23 ต.ค. 2021 เวลา 11:53 • ความคิดเห็น
ตอนเด็กๆ ช่วว3ขวบ-10ปี
เรียนรู้การเข้าอกเข้าใจผู้อื่นผ่านการถูกกระทำด้านจิตใจทั้ง คนในเเละนอก จำพวกการเปรียยเทียบ บลูลี่ อิจฉา เป็นต้น ว่าถ้าเราไม่ชอบอย่าทำอย่างงั้นกัยพวกเขา เพราะเขาจะรู้สึกเจ็บแบบเราได้หากเราทำใส่ใคร
ตอนวัยรุ่นตั้งแต่อายุ11-16
เรียนรู้เรื่องการเอาชีวิตรอดในโลกสีเทาทั้งในเเบะนอกครอบครัว ยันสถานที่ๆทุกๆคนมองว่ามันดีแต่ลึกๆแฝงไปด้วยความป่าเถื่อนเเละเลวร้าย ที่ไดเรับมาจากพ่อที่เข้าใจบวกกับวิจารณญาณของตน คือต่อสู้ดิ้นรนยังไงไม่ให้ความโกรธ เกลียดบดบังตัวตนจนกบายเป็นคนไร้หัวใจ ที่ใช้ความรุนเเรงตัดสินทุกสิ่ง ให้กลายเป็นสู้เพื่อปกป้องตัวเอง ทำให้อีกฝ่ายหยุดคุกคามได้โดยที่เราไม่ต้องทำเกินกว่าเหตุ ในเกณฑ์พอให้อภัยกันได้
ตอนเข้ามหาลัย
หลังจากกลับสู่แสงสว่างก็กลายเป็นนักสู้ชีวิต เพื่อที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เช่น คนที่เรียนอ่อนที่สุดในรุ่นสามารถเอาชนะตัว Top ได้โดยการทำผลงานให้ดีมากกว่าการสอบได้ึะเเนนดีๆ (สู้ด้วยผลการเรียนไม่ได้สู้ด้วยผลงานโดยรวม)ยันทำงานพิเศษหาเวินให้ตนทั้งๆที่ไม่ได้มีปัญหาการเงิน เเต่ทำงานเพื่อเรียนรู้ชีวิต จนสามารถเอาชนะใจคนทั้งคณะทั้งอาจารย์ เพื่อน ผู้อำนวยการได้ในที่สุด รวมถึงพ่อแม่ที่ไม่เคยเขื่อมั่นในตัวลูกมาหลาย10ปีเริ่มเปบี่ยนมุมมองในทางที่ดี
วัยผู้ใหญ่ยันปัจตุบัน
หลัวจากเรียนจบมา คือบททดสอบอีกอย่างคือ สิ่งที่เคยทำมาได้นี่ขอวจริงหรือของเก้ ไม่ว่าจะเรืาองของการเข้าหาคน การทำหน้าที่ การพิสูจน์ตัวเอง คือทำเพื่อตัวเองมากขึ้นจนคนอื่นมองเห็นเอง เพื่อให้ตนได้ทำสิ่งที่ตั้งใจไว้ให้เป็นจริงยันทำสิ่งที่ควรทำในด้านต่างๆไม่เหมือนตอนมหาลัยคือ ตั้งใจพิสูจน์เพื่อลบคำสบประมาท ถูกมองว่าคนไม่ได้เรื่องไร้ค่า และเรียนรู้เรื่องการประคองสติกับ1ในความกลัวที่สุดในขีวิต คือ การสูญเสียพ่อจนเหมือนหมดที่พึ่ง ส่วนเเม่นั้นยังไม่เปิดใจ100% รวมถึง รับมือกับอาการกำเริบซึมเศร้าที่หนักกว่าสมัยเรียนถึง 3 เท่า (ตอนเรียนเคยหนักถึงขั้น ปิดสวิตช์ตัวเองเหมือนหินไม่รับรู้อะไร) จนตอนนี้ต้องรับมือประคองสติไม่ให้เผลอฟุ้งซ่าน
แต่ถ้าพูดกันดีๆ ผมเองก็ใช้ขีวิตได้ตามปกติดีนะครับ ทำงานได้ ใช้ชีวิต พบปะผู้คนได้เหมือนคนทั่วไปเลย
โฆษณา