ราคาน้ำมัน ไทยแพงเพราะตลาดโลก หรือภาษีที่สูงเกินไป???
ปัจจุบัน 1 ในปัญหาที่ประชาชนชาวไทยต่างได้รับผลกระทบ แต่ก็ทำได้แค่บ่นไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ก็คือ “ราคาน้ำมัน” โดยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทุกประเภทได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั่วโลก แต่ก็ราคาที่ปรับขึ้นมานั้นก็ยังมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งเหตุผลสำคัญนั้นก็มาจากอัตราการเก็บภาษีน้ำมันเชื้อเพลิงของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปี 2020 ที่ผ่านมา ราคาสินค้าและบริการหลายประเภทมีราคาที่ถูกลง ซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงก็เป็น 1 ในสินค้าที่มีราคาตกลงเป็นอย่างมาก เหตุผลก็มาจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกเกิดการหยุดชะงัก อุปสงค์และอุปทานทั่วโลกต่างลดน้อยลง แต่เมื่อมาถึงปี 2021 ซึ่งเศรษฐกิจโลกเริ่มมีการฟื้นตัว ปัญหาก็เกิดขึ้นกับ supply chain ทั่วโลก เป็นเหตุให้เกิดการขาดแคลนสินค้าบางประเภท จนทำให้ราคาของสินค้าเหล่านั้นพุ่งสูงขึ้น ทั้งจากปริมาณ หรือการขนส่งที่เกิดปัญหา
ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกก็เป็น 1 ในสินค้าที่มีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2020 และยังคงมีราคาที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าจะมีราคาลดลงแต่อย่างใด สำหรับในประเทศไทยนั้นหากเปรียบเทียบราคาน้ำมันเชื้อเพลิงย้อนหลังในปี 2020 กับปี 2021 จะพบว่ามีราคาพุ่งขึ้นเกือบ 1 เท่าตัว โดยน้ำมันเบนซิน E20 มีราคาต่ำที่สุดอยู่ที่ประมาณ 15 บาท/ลิตร ในขณะที่ปัจจุบันราคาน้ำมันเบนซิน E20 มีราคาอยู่ที่ 30.44 บาท/ลิตร สำหรับน้ำมันดีเซลในปี 2020 มีราคาต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 14 บาท/ลิตร แต่ในปัจจุบันมีราคา 29.29 บาท/ลิตร
แม้ว่าราคาในปี 2020 จะเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วโลกมีราคาต่ำลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ยังนับว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในปัจจุบันมีราคาแพงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2018 และ 2019 ประมาณ 10-20% และกำลังไต่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าราคาน้ำมันในตลาดโลก และอัตราการแลกเปลี่ยนอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้น แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันในแต่ละประเทศมีราคาสูงต่ำแตกต่างกันก็คือ “อัตราการเก็บภาษี” โดยราคาน้ำมันเชื้อเพลิงของไทยนั้นจะแบ่งราคาออกเป็น 4 ส่วน ได้แก่
1. ต้นทุนเนื้อน้ำมัน คือ ต้นทุนราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่น ซึ่งอ้างอิงราคาตามตลาดกลางภูมิภาคเอเชีย โดยส่วนจะคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 40-60%
2. ภาษีต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 30-40% ได้แก่ ภาษีสรรพสามิต จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ภาษีเทศบาล จัดเก็บโดยกระทรวงการคลัง ในอัตรา 10% ของภาษีสรรพสามิต และภาษีมูลค่าเพิ่ม จัดเก็บ 7% ของราคาขายส่งน้ำมันเชื้อเพลิง และจัดเก็บอีก 7% ของค่าการตลาดน้ำมันเชื้อเพลิงแต่ละชนิด
3. กองทุนต่างๆ คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 5-20% ได้แก่ กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศไม่ให้เกิดความผันผวน และกองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน จัดเก็บตามประกาศคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติหรือ กพช. เพื่อส่งเสริมสนับสนุนพลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดการใช้พลังงาน
4. ค่าการตลาด และกำไรของธุรกิจค้าปลีกน้ำมัน คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10-18%
จากข้อมูลสัดส่วนราคาขายน้ำมันเชื้อเพลิงของไทย น่าจะเห็นภาพแล้วว่าน้ำมันของไทยแพงเพราะอะไร เพราะแม้ราคาน้ำมันในตลาดโลกจะผันผวน หรืออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราจะเป็นอย่างไร แต่ก็ยังคิดเป็นแค่ไม่เกิน 60% ของราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ
แน่นอนว่าราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทยไม่ใช่ราคาที่สูงที่สุดในโลก แต่อยู่ในระดับกลาง หากแต่ราคาน้ำมันที่แพงกว่านั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในประเทศพัฒนาแล้วที่มีรายได้สูง มีระบบขนส่งมวลชนที่ดีพร้อม แต่ประเทศไทยยังเป็นประเทศที่ค่าครองชีพ กับรายได้สวนทางกัน อีกทั้งระบบขนส่งมวลชนยังไม่ได้ดีพอในทุกพื้นที่และมีราคาที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับรายได้เฉลี่ยของประชาชน
คำถามที่น่าสนใจก็คือ ทำไมรัฐบาลจึงต้องเก็บภาษี และเก็บเงินเข้ากองทุนในอัตราที่สูงขนาดนี้???
โฟกัสทุกความเคลื่อนไหว ที่น่าสนใจและอัดแน่นไปด้วยสาระ
ที่ TopNewsFocus เลือกสรรมาให้คุณเติมอาหารสมองกันได้ทุกวัน
ติดตาม Topnewsfocus ได้ทุกช่องทางที่
Website : https://topnewsfocus.com/
facebook : https://www.facebook.com/Topnewsfocus
Twitter : https://twitter.com/Topnewsfocus
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
