23 ต.ค. 2021 เวลา 08:52 • กีฬา
ต้นกำเนิดปีศาจเมสซี่ คือการเปลี่ยนตำแหน่งจากปีกไปยืน False 9 ที่คือเรื่องราวคลาสสิคของเป๊ปกับเมสซี่ ที่กลายเป็นตำนานในเวลาต่อมา
1
บาร์เซโลน่าในยุครุ่งเรืองที่สุด (2008 - 2012) ประสบความสำเร็จได้มากมายมหาศาลขนาดนั้น เพราะเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เฮดโค้ชของทีม คิดแผนการเล่นสำคัญขึ้นมาได้หลายอย่าง
ไม่ว่าการต่อบอลแบบติกี้ ตาก้า, การจับเอาชาบี เอร์นันเดซ ยืนคู่กับอันเดรส อิเนียสต้า และการดันเซร์คิโอ บุสเกตต์ จากทีมบาร์เซโลน่า เบ ขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ หลายๆ แท็กติก มีความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร
และอีกหนึ่งแท็กติก ที่ถือว่าเป็นกุญแจสำคัญมากที่สุด อย่างโต้แย้งไม่ได้เลย คือการจับเอาลีโอเนล เมสซี่ มายืนเป็นกองหน้าตัวเป้า
จริงอยู่ เมื่อดูจากสรีระของเมสซี่ที่มีส่วนสูงเพียง 170 เซนติเมตร อาจดูแปลกประหลาด เมื่อต้องยืนเป็นกองหน้าตัวเป้าในตำแหน่งหมายเลข 9 ไม่มีใครคิดว่าแผนนี้จะเข้าท่าหรอก
1
แต่วิธีการเล่นของเป๊ปนั้น เขาไม่ได้คิดจะใช้เมสซี่เป็นหัวหอกแบบ Target Man อย่างอลัน เชียเรอร์ หรือ กาเบรียล บาติสตูต้า แต่เขาจับเมสซี่เล่นอีกบทบาทหนึ่งคือ False 9 นั่นคือกองหน้าตัวหลอก
False 9 หมายถึง ผู้เล่นที่ในไลน์อัพจะยืนในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า แต่เมื่อลงสนามจริงๆ จะไม่ได้ยืนปักหลักอยู่ตรงนั้นตลอดไป แต่จะมีหลายจังหวะที่ต้องถอยต่ำลงไปเชื่อมเกมเหมือนกองกลาง
แปลง่ายๆ คือ นักเตะคนเดียวต้องเล่นทั้ง 2 ตำแหน่ง คือกองกลาง กับ กองหน้า ซึ่งในโลกนี้ มีผู้เล่นไม่กี่คนหรอก ที่จะเล่นได้ดีเท่ากันทั้ง 2 ตำแหน่งแบบนั้น
ลองนึกภาพตาม ซลาตัน อิบราฮิโมวิช อาจเป็นสุดยอดจอมถล่มประตู แต่ถ้าให้เขาถอยมาเล่นกองกลาง เขาจะทำได้ไหม?
หรือ จอร์จินโญ่ อาจเป็นกองกลางสุดยอดตัวเชื่อมเกม แต่ถ้าจะดันเข้าไปเล่นเป็นกองหน้าด้วย เขาจะทำได้หรือ?
แต่กวาร์ดิโอล่า มีความมั่นใจว่า เมสซี่คืออัจฉริยะ และสามารถทำได้ดีแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของกองหน้า หรือกองกลาง
เมื่อเมสซี่เล่น False 9 ทำให้กองกลางของบาร์ซ่าจากที่ควรจะมีแค่ 3 คน (บุสเกตต์, ชาบี, อิเนียสต้า) ก็กลายเป็นเหมือนว่ามี 4 คน มีตัวเชื่อมเกมเพิ่มขึ้น นั่นทำให้ในแต่ละเกมบาร์ซ่าครองเกมกลางสนามได้อย่างเด็ดขาด
หลายๆ เกมที่เปอร์เซ็นต์การครองบอลของบาร์ซ่าสูงถึง 70-80 % เมื่อเก็บบอลไว้กับตัวได้เหนียวแน่น แล้วคู่แข่งจะเอาอะไรมาชนะ
False 9 คือกุญแจสำคัญที่ทำให้กวาร์ดิโอล่าคว้าทุกแชมป์ที่มีบนโลก เราปฏิเสธเรื่องนี้ไม่ได้
อย่างไรก็ตาม กว่าที่เขาจะได้ใช้แผนนี้ได้จริงๆ ก็ไม่ง่ายนัก นั่นเพราะในตอนแรก เขาเองก็ยังคิดไม่ออก ว่าจับเมสซี่ยืนตรงไหนถึงจะเป็นตำแหน่งที่ถูกต้องที่สุดกันแน่
ตั้งแต่สมัยเด็ก เมสซี่อยากเป็นผู้เล่นหมายเลข 10 เหมือนไอดอลของเขา ดีเอโก้ มาราโดน่า มาโดยตลอด คำว่าตำแหน่งหมายเลข 10 คือผู้เล่นกองกลางตัวรุก ที่ไม่เน้นการยิงประตู แต่เน้นการจ่ายบอล และเลี้ยงบอล คอยสร้างสรรค์เกมให้เพื่อน
ที่อาร์เจนติน่า ตำแหน่งเบอร์ 10 จะมีคำเรียกเฉพาะที่นักบอลรู้กันคือ ตำแหน่งเอ็นกานเช่ (Enganche)
แต่ประเด็นคือ แผนการเล่นของบาร์เซโลน่า ที่ถูกวางรากฐานมาตั้งแต่ยุคของโยฮัน ครัฟฟ์ คือระบบ 4-3-3 โดยกองกลาง 3 คน จะเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ หรือไม่ก็มิดฟิลด์ตัวกลาง ส่วนแนวรุก 3 คน จะเป็นปีกซ้าย ปีกขวา และกองหน้าตัวเป้า
1
ด้วยแผนการเล่นแบบนี้ แปลว่าไม่มีตำแหน่งหมายเลข 10 หรือ เอ็นกานเช่ ที่เมสซี่อยากจะเล่น
ทีมโค้ชเยาวชนเมื่อพิจารณาจากศักยภาพแล้ว จึงส่งเขาไปยืนเป็นปีกซ้ายและปีกขวา ใช้ความเร็วที่มีในการกระชากหนีฟูลแบ็กของคู่แข่ง
ใจจริงเมสซี่อยากเล่นเป็นตัวสร้างสรรค์เกมมาตลอด แต่ในเมื่อแผน 4-3-3 ไม่มีตำแหน่งนั้น เขาเลยต้องจำใจไปเล่นปีกแบบช่วยไม่ได้
กับทีมชาติอาร์เจนติน่าชุดเยาวชน ที่มักจะเล่นระบบ 4-3-1-2 เมสซี่จะได้ยืนตำแหน่ง หมายเลข 10 อย่างที่ชอบ แต่พอกลับมาที่สโมสรก็ต้องกลับไปเล่นตำแหน่งริมเส้นใหม่ ซึ่งเขาเองอยากเปลี่ยนจะแย่ แต่ไม่เคยมีโอกาส เพราะโค้ช ณ เวลานั้น แฟรงค์ ไรจ์การ์ด คิดว่าเมสซี่ยืนปีกนั่นแหละ ดีที่สุดแล้ว ใช้ความเร็วให้เป็นประโยชน์เข้าไว้
เมสซี่แจ้งเกิดกับบาร์ซ่าชุดใหญ่ ในฤดูกาล 2004-05 แต่แน่นอนเขาโดนจับยืนปีกขวาตลอด โดยแผนการเล่นของบาร์ซ่า ณ เวลานั้น ปีกซ้ายเป็นโรนัลดินโญ่, ปีกขวาเป็นเมสซี่ และ หน้าเป้าเป็นซามูแอล เอโต้
ตอนนี้เมสซี่เหมือนจะต้องยึดตำแหน่งปีกขวาไปตลอดแล้ว และเอาจริงๆ เขาก็เล่นได้ดี การเลี้ยงตัดเข้าในแล้วยิงบอลด้วยเท้าซ้าย ถือว่าร้ายกาจและมีประสิทธิภาพมากๆ ถ้าให้เล่นไปในแนวทางนี้เรื่อยๆ เมสซี่อาจเติบโตไปเป็นผู้เล่นสไตล์อาร์เยน ร็อบเบนก็ได้ เป็นปีกขวาที่ถนัดเท้าซ้าย
อย่างไรก็ตามจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เมสซี่ได้เปลี่ยนตำแหน่งและเปลี่ยนวิธีการเล่น นั่นคือการเข้ามา ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในฐานะเฮดโค้ชคนใหม่ ในฤดูกาล 2008-09
เป๊บชื่นชมในความสามารถของเมสซี่เป็นอย่างมาก เด็กคนนี้ทักษะดี และมีความเข้าใจในเกมสูงมาก แต่สิ่งเดียวที่เป๊ปไม่ชอบ คือเมสซี่เลี้ยงบอลมากเกินไป สิ่งที่เป๊ปต้องการจากตัวนักเตะในทีม คือคุณใช้ทักษะเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันก็พอ จากนั้นก็รีบจ่ายบอลให้เพื่อนเพื่อต่อเกม ไม่ต้องไปล็อกตัวที่ 2 ตัวที่ 3 เพื่อโชว์เหนือ
1
ประตูคลาสสิกของเมสซี่ ที่เลี้ยงครึ่งสนามยิงเกตาเฟ่ ในโกปาเดลเรย์ ใครเห็น ก็ต้องชื่นชมสปีด และเทคนิคของเมสซี่ ในการลากเลื้อย แต่เป๊ปไม่ชอบลูกนี้เอาซะเลย เพราะมันคือการโซโล่เดี่ยวเข้าไปยิง มันไม่ได้ใช้ทีมเวิร์ก หรือการยืนตำแหน่งที่ถูกต้องเลย แต่เป็นการยิงแบบวันแมนโชว์ ซึ่งเขาในฐานะโค้ชไม่ต้องการ
ก่อนที่เป๊ปจะได้คุมบาร์ซ่าชุดใหญ่ เขาเป็นโค้ชทีมบาร์เซโลน่า เบ มาก่อน และเหตุการณ์หนึ่ง ตอนที่เขาสอนแท็กติกลูกทีม เขาตะโกนบอกว่า "ฉันไม่อยากให้พวกนายเลี้ยงบอลอย่างเมสซี่! ส่งบอลสิ ส่งบอล ส่งบอลไปเรื่อยๆ จ่ายให้แม่นยำ เคลื่อนที่ให้ถูกต้อง แล้วก็จ่ายบอลไปอีกครั้ง!"
ทัศนคติของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เชื่อในทฤษฎี Pass & Move ทุกคนต้องส่งสั้น ให้ตัวที่ว่างอยู่ และทุกคนต้องรู้ว่าการเคลื่อนที่ที่ถูกต้องในสนามต้องทำอย่างไร เขาไม่ชอบการโซโล่เดี่ยว
ดังนั้นเป๊ปจึงต้องหาวิธีที่จะทำอย่างไรก็ได้ ให้เมสซี่ลดการเลี้ยงบอลลง และใช้ความสามารถในการอ่านเกมของเขามากขึ้นกว่านี้
ในฤดูกาล 2008-09 ปีแรกของเป๊ป เขาใช้เมสซี่เล่นปีกขวาเหมือนกับไรจ์การ์ด สาเหตุเพราะเขาไม่รู้จะใช้งานเมสซี่อย่างไร
เป๊ป เคยทดลองใช้เมสซี่ เล่นกองหน้าตัวเป้าช่วงสั้นๆ ในเกมชนะสปอร์ติ้ง กิฆ่อน นัดที่ 3 ของฤดูกาล แต่พอลองได้เกมเดียว ก็กลับมาใช้เมสซี่เป็นปีกขวาเหมือนเดิม
คือเป๊ปรู้ดีว่าการเอาเมสซี่ไปยืนปีกขวา มันเป็นอะไรที่เสียของ เพราะเมสซี่ไม่ใช่ปีกขนานแท้แบบร็อบเบน เขาสามารถเลี้ยงฉีกไปสุดเส้นหลังแล้วเปิดบอลเข้ามาก็ได้ แต่ศักยภาพดีที่สุดของเมสซี่ ต้องอยู่ตรงกลางสนาม
แต่คำถามคือ ถ้าเอาไปยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า เมสซี่ก็ตัวเล็กเกินไปในการปะทะกับคู่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟของคู่แข่ง หรือจะเอามายืนเป็นกองกลาง ก็ไปชนตำแหน่งของ ชาบี และ อิเนียสต้าที่เข้าขากันอยู่แล้ว
หลังจากใช้เวลาคิดอยู่นานหลายเดือน ในที่สุดเป๊ปก็ได้ไอเดียใหม่ ว่าถ้าลองให้เมสซี่ ยืนเป็นกองหน้าตัวเป้า แต่ไม่ได้เล่นในสไตล์ Target Man ไม่ต้องยืนในเขตโทษ แต่ให้ถอยต่ำลงมาสร้างสรรค์เกม ร่วมกับอิเนียสต้า และชาบี ไปเลย มันอาจจะเวิร์กก็ได้
อิเนียสต้า กับชาบี ก็ยังอยู่ ไม่จำเป็นต้องถอดใครออกไป แถมยังมีเมสซี่มาช่วยอีกคน ยิ่งจะทำให้กองกลางน่ากลัวขึ้น แล้ววิธีนี้ เมสซี่จะได้ไม่ต้องเลี้ยงบอลบ้าคลั่งในสไตล์ปีก แต่เข้ามาสร้างสรรค์เกมตรงกลางสนามดีกว่า
นี่คือแผนที่ชื่อ "False 9" ที่กวาร์ดิโอล่าคิดค้นได้ มันจะเป็นการขับพลังของเมสซี่อย่างถึงขีดสุด เพราะในบางสถานการณ์เขาสามารถเป็น เอ็นกานเช่ คอยแอสซิสต์ คอยเชื่อมเกม และบางสถานการณ์เขาก็สามารถเป็นกองหน้าที่จบสกอร์อย่างเด็ดขาด
แน่นอนด้วยการเล่นควบสองตำแหน่ง หมายความว่าเมสซี่จะต้องวิ่งเยอะมาก และต้องปรับเปลี่ยนจังหวะของตัวเองตลอด บางครั้งต้องทำตัวเสมือนเป็นกองกลาง เพื่อเล่นร่วมกับอิเนียสต้า และชาบี และบางครั้งต้องทำตัวเสมือนเป็นกองหน้าเพื่อเล่นร่วมกับอองรีและเอโต้
คุณต้องเป็นอัจฉริยะเท่านั้นถึงจะเล่นในวิธีการนี้ได้ แต่กวาร์ดิโอล่าก็มั่นใจว่าเมสซี่ทำได้
เมื่อได้แผนใหม่แล้ว คู่แข่งทีมแรกที่กวาร์ดิโอล่าตัดสินใจว่าจะใช้กลยุทธ์นี้ คือเรอัล มาดริด
ในเกมนัดที่ 33 ของฤดูกาล 2008-09 เรอัล มาดริด เปิดซานติอาโก้ เบร์นาเบว ต้อนรับบาร์ซ่า สถานการณ์ตอนนั้น บาร์ซ่านำอยู่แค่ 4 แต้มในตาราง ดังนั้นถ้าเรอัล มาดริด เปิดบ้านชนะได้ ก็จะทำแต้มไล่จี้เหลือ 1 แต้ม เรียกได้ว่าจ่อคอหอย และอาจพลิกแซงช่วงท้ายซีซั่นกันได้เลย
นี่เป็นเกมที่มีความสำคัญมากจริงๆ เป๊ปจะทำทีมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด นั่นแปลว่าได้เวลาอันเหมาะสมแล้ว ที่เขาจะปล่อยแผน False 9 ออกมาให้โลกได้เห็นครั้งแรก
เป๊ปศึกษาแผนการจัดทีมของฝั่งเรอัล มาดริด มาเป็นอย่างดีแล้ว คือโค้ชฆวนเด้ รามอสจะใช้คู่มิดฟิลด์ 2 คน ได้แก่ ลาสซาน่า ดิยาร์ร่า และ เฟร์นันโด กาโก้ ซึ่ง 2 คนนี้ ก็จะมาชนกับชาบี และอิเนียสต้าพอดี แต่ในบางจังหวะถ้าเมสซี่ถอยลงมาช่วยด้วย ในแดนกลาง บาร์ซ่าจะมีตัวผู้เล่นมากกว่า เป็นการสู้กัน 3 ต่อ 2 และความแตกต่างตรงนี้ จะทำให้ทีมครองเกมได้อย่างสมบูรณ์
ขณะที่คู่เซ็นเตอร์แบ็กของเรอัล มาดริด คือฟาบิโอ คันนาวาโร่ และ คริสตอฟ เม็ตเซลเดอร์ ซึ่งมีความเร็วน้อยทั้งคู่ ถ้าหากเจอเมสซี่ ที่เล่น False 9 เดี๋ยวขึ้น เดี๋ยวลง ไปป่วนร่วมกับอองรีและเอโต้ รับรองได้ว่าต้องปวดหัวกับการรับมือแน่ๆ
1 วันก่อนที่เอล กลาสิโก้จะเริ่ม กวาร์ดิโอล่าคุยกับเมสซี่แล้วบอกว่าจะให้เขาเล่นเป็นกองหน้าตัวเป้า แต่ต้องเล่นร่วมกับชาบี และอิเนียสต้า ไม่ใช่ยืนค้ำอย่างเดียว อธิบายแท็กติก False 9 ที่เขาต้องการให้เมสซี่ฟัง
เมื่อได้ยินดังนั้น เมสซี่ก็หัวเราะออกมา ตอนแรกกวาร์ดิโอล่าเข้าใจว่าที่เมสซี่หัวเราะ เพราะคิดว่าแผนนี้เป็นเรื่องตลก ที่วางเมสซี่ที่สูงแค่ 170 ซม. ไปยืนค้ำกับกองหลังคู่แข่ง
อย่างไรก็ตาม ที่เมสซี่หัวเราะไม่ใช่เพราะเหตุผลนั้น แต่เขาหัวเราะ เหตุผลคือทำไมป่านนี้โค้ชเพิ่งจะรู้ว่าตำแหน่งดีที่สุดของเขา คือยืนตรงกลาง ไม่ใช่อยู่ริมเส้น
และเมื่อลงสนาม สิ่งที่กวาร์ดิโอล่าคาดการณ์ไว้ก็ถูกต้องทุกอย่าง มาดริดใช้แผน 4-4-2 วางราอูล กับอิกวาอิน เป็นคู่หน้า ส่วนตรงกลางก็เป็นกาโก้ กับ ดิยาร์ร่า
เรอัล มาดริด นำ 1-0 จากกอนซาโล่ อิกวาอินก็จริง แต่จากนั้นกลายเป็นเกมของบาร์เซโลน่าโดยสมบูรณ์ และแผน False 9 ของเป๊ป ก็ทำลายเรอัล มาดริดจนสิ้นซาก
นาทีที่ 18 เมสซี่ถอยมาเป็นเพลย์เมกเกอร์ แล้วชิพบอลน้ำหนักแม่นเป๊ะให้อองรีหลุดเดี่ยว ยิงสวนตัวกาซียาสเข้าไป สกอร์ขยับเป็น 1-1 อองรียิงคมก็จริง แต่ลูกส่งของเมสซี่ก็ช่างสุดยอดจริงๆ ฝั่งมาดริดมึนงง ว่าอ้าว ทำไมเมสซี่ยืนกองหน้าแล้วถอยไปต่ำขนาดนั้น
นาที 21 บาร์ซ่านำ 2-1 จากฟรีคิกด้านซ้าย ชาบี ครอสให้ปูโยลโหม่งเข้าเต็มหัว มาดริดตอนนี้สะเปะสะปะไปหมดแล้ว
นาทีที่ 35 ชาบี เพรสซิ่งแย่งบอลจากเท้าดิยาร์ร่า บอลทะลักถึงเมสซี่โซโล่เดี่ยวยิงเข้าไปอย่างเด็ดขาด คือทำให้เห็นว่าจะเป็นตัวแอสซิสต์หรือตัวยิง เขาก็ทำได้ดีพอกัน บาร์ซ่านำ 3-1
ในครึ่งหลังเซร์คิโอ รามอสยิงให้มาดริดไล่มาเป็น 3-2 แต่จากนั้นไม่กี่นาที ผู้เล่นมาดริดก็เกิดเสียสมาธิเพราะกลัวเมสซี่จะเล่นงานอีก โดยไม่ได้มองเลยว่าเธียร์รี่ อองรี แอบซ่อนตัวเองอยู่ในไลน์ ชาบีเห็นปั๊บ แทงคิลเลอร์พาส ให้อองรียิงเข้าเป็น 4-2
นาทีที่ 75 ชาบีดึงบอลหลอกที่หัวกะโหลก จากนั้นเมสซี่วิ่งอ้อมหลังกาเบรียล ไฮน์เซ่ ยิงผ่านมือกาซียาส ทำสกอร์ทิ้งห่าง 5-2 คมกริบแบบสุดๆ
และพอนำห่างชนิดที่ชนะชัวร์ๆ แล้ว เคราร์ด ปิเก้ ก็เติมสูงขึ้นมาและยิงเม็ดที่ 6 ให้บาร์ซ่าขยี้เรอัล มาดริดขาดลอย 6-2
ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสร เรอัล มาดริด ไม่เคยโดนบาร์เซโลน่ายิงคาบ้าน 6 ลูก นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้ว นั่นเพราะผู้จัดการทีมมาดริด ฆวนเด้ รามอส ไม่ทันระวังเลยว่า เป๊ปมีแผนใหม่ และปล่อยทีเด็ดออกมาในการเจอกันนัดนี้
หลังจบเกม คริสตอฟ เม็ตเซลเดอร์ ที่โดนพาทัวร์กระจาย ให้สัมภาษณ์ว่า "เราไม่สามารถเล่นเกมของเราได้เลย เวลาเมสซี่ถอยลงไปถึงกองกลาง เราไม่รู้ว่าต้องตามเขาไปด้วยหรือเปล่า"
กล่าวคือปกติหน้าที่ของเซ็นเตอร์แบ็กคืออยู่ประกบติดกองหน้าของคู่แข่ง แต่ถ้าคู่แข่งถอยต่ำลงไปมากๆล่ะ เซ็นเตอร์แบ็กต้องตามไปไหม แล้วถ้าตามไป กองหลังจะมีรูโหว่หรือเปล่า ถ้าเป็นในยุคนี้ คงมีวิธีรับมือกันมากมาย แต่ในยุคนั้น เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ยังไม่ง่ายนัก ที่คุณจะแก้หมาก False 9 อันแปลกใหม่ขนาดนี้
หลังจบเกม เป๊ป คนที่มักจะเยือกเย็นเสมอ ให้สัมภาษณ์ว่า "นี่เป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดตลอดกาลในชีวิตของผม และผมก็ได้รู้ว่าเราทำให้แฟนบอลหลายคนมีความสุขในค่ำคืนนี้"
อันเดรส อิเนียสต้า เล่าบรรยากาศหลังจบเกมว่า "คนที่เพี้ยนที่สุดของทีมเราตลอดมา แน่นอนว่าต้องเป็นปิเก้ เขาไม่หยุดกระโดด ไม่หยุดตะโกนตลอดคืน ที่ผมชอบที่สุดคือตอนเราบินกลับจากมาดริด มาบาร์เซโลน่า ปิเก้ไปเอาเครื่องเอ็มพีสามของเขา เชื่อมต่อกับสปีกเกอร์ของห้องนักบิน แล้วเปิดเพลงดังสนั่นทั่วเครื่องบิน เพลงเทคโน สกา เพลงแดนซ์ ทุกเพลงที่คุณจะนึกออก ปิเก้เขาสะใจแบบสุดๆ จริงๆ"
สุดท้ายหลังจากชัยชนะในเอล กลาสิโก้ นัดนั้น บาร์เซโลน่าก็ก้าวไปคว้าแชมป์ได้จริงๆ เพราะยังไงมาดริดก็ไล่ไม่ทันแล้ว รวมถึงทุกรายการที่ลงแข่งในรายการนั้น โกปา เดล เรย์ หรือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก บาร์ซ่ากวาดเรียบ
เกมที่เป็นหมุดหมายสำคัญที่สุดในฤดูกาลนี้ คือนัดชนะเรอัล มาดริด 6-2 มันเป็นจุดเริ่มต้นของความมั่นใจทั้งหมด ว่าหากบุกไปชนะมาดริดได้ 6 ลูก เจอใครก็ชนะได้ทั้งนั้น
และแน่นอน มันเป็นจุดเริ่มต้นของแผน False 9 อันน่าสะพรึงกลัว ที่มีเมสซี่เป็นคีย์แมน
เมสซี่ค้นพบตำแหน่งดีที่สุดของตัวเอง และกวาร์ดิโอล่าก็ใช้สิ่งที่เมสซี่ค้นพบ เอามาคว้าแชมป์ต่างๆ มากมายในอนาคตข้างหน้า
มีผู้เล่นไม่กี่คนบนโลก ที่เล่นเป็นกองกลาง และกองหน้า ได้ในระดับสุดยอดเท่ากัน แต่เมสซี่ทำได้ และด้วยการยืนแบบ False 9 ส่งผลให้เขากลายเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก ในช่วงเวลานั้นอย่างไม่มีข้อสงสัยอะไรเลย
#FALSENINE
#LALIGA
โฆษณา