27 ต.ค. 2021 เวลา 12:34 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Fast & Furious 9
เร็ว แรง พังพินาศ เอาไป 3/10 ก็พอแล้ว
นาทีนี้คนที่จะไม่รู้จักแฟรนไชส์หนังเรื่องนี้เลยก็คงจะแทบไม่มี แม้ก่อนดูจะไม่ได้คาดหวังมาก แต่ก็ยังผิดหวังได้ ถึงหนังอาจจะไม่ได้พินาศขนาดที่จั่วหัวไว้ข้างบน และคงทำรายได้เป็นกอบเป็นกำเช่นเคย แต่ในฐานะ “สื่อภาพยนตร์” แล้ว ฟาส9 ก็ล้มเหลวแทบทุกด้าน
อย่างที่ขึ้นต้นไว้ว่าให้ 3/10 ปกติเราคิดว่าการตีความสนุกของหนังเป็นตัวเลขนั้นทำได้ยาก แต่ฟาส9 นี่เราจะขอพูดถึง 3 ข้อดีที่เราชอบ ซึ่งเป็นเจ้าของทั้ง 3 คะแนนที่ได้ไปจากเราก่อนเลย นั่นคือ การกำกับฉากแอคชั่น, การตัดต่อ และ …อวกาศ
1
แม้จะโกลาหลไร้ซึ่งเหตุผลเพียงใด แต่ซีนแอคชั่น และคุณภาพการตัดต่อของหนังก็นับว่าเป็นของจริง “ความสะใจ” อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่พูดได้เต็มปากว่าหนังสามารถประเคนใส่จานส่งตรงได้ถึงคนดูอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ต้องขอยอมรับว่าการลำดับภาพในหนังเรื่องนี้ไม่ใช่งานง่าย และทำออกมาได้ในขั้นที่น่าพึงพอใจ ดูเอามันส์อย่างเดียวก็พอจะให้อภัยได้อย่างไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจเท่าไรนัก
แต่นอกจากนั้นแล้ว หนังก็ประดังประดาอะไรที่มันเลยเถิดเกินกว่าจะรับไหวให้คนดูอยู่แทบจะตลอดเวลา จากที่ภาคแรกๆ เป็นเรื่องของนักซิ่งในสนามแข่ง ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน รู้ตัวอีกทีตอนนี้กลายเป็นเรื่องของนักสู้ในสนามรบไปเสียแล้ว
การสเกลอัปของเนื้อเรื่องจากอาชญากรรมข้างถนน มาเป็นหนังสงครามเต็มรูปแบบขึ้นเรื่อยๆ นอกจากจะทำลายสเน่ห์ของความเป็นหนังแข่งรถในภาคแรกๆ แล้ว การเขียนบทที่คุณภาพย่ำแย่ก็ทำให้ฟาสกลายเป็นเหมือนหนังล้อเลียนหนังแอคชั่นจารกรรม แล้วก็พวกหนังสายลับอย่าง Die Hard หรือ Mission Impossible ในแบบที่คุณภาพต่ำกว่าไปเสียอย่างนั้น ซึ่งที่จริงแล้วตัวละครกับบทที่ปูมามันก็น่าจะสามารถไปถึงขั้นนั้นได้ หากไม่ต้องมาผจญอีกปัญหาที่หนังพยายามจะเป็นให้คนดูก็คือ Fan Service
ปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวละครของหนังเรื่องนี้หลายคนแคสมาได้ดีมาก ครบเครื่องเรื่องความเท่ ความตลก และความมีเสน่ห์ แต่การพยายามจะเอาใจแฟนๆ โดยการยัดตัวละครที่ทุกคนรักเข้ามาเฉลี่ยบทกันในทุกๆ ภาคก็ไม่ใช่วิธีการที่ฉลาดเท่าไหร่ ยิ่งดูยิ่งรู้สึกว่าหนังพยายามจะเอาใจแฟนๆ ทุกกลุ่มจนเกินความพอดี อยากจะยัดตัวละครเข้ามาให้ครบๆ อยากจะมีฉากแอคชั่น อยากจะเป็นหนังสายลับ ฉากแข่งรถก็ยังอยากจะให้มี กลายเป็นหนังที่มีทุกอย่างแต่คุณภาพก็ไม่ได้เรื่องเลยสักอย่าง
1
เนื้อหาของภาคนี้ที่หนังพยายามนำเสนอคือการพาคนดูไปรู้จักกับอดีตของ “ดอม” ตัวเอกของเรื่องมากขึ้น น่าเสียดายที่ส่วนนี้ก็ดันไม่ค่อยเวิร์คเหมือนกัน ทั้งการใส่ตัวละครน้องชายที่ไม่เคยมีตัวตนเข้ามาแบบสีข้างถลอก ทั้งการเปิดเผยปมเรื่องพ่อในอดีตได้แบบจืดสนิท รวมไปถึงการแคสติ้งตัวละครในวัยเด็กที่เราว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ทำให้เนื้อเรื่องในส่วนอดีตของพระเอกขวัญใจมหาชนกลับไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมศักดิ์ศรีเท่าที่ควร
สิ่งที่คนอื่นว่าบ้าบอมาก แต่เรากลับค่อนข้างชอบก็คือ การซิ่งทะลุจักรวาลของจริงออกไปท่องอวกาศครั้งแรกของแฟรนไชส์ อาจจะดูผิดที่ผิดทางไปหน่อย แต่เราชอบที่หนังมันกล้าจะสุดในความบ้าบอคอแตกของมันในระดับที่ไม่คิดว่าจะกล้าทำ ถ้าภาคต่อไปเอเลี่ยนจะบุกโลกก็อาจจะหวังพึ่งพวกเขาได้จริง เพราะความเว่อด้านสเกลพลังของพระเอกในซีรี่ส์นี้ ก็ระดับน้องๆ ทีม The Avengers กันเลยทีเดียว
2
โดยรวมๆ แล้ว หนังไม่ได้เละเทะจนถึงขั้นดูไม่ได้ อันที่จริงถ้าถอดสมองออกทิ้งไว้แล้วไปดูเอามันส์เพียงอย่างเดียว ประสบการณ์ที่ได้รับก็เข้าขั้นใช้ได้ ให้ฟิลของการไปเล่นเครื่องเล่นในสวนสนุกมากกว่าการดูหนัง หากผู้สร้างใส่ใจในส่วนของการเล่าเรื่องอย่างพิถีพิถันกว่านี้ก็อาจจะสามารถดึงศักยภาพของตัวละครออกมา และยกระดับของหนังไปในทิศทางที่ดีได้มากกว่านี้
ปล. Justin Lin ผู้กำกับหนังมีโครงการจะสานเนื้อเรื่องไปอย่างน้อยถึงภาค 11 ในตอนนี้ ก็หวังว่าบางอย่างอาจจะยังพอกลับลำทัน หรือไม่งั้นก็คงจะเดินทางนี้ละไปให้สุดจนสุดท้ายคงกลายเป็นหนังตลกไปเลย ไม่ว่าจะเอาอย่างไหน การติดตามการเดินทางของแฟรนไชส์นี้ต่อไปก็เหมือนเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้สำหรับคนที่ดูมาทุกภาคแล้วอยู่ดี
Ace
211027
โฆษณา