พยัคฆ์ร้ายฝ่าเวลามรณะ 007 พ.ศ.2564 (No Time to Die ค.ศ.2021)
เจมส์ บอนด์ภาคสุดท้ายของ แดนเนียล เคร็ก ที่เลื่อนฉายเป็นว่าเล่นราวกับแกล้งคนดู ตัวหนังยังคงเต็มไปด้วยเอกลักษณ์ของ 007 ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำตัว วอดก้ามาร์ตินี่เขย่าแต่ไม่คน ขับรถแอสตันมาติน สาวสวยและอุปกรณ์ไฮเทคอยู่เหมือนเดิมเพิ่มเติมคือความคาดไม่ถึงในตอนท้าย
สิ่งหนึ่งที่ผมชอบมากในเรื่องนี้เลยก็คือเรื่องราวความรักของพระนางทั้งสอง ซึ่งถ่ายทอดออกมาได้ละม้ายคล้ายคลึงกับภาค ยอดพยัคฆ์ราชินี 007 พ.ศ.2512 (On Her Majesty's Secret Service 007 ค.ศ.1969) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งภาคที่เล่าเรื่องราวความรักของ เจมส์ บอนด์ ออกมาได้ดีและตราตรึงเป็นอย่างมาก ภาคนี้เองก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน ถ้าใครรู้สึกว่าเส้นเรื่องความรักของหนังภาค องค์กรลับดับพยัคฆ์ร้าย 007 พ.ศ.2558 (Spectre 007 ค.ศ.2015) นั้นดูแปลกๆ ผมว่าภาคนี้คงจะช่วยลบล้างความรู้สึกดังกล่าวที่มีต่อภาคก่อนออกไปได้
จุดด้อยมีแค่ที่เดียวเลยนั่นคือตัวร้ายของเรื่องที่ตัวหนังปูมาเหมือนจะเก่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้น่าจดจำอะไรนักเมื่อเทียบกับ เอิร์นส์ สตาฟโร โบลเฟลด์ และ ซิลวา ซึ่งเป็นตัวร้ายที่น่าจดจำมากในสายตาผม แต่ภาคนี้ผมว่าถ้าไม่ได้การแสดงระดับคุณภาพของ รามี มาเลค ซึ่งเคยเล่นหนังเรื่อง โบฮีเมียน แรปโซดี มาก่อน ผมว่านี่อาจจะเป็นตัวร้ายที่ธรรมดามากตัวหนึ่งเลย ผมเข้าใจว่าหนังอาจจะอยากส่งท้าย แดนเนียล เคร็ก มากกว่าดังนั้นจึงไม่ได้เน้นที่ตัวร้ายอะไรมาก
สรุปแล้ว นี่คือ 007 ภาคที่คุ้มค่ากับการรอคอยเป็นอย่างมาก ผมก็เป็นอีกหนึ่งคนที่ติดตามหนังชุดนี้มานาน รู้สึกว่าไม่ผิดหวังเลยครับ ถึงจะแอบมีขัดใจนิดหน่อยในบางจุดแต่ก็พอจะมองข้ามไปได้ ขอบคุณ แดนเนียล เคร็ก ที่ทำให้หนังชุด 007 ยกระดับไปอีกขั้นหนึ่ง บทบาท เจมส์ บอนด์ ของคุณจะเป็นที่จดจำไปอีกนาน😄
คำคมในหนัง
"เวลาทั้งโลกเป็นของคุณ"
เจมส์ บอนด์
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
