้นน้องอายุได้ 3 ขวบเศษแล้ว เป็นเด็กผู้หญิงที่ซนมาก ไม่ถึงกับไฮเปอร์ แต่ไม่เคยอยู่นิ่ง นอกจากตอนหลับเท่านั้น
เหตุที่ต้องทำแบบนี้ เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของลูก ไม่รู้จะไปพึ่งใคร เนื่องจากงานที่ดิฉันทำต้องเข้าเป็นกะวนไป...จำเป็นต้องฝากลูกไว้กับพี่เลี้ยง และน้องต้องไปอยู่ที่บ้านเค้า เพื่อความสะดวกทั้งเค้าและเรา
....ด้วยความซนของน้อง ถ้าพี่เลี้ยงมีความอดทนไม่พอ บางคนแอบทำร้ายน้องก็มี
ทำให้ต้องเปลี่ยนพี่เลี้ยงบ่อย ๆ
ทุกครั้งที่รู้ว่ามีคนแอบทำร้ายน้อง หัวใจคนเป็นแม่แทบแหลกสลาย ถ้าไม่มีเพื่อนบ้านใจดีมาบอก...ดิฉันก็ไม่มีวันรู้ได้เลย
เพราะมัวแต่ทำงาน น้องเองก็ไม่กล้าบอกช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่ทรมานใจดิฉันมาก
....สงสารลูกเป็นที่สุด
การได้พบคุณแม่บุญเรือน จึงเหมือนฉันได้เจอ Wonder Woman การยกลูกให้ท่าน
จะช่วยให้ท่านมีสิทธิ์ในการปกป้องดูแลน้องได้อย่างเต็มที่...ดิฉันคิดแบบนั้น
เมื่อขอกำลังใจจากท่านแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าท่านรับรู้ความปรารถนาของดิฉัน...นี่คือคำถามที่ผุดขึ้นในใจ
ฉันจึงตั้งจิตอธิษฐาน...ตามคำแนะนำของพี่หน่องเพื่อนรุ่นพี่ที่ไปด้วยกันว่า...
"หากคุณแม่บุญเรือนรับรู้ความปรารถนาของลูก ขอได้โปรดแสดงความ 'อัศจรรย์' ใด ๆ ให้ลูกได้รู้ด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ"🙏🏼
1
ในวันนี้พวกเรามาวัดกันแค่ 4 คน คือดิฉันกับลูกสาว ส่วนเพื่อนก็มากับลูกสาวเช่นกัน
แต่น้องโตเป็นสาวและเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาแล้ว
หลังจากกราบนมัสการคุณแม่บุญเรือนเรียบร้อย...พวกเราได้พบหลวงพ่อรูปหนึ่งระหว่างทางกลับมาที่พัก ท่านเมตตาให้รูปถ่ายคุณแม่บุญเรือนไว้ใส่กระเป๋าสตางค์ เป็นรูปเล็ก ๆ ขนาด 1 นิ้ว
พวกเราเลือกกางเต็นท์อยู่บริเวณลานอิฐ
(เป็นลานที่ปูพื้นด้วยอิฐมอญหรืออิฐแดง)
เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติธรรม...วันนี้คนเยอะมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นวันสำคัญทางศาสนา
จุดที่เราเลือกเป็นที่ปฏิบัติธรรมนั้น เป็นพื้นปูนที่ยกขึ้นสูงจากทางเดินประมาณ 2 ศอก ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับทานอาหารและเข้าร่วมพิธีต่าง ๆ ของอุบาสิกาที่อยู่ประจำวัดนี้ มีความกว้างเกือบ 2 เมตร ความยาว 3 เมตรกว่า ด้านหลังติดกับกำแพงวัด สูงประมาณ 2 เมตร ซึ่งหลังกำแพงนั้น มีต้นไม้และหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด ดูน่ากลัว
ด้านซ้ายติดกับลานอิฐ ด้านขวาเป็นร้านค้าสำหรับขายของที่ระลึก(เปิดช่วง 7.00 น. ถึง 19.00 น.)ด้านหน้าเป็นทางเดินเชื่อมระหว่างลานอิฐและทางเดินอีกฝั่งของวัด
ไกลออกไปทางด้านหน้าของลานอิฐ จะเป็นจุดที่พระสงฆ์นั่งแสดงธรรม หรือประกอบกิจทั่วไปของสงฆ์ เป็นพื้นที่ถูกยกสูงพอๆกันกับของอุบาสิกา แต่กว้างและยาวกว่ามาก ๆ คืนที่มี "เนสัชชิก" จะมีพระสงฆ์ผลัดกันมาเทศนาให้ญาติโยมฟังตลอดทั้งคืน
....พี่หน่อง(พี่ที่ไปด้วย) ซื้อชุดขาวสำหรับเด็กมาฝากลูกสาวดิฉัน 2 ชุด เป็นเสื้อคอกลมแขนสั้น มีกระดุมติดด้านหน้าและกางเกงขายาวยางยืด น้องตื่นเต้นและดีใจมาก ฉลองชุดใหม่ด้วยการเดินจงกรมกับแม่ ๆ จนดึกดื่น...
....เกือบตีหนึ่ง น้องถึงง่วงและหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย โดยการนอนแบบยืดแขนขึ้นเหนือศรีษะ หันหัวนอนไปด้านลานอิฐซึ่งเปิดไฟสว่าง ส่วนขาของน้องกางและเหยียดออกไปทางร้านขายของที่ระลึกที่ตอนนี้มืดสนิท เป็นท่านอนที่ดูสบาย ๆ
บรรยากาศค่อนข้างวังเวง...พร้อมเสียงหมาหอนเป็นระยะ ๆ มีคนเหลือเพียงแค่ 4 คนคือพวกเรา...ตรงบริเวณนี้
นอกนั้นทยอยกันไปนอนบ้าง ไปนั่งสมาธิที่ลานอิฐบ้าง
โชคดีที่วันนี้อากาศกำลังดี ไม่ร้อนอบอ้าว
มีลมพัดเอื่อย ๆ พอให้เย็นสบาย
ดิฉัน พี่หน่องและน้องพาย(ลูกสาวพี่หน่อง) เลือกปฏิบัติแบบเดินจงกรมและยืนเป็นส่วนใหญ่ ไม่กล้านั่งสมาธิกัน...กลัวเผลอหลับยาว
เหลือบดูนาฬิกาก็ประมาณตี 3 กว่าแล้ว ตั้งใจว่าพอตี 3 ครึ่ง ทางวัดจะตีระฆังครั้งแรก เพื่อปลุกทุกคนให้ตื่น
ดิฉันค่อยพาลูกไปนอนที่เต็นท์ แล้วค่อยไปอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน เพื่อมารวมตัวกันทำวัตรเช้าที่ลานอิฐ ตอนตี 4 ซึ่งจะตีระฆังอีกครั้งหนึ่ง
ขณะที่ฉันกำลังยืนดูลมหายใจด้วยความสงบอยู่นั้น พื่หน่องกับลูกก็เดินมาประกบตัวฉัน แล้วพี่หน่องก็กระซิบเบาๆที่ข้างหูว่า
"มี 'งู' กำลังเลื้อยลงมาจากกำแพงนะ ไม่ต้องตกใจ"
ฉันเข้าใจว่าคงเป็นงูตัวเล็ก ๆ ประเภทงูเขียวหรืองูกินปลาทั่วไป แต่ไม่ใช่เลยเพราะภาพที่ปรากฎตรงหน้า 'มัน' คือ 'งูตัวใหญ่สีดำทะมึน' ค่อยๆเลื้อยลงมาจากกำแพง ซึ่งแน่นอนตรงหน้า 'มัน' คือลูกสาวของฉันซึ่งกำลังนอนหลับสนิท
'มัน' ค่อย ๆ เลื้อยใกล้เข้ามาอย่างช้า ๆ
และเลื้อยช้ามาก ทำให้ฉันมั่นใจว่านั่นคือ
'งูพิษ' แน่นอน แม้จะไม่รู้ว่ามันคือ 'งู' อะไรก็ตาม
ภาพจาก เฟซบุ๊ก Sudip Kumar Saha
ฉันได้แต่ 'ภาวนา' ให้มันเลื้อยไปทางปลายเท้าลูก ซึ่งเป็นที่มืด...แต่เปล่าเลย มันกลับเลื้อยตรงเข้าหาลูกของฉัน
ใกล้เข้าไปทุกที ๆ ภาพที่เห็นมันบีบคั้นหัวใจคนเป็นแม่สุด ๆ
ฉันแทบทรงตัวไม่อยู่แล้ว มือเท้าเย็นเฉียบ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง...พี่หน่องกับน้องพายช่วยกันประคองร่างฉันไว้ แล้วกระซิบว่า
"ตั้งสติให้ดี...น้องต้องปลอดภัย"
พวกเราไม่สามารถทำอะไรได้...นอกจากยืนดูภาพ 'เจ้างูใหญ่' ตัวนั้น ค่อย ๆ เลื้อยเข้าหาตัวน้อง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกินสำหรับฉัน...
มันค่อย ๆ เลื้อยข้ามลำตัวของน้องไปอย่างเชื่องช้า...ฉันตั้งสติได้บ้างแล้ว จึงส่งใจไปที่ลูก ขอให้ลูกอย่าขยับตัวเลย
....ในที่สุด 'เจ้างูใหญ่' ก็เลื้อยข้ามลำตัวน้องไปจนพ้น โดยที่น้องไม่เป็นอันตรายใด ๆ
มันลงไปหลบอยู่ด้านล่างใกล้กับทางเดิน ซึ่งตรงนั้นมีก้อนหินก้อนใหญ่วางอยู่หนึ่งก้อน
ฉันไม่สนใจ 'เจ้างูใหญ่' แล้ว รีบตรงไปกอดหอมลูกจนน้องสะดุ้งตื่นด้วยความงัวเงีย "น้องง่วง...น้องจะนอน" ลูกสาวบ่นพึมพัมแล้วหลับต่อในอ้อมกอดของฉัน 🤗
1
เสียงระฆังแรกดังขึ้น เป็นเวลาที่หลายคนตื่นแล้ว ต่างก็ทยอยกันมาที่ลานอิฐ ขณะที่ดิฉันกำลังจะอุ้มน้อง เพื่อพาไปนอนที่เต็นท์
....ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังเดินผ่านก้อนหิน เธอโวยวายเสียงดัง
"ว้ายตายแล้ว! งูเห่าดำ! ตัวใหญ่มากด้วย ใครช่วยไปตามพระมาไล่งูหน่อยเร็ว!"
ทำเอาผู้คนบริเวณนั้นแตกตื่นตามไปด้วย สักพักก็มีพระสงฆ์มา 2 รูปพร้อมไฟฉาย "ไหนโยม งูอยู่ตรงไหน?"
"ตรงก้อนหินเจ้าค่ะ หลวงพี่" ท่านฉายไฟไปที่ก้อนหินพร้อมเดินเข้ามาใกล้ ๆ
"ระวังนะ หลวงพี่" เสียงผู้หญิงคนนั้นตะโกนบอก
"ไม่มีโยม อาตมาไม่เห็นอะไรเลย นอกจากก้อนหิน" หลวงพี่ตอบ
"เป็นไปได้ไงเจ้าคะ โยมเห็นจริง ๆ คนอื่นก็เห็น" เธออธิบาย
"ใช่ค่ะ โยมก็เห็น...แต่มันเลื้อยไปทางไหน?พวกโยมก็คอยยืนมองอยู่นะเจ้าคะ"
เสียงพยานผู้เห็นเหตุการณ์ยืนยัน
"เค้าก็ไปตามทางของเค้าน่ะโยม ไม่มีอะไรแล้ว เตรียมตัวทำวัตรเช้า" หลวงพี่บอกพวกญาติโยมกลุ่มนั้น
ก่อนเดินจากไป 'ท่าน' หันมามองที่ฉันกับลูกแบบพิจารณา แล้วพูดยิ้ม ๆ ว่า...
"เค้ามาต้อนรับสมาชิกใหม่น่ะโยม"
ฉันหันไปมองหน้าพี่หน่อง คำพูดหลวงพี่ทำให้ฉันนึกถึง คำอธิษฐานจิตของตัวเอง
"หากคุณแม่บุญเรือนรับรู้ความปรารถนาของลูก ขอได้โปรดแสดงความ 'อัศจรรย์' ใด ๆ ให้ลูกได้รู้ด้วยเถิด สาธุ สาธุ สาธุ"🙏🏼
แม้ว่าเวลาจะผ่านมานานมากแล้ว
นับตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2507 ซึ่งเป็นวันที่
คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม ได้ละสังขารจากพวกเราไป...แต่บุญบารมีของท่าน ก็ยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย
1
Based on TRUE story
By memee
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
โฆษณา