28 ต.ค. 2021 เวลา 04:24 • กีฬา
ตำนานคลาสสิคของ "เดนิส ลอว์" นักเตะบัลลงดอร์ที่ย้ายจากแมนฯ ยูไนเต็ด ไปอยู่กับคู่แค้นยแมนฯ ซิตี้ แต่แฟนๆ ยังรัก ทำไมเขาไม่โดนเกลียด เราจะย้อนอดีตไปด้วยกัน
หน้าสนามโอลด์แทรฟฟอร์ด จะมีรูปปั้นที่ชื่อว่า United Trinity ตั้งอยู่ เป็นการสดุดีนักเตะ 3 คนของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ได้บัลลงดอร์ครบทั้งหมด ประกอบด้วย บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน, จอร์จ เบสต์ และ เดนิส ลอว์
บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน เป็นจิตวิญญาณของสโมสร จนถึงวันนี้เขายังเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูสูงสุดในลีกของแมนฯ ยูไนเต็ด (199 ประตู) แถมยังเป็นนักเตะ 1 ใน 4 ของสโมสร ที่เคยได้แชมป์ฟุตบอลโลก (อีกสามคนที่เหลือ คือ น็อบบี้ สไตล์, จอห์น คอนเนลลี่ และ พอล ป็อกบา)
จอร์จ เบสต์ แม้จะเป็นเพลย์บอย และมีมรสุมในชีวิตตลอด แต่เขาก็เป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลรักที่สุด แถมยังมีลีลาลากเลื้อยที่สร้างความตื่นตะลึงทุกครั้งที่ลงสนาม เบสต์เป็นฮีโร่นัดชิงแชมป์ยุโรป ปี 1968 ในช่วงที่เขาพีกที่สุด ไม่มีใครต้านทานได้ทั้งนั้น
เดนิส ลอว์ ก็สุดยอดเช่นกัน เพราะเป็นนักเตะบัลลงดอร์คนแรกของสโมสร และเป็นเจ้าของสถิติยิงประตูทุกรายการสูงสุดในปีเดียว (46 ลูก) จนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีใครทำลายได้ แฟนในยุคนั้นตั้งฉายาให้เขาว่า The King เป็นราชาแห่งสนามที่ยิงประตูได้ทุกรูปแบบ
เอาล่ะ เรื่องคุณภาพฝีเท้าในสนาม ยังไงทุกคนก็เป็นของจริงแน่ๆ แต่คำถามคือการที่นักเตะสักคนจะมีรูปปั้นได้แค่เก่งอย่างเดียวไม่พอ คุณต้อง "เป็นที่รักของแฟนบอล" อย่างแท้จริง
ไมเคิล โอเว่น ต่อให้ได้บัลลงดอร์ แต่ก็คงยากที่จะมีรูปปั้นหน้าแอนฟิลด์ เพราะแฟนบอลก็ยังโกรธแค้นที่ย้ายไปแมนฯ ยูไนเต็ดอยู่ ถ้าอดีตนักเตะหงส์แดงสักคนจะมีรูปปั้น สตีเว่น เจอร์ราร์ด ยังเป็นไปได้มากกว่า แม้จะไม่เคยได้แชมป์ลีกหรือบัลลงดอร์ก็เถอะ
ชาร์ลตัน กับ เบสต์ ไม่มีปัญหา ทั้งคู่เป็นเด็กปั้นของสโมสร และไม่เคยมีประเด็นขัดแย้งอะไรกับแฟนบอลทีมตัวเอง
1
แต่กับกรณีของเดนิส ลอว์ นั้นต่างกันนิดหน่อย เพราะแฟนบอลทีมอื่นๆ จะไม่เข้าใจว่า คุณไปยกย่องอะไรขนาดนั้นได้ยังไง ในเมื่อลอว์เลือกย้ายไปแมนฯ ซิตี้ ทีมคู่อริสำคัญในช่วงท้ายอาชีพ
ในโลกออนไลน์ มีคนตั้งคำถามใน Reddit ว่า
"Why is Denis Law regarded as a Manchester United legend, despite him having joined Manchester City?"
แปลว่า ทำไมเดนิส ลอว์ ถึงถูกยกย่องให้เป็นตำนานของแมนฯ ยูไนเต็ด ทั้งๆ ที่ย้ายไปร่วมทีมแมนฯ ซิตี้
ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยังเข้าใจอีกด้วยว่า ลอว์ เป็นคนยิงประตูเขี่ยแมนฯ ยูไนเต็ดตกชั้นในเกมรองสุดท้าย ของฤดูกาล 1973-74
คิดดูว่าย้ายไปทีมคู่อริ แล้วบุกมายิงทีมตัวเองตกชั้น จะไม่ให้แฟนบอลแค้นได้หรือ
แต่ข้อเท็จจริงคือ แฟนแมนฯ ยูไนเต็ด ณ เวลานั้น ไม่ได้โกรธเคืองอะไรลอว์เลยแม้จะย้ายไปซิตี้ก็เถอะ (แถมยังบุกมายิงถึงโอลด์แทรฟฟอร์ดด้วย) ซึ่งก็นับว่าแปลก เพราะลองคิดดู ตอนโรนัลโด้มีข่าวว่าจะไปแมนฯ ซิตี้ แฟนบอลแมนฯ ยูไนเต็ด โมโหสุดๆ จนแทบจะตัดขาดกันเลยแท้ๆ
ทำไมเป็นแบบนั้น ทำไมลอว์ถึงไม่ถูกโกรธหรือเกลียด เราจะย้อนอดีตไปพร้อมๆ กัน ในบทความนี้
[ ทำไมลอว์ ย้ายจากแมนฯ ยูไนเต็ด ไปแมนฯ ซิตี้ ]
ต้องอธิบายก่อนว่า ลอว์ คือลูกรักของเซอร์แมตต์ บัสบี้ ไม่ได้ต่างกับจอร์จ เบสต์ ถ้าบัสบี้เป็นผู้จัดการทีมอยู่ ก็พร้อมให้โอกาสลอว์ลงสนามตลอด แม้จะฟอร์มตกหรืออะไร แต่ก็เป็นขุนพลที่บัสบี้เชื่อใจเสมอ
หลังจากบัสบี้รีไทร์ สโมสรจ้างแฟรงค์ โอ ฟาร์เรลล์ เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ แต่ก็ไม่เวิร์ก ในฤดูกาล 1972-73 ทีมฟอร์มแย่จนอยู่เกือบบ๊วยของตาราง ผู้บริหารทีมไล่โอ ฟาร์เรลล์ออกในเดือนธันวาคม 1972 จากนั้นไปจ้างทอมมี่ ด็อคเฮอร์ตี้ มาเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่แทน
ด็อคเฮอร์ตี้ สร้างปาฏิหาริย์ พาแมนฯ ยูไนเต็ดที่ร่อแร่ เก็บชัยชนะรัวๆ ได้ในครึ่งซีซั่นหลัง และ พาแมนฯ ยูไนเต็ด จบอันดับ 18 ในตาราง รอดตกชั้นได้สำเร็จ (ตอนนั้นลีกสูงสุดมี 22 ทีม)
นั่นทำให้ผู้บริหารเชื่อใจด็อคเฮอร์ตี้มาก ที่กู้ชีพทีมปีศาจแดงไม่ให้ตกชั้น และพร้อมจะสนับสนุนการตัดสินใจทุกๆ อย่าง
ไอเดียของด็อคเฮอร์ตี้คือ แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องกล้าโละ United Trinity ได้แล้ว เพราะแต่ละคนก็โรยรา และเลยจุดพีกของตัวเองไปแล้ว สู้วัดใจกับเด็กรุ่นใหม่ไปเลยดีกว่า โดย ณ เวลานั้น บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน อายุ 35 ปี, เดนิส ลอว์ 32 ปี ส่วนจอร์จ เบสต์ แม้ตอนนั้นจะอายุแค่ 26 แต่เขาก็ติดเหล้า ติดเที่ยว ด็อคเฮอร์ตี้ก็เลยอยากโละทิ้งเช่นเดียวกัน
บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ไหวตัวทัน ชิงแขวนสตั๊ดไปก่อน หลังจบซีซั่น 1972-73 แต่กับกรณีของเดนิส ลอว์ เขาเชื่อว่า ตัวเองมีดีพอ ที่จะอยู่แมนฯ ยูไนเต็ดต่อไป คืออายุ 32 เยอะก็จริง แต่ก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น
1
เดนิส ลอว์เล่าว่า "หลังจากรอดตกชั้นมาได้ ผมคิดว่าแมนฯ ยูไนเต็ดจะคืนชีพ และลุ้นแชมป์เต็มตัวในซีซั่นหน้า โอเค ผมรู้ว่าทีมคงมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่โดนหั่นชื่อทิ้งด้วย"
1
แผนของลอว์คือ เขาอยากเล่นฟุตบอลกับแมนฯ ยูไนเต็ดต่ออีกสัก 1 ปี ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกกับทีมชาติสกอตแลนด์ ในเวิลด์คัพ 1974 เป็นการทิ้งท้ายอาชีพ จากนั้นก็แขวนสตั๊ด แล้วรับงานเป็นสตาฟฟ์โค้ชของแมนฯ ยูไนเต็ดต่อไป
ตอนด็อคเฮอร์ตี้ รับตำแหน่งเป็นผู้จัดการทีมใหม่ๆ เคยสัญญาเอาไว้ว่า พอลอว์แขวนสตั๊ดแล้ว จะให้เขามาอยู่ในทีมสตาฟฟ์โค้ชด้วย นั่นทำให้ลอว์ แพลนชีวิตของตัวเองไว้หมดแล้ว
ลอว์ กับภรรยาไดอาน่า มีลูกชาย 4 คน และเธอกำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 5 ดังนั้นเมื่อแผนทุกอย่าง มีแนวโน้มว่าเขาจะอยู่ในแมนเชสเตอร์ต่อไปอีกนาน ลอว์จึงไปกู้เงินซื้อบ้าน เพื่อลงหลักปักฐานใช้ชีวิตที่นี่ไปเลย ไม่กลับไปบ้านเกิดที่สกอตแลนด์แล้ว
แต่ทุกอย่างผิดแผนหมด เมื่อทอมมี่ ด็อคเฮอร์ตี้ เรียกลอว์ไปในออฟฟิศที่เดอะ คลิฟฟ์ แล้วแจ้งว่า "เราตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยตัวนายแบบไม่มีค่าตัวในซัมเมอร์นี้"
ลอว์เล่าว่า "ผมพูดอะไรไม่ถูก ไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน ปล่อยตัวฟรีเนี่ยนะ? แล้วสัญญาจ้างงานโค้ชที่บอกว่าจะให้ผมล่ะ? มีแต่คำถามมากมายไปหมด"
ด็อคเฮอร์ตี้ตัดสินใจอย่างเฉียบขาดมาก โดยแจ้งว่าเส้นทางชีวิตของลอว์จากนี้จะอย่างไรก็ตัดสินใจเองได้เลย จะแขวนสตั๊ด หรือย้ายไปทีมไหนก็ได้ ไม่มีปัญหา
"ผมเล่นให้แมนฯ ยูไนเต็ด 11 ปี ยิงไป 171 ลูก และมีส่วนสำคัญกับการได้แชมป์ของสโมสร แต่มันน่าเศร้าที่ผมต้องอำลาทีมทั้งๆ แบบนี้ โดยไม่มีโอกาสอำลาแฟนในสนาม ต่างกับเคสของบ๊อบบี้ ชาร์ลตัน ที่ประกาศแขวนสตั๊ดล่วงหน้า ทำให้เขาได้มีโอกาสลาแฟนๆ ซึ่งเรื่องนี้ เป็นอะไรที่ผมปวดใจมากที่สุด" ลอว์กล่าว
คำถามคือชีวิตของลอว์ จากนี้จะอย่างไรต่อ ทางออกที่ดูจะสวยที่สุด คือให้ลอว์แขวนสตั๊ดไปเลย ปิดฉาก 11 ปีกับสโมสรอย่างเป็นตำนาน แล้วอาจจะทิ้งท้ายด้วยเทสติโมเนียลแมตช์ แบบสวยๆ
1
อย่างไรก็ตาม เขายังไม่พร้อมที่แขวนสตั๊ด เขาอยากเล่นต่ออีกสักปี โดยเป้าหมายที่เขาต้องการมากๆ คือได้ไปเล่นฟุตบอลโลก 1974 ที่เยอรมันตะวันตก ซึ่งเป็นบอลโลกรอบสุดท้ายครั้งแรกในชีวิต ถ้าหากเขาชิงแขวนสตั๊ดไปตอนนี้ ความฝันคงหลุดลอย
1
นั่นทำให้ลอว์จำเป็นต้องหาทีมใหม่เพื่อย้ายไปอยู่ด้วย จริงๆ มีหลายสโมสรในระดับดิวิชั่น 2 ที่อยากได้ตัวเขา ขณะที่ทีมในดิวิชั่น 1 ทีมเดียวที่สนใจลอว์ คือแมนเชสเตอร์ ซิตี้
"ในความคิดของผม ทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ที่จะเลือก คือย้ายไปเล่นที่เมน โร้ด" ลอว์กล่าว "แต่ปัญหาคือผมไม่อยากแยกจากภรรยาที่กำลังจะคลอด และไม่อยากให้เด็กๆ ต้องย้ายโรงเรียน ทั้งๆที่พวกเขากำลังปรับตัวได้แล้ว นอกจากนั้น ผมอยู่ในช่วงปลายอาชีพแล้ว ผมไม่อยากปิดฉากชีวิตนักเตะที่ลีกรอง"
เมื่อรวมกับเหตุผลเรื่องรายได้ ลูกตั้ง 5 คน จะให้เขาชิงแขวนสตั๊ดได้ไง ยังไงก็ต้องเก็บเงินให้ได้อีกสักปีก่อน รวมถึงความฝันฟุตบอลโลกที่ยังรออยู่ ถ้าเขาไปอยู่ดิวิชั่น 2 คงไม่ติดทีมชาติสกอตแลนด์แน่ๆ
สุดท้าย ลอว์จึงไม่มีทางเลือกอื่น เขาย้ายไปเล่นให้แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสัญญา 1 ปี
ดังนั้นการที่เขาย้ายไปแมนฯ ซิตี้ มันก็เป็นเหตุผลทางครอบครัว และเหตุผลทางอาชีพ ไม่ใช่ว่าเขาคับแค้นอะไรแมนฯ ยูไนเต็ด แต่สถานการณ์ ณ เวลานั้นมันมัดมือชก และแมนฯ ซิตี้ ก็เป็นชอยส์ที่ดีที่สุดแล้วจริงๆ
ซึ่งก็ไม่แปลกใจที่แฟนๆ แมนฯ ยูไนเต็ดในยุคนั้นสามารถยอมรับได้ ไม่ได้มีการโกรธเคืองอะไรลอว์ ทุกคนเข้าใจสถานการณ์ดี
[ ประตูส่งผีตกชั้น? ]
พอย้ายทีมปั๊บ ในฤดูกาล 1973-74 เดนิส ลอว์ ถือว่าไปได้สวยกับแมนฯ ซิตี้ พาทีมอยู่กลางๆ ตาราง แบบไม่มีปัญหา ยิงประตูได้เรื่อยๆ
ตรงข้ามกับฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อไม่มีทั้งชาร์ลตัน และลอว์ ก็ชัดเจนว่านักเตะตัวใหม่ๆ ทดแทนกันไม่ได้เลย ขณะที่จอร์จ เบสต์ ก็เมาหัวราน้ำอยู่เรื่อยๆ จนโดนด็อคเฮอร์ตี้ไล่ออกจากทีม สุดท้าย United Trinity ทั้งสามคน ไม่มีใครเหลืออยู่ช่วยทีมสักคน
สถานการณ์ของแมนฯ ยูไนเต็ด จึงวิกฤติอย่างขีดสุดและส่อแววว่ากำลังจะตกชั้นจากดิวิชั่น 1 โดยตารางคะแนน ในวีกสุดท้ายของฤดูกาลเป็นแบบนี้
อันดับ 19 เบอร์มิงแฮม ซิตี้ : แข่ง 41 นัด มี 35 แต้ม ลูกได้เสีย -13
อันดับ 20 เซาธ์แฮมป์ตัน : แข่ง 41 นัด มี 34 แต้ม ลูกได้เสีย -24
อันดับ 21 แมนฯ ยูไนเต็ด : แข่ง 40 นัด มี 32 แต้ม ลูกได้เสีย -8
อันดับ 22 นอริช ซิตี้ : แข่ง 40 นัด มี 29 แต้ม ลูกได้เสีย -21
Note : สมัยนั้นในลีก จะมี 22 ทีม แข่ง 42 เกมต่อซีซั่น อันดับ 20-21-22 ตกชั้น
ทีมอื่นๆ จะเหลืออีกนัดเดียวก็ปิดฤดูกาล แต่จะมีบางทีมเช่น แมนฯ ยูไนเต็ด กับ นอริช ที่เหลือแมตช์ตกค้าง รวม 2 นัด โดยนอริชเป็นทีมแรกที่ตกชั้นไปแล้วต่อให้ชนะรวด 2 เกมที่เหลือก็ตาม (สมัยนั้น ชนะได้ 2 แต้ม)
เงื่อนไขเดียวที่ แมนฯ ยูไนเต็ดจะรอดตกชั้นได้ คือชนะรวด 2 เกมที่เหลือ (เหย้าแมนฯ ซิตี้, เยือนสโต๊ค) รวมถึงแช่งให้เบอร์มิงแฮม ซิตี้ แพ้นอริชคาบ้าน (แต่อย่าลืมว่านอริชตกชั้นไปแล้ว)
วันที่ 27 เมษายน 1974 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เปิดบ้านต้อนรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด และ เบอร์มิงแฮม เปิดเซนต์แอนดรูว์ รับมือนอริช ในเวลาเดียวกันคือ 15.00 น. ที่ประเทศอังกฤษ
ที่บ้านเบอร์มิงแฮม จบครึ่งแรก เบอร์มิงแฮมนำนอริช 2-1 ส่วนที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ยังเสมอกัน 0-0
สถานการณ์เป็นแบบนี้ ต่อให้แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงชนะ 10-0 ก็ไม่มีความหมาย ต้องไปลุ้นให้เบอร์มิงแฮมพลิกแพ้นอริชคาบ้านอยู่ดี ซึ่งก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย เพราะนอริชเล่นแบบหมดใจแล้ว
จนมาถึงนาทีที่ 81 แมนฯ ซิตี้ ได้บุกโต้ขึ้นมา ก่อนสุดท้ายจะเป็นคนที่คุณก็รู้ว่าใคร "เดนิส ลอว์" นั่นเอง เขาอยู่ถูกที่ถูกเวลา ตอกส้นผ่านมืออเล็กซ์ สเต็ปนีย์ นายทวารแมนฯ ยูไนเต็ดเข้าประตูไป ทำให้แมนฯ ซิตี้บุกมานำ 1-0
และแน่นอนลอว์ไม่แสดงอาการดีใจเลย (แม้ในยุคนั้นยังไม่มีธรรมเนียม ไม่ดีใจตอนยิงทีมเก่า) เพราะเขารู้ชะตากรรมของแมนฯ ยูไนเต็ด ว่าถ้าแพ้เกมนี้ก็ตกชั้นทันที ต่อให้ย้ายทีมไปแล้ว เขาก็ยังรักและเป็นห่วงสโมสรอยู่
สุดท้ายตอนเกมใกล้จบ 90 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด ตามหลัง แมนฯ ซิตี้ 1-0 แฟนบอลกรูลงมาในสนามเพื่อแสดงความโมโหที่ทีมจะตกชั้น จนกรรมการต้องยุติการแข่ง แต่สมาคมฟุตบอลอังกฤษไม่เปลี่ยนผลการแข่งขัน ยึดสกอร์ไว้ ให้แมนฯ ยูไนเต็ดแพ้ 1-0
ส่วนอีกสนาม เบอร์มิงแฮม ชนะนอริช 2-1 เท่ากับว่า บทสรุปคือ แมนฯ ยูไนเต็ดตกชั้นอย่างเป็นทางการ
เอาล่ะ มาสู่คำถามของเราว่า เดนิส ลอว์ เป็นคนยิงลากแมนฯ ยูไนเต็ดตกชั้นใช่ไหม คำตอบคือ "ไม่เชิง" กล่าวคืออีกสนามเบอร์มิงแฮมก็นำอยู่สบายๆ 2-1 และเกมก็ใกล้จะจบแล้ว นอริชเองอย่าว่าแต่พลิกชนะเลย ตีเสมอยังยาก
ทางทฤษฎีอาจเป็นไปได้ คือพอลอว์ยิงนำ 1-0 ปั๊บ อีก 9 นาทีที่เหลือ แมนฯยูไนเต็ดยิงแซง 2 ลูกรวดพลิกชนะ 2-1 แล้วอีกสนาม นอริชสวมใจสิงห์ยิง 2 ลูกรวดแซงชนะเบอร์มิงแฮม 3-2 ตามด้วยเกมสุดท้ายแมนฯ ยูไนเต็ดบุกไปชนะสโต๊คได้
ถ้าเข้าเงื่อนไขนี้หมด แมนฯ ยูไนเต็ดจะรอดตกชั้น แต่นั้นมันทางทฤษฎี
1
ในทางปฏิบัติ ต่อให้ลอว์จะยิงหรือไม่ยิง ก็ไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต่างกันหรอก ยังไงแมนฯ ยูไนเต็ดก็ตกชั้นอยู่ดี
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Myth หรือความเชื่อที่คนเข้าใจกันว่า ลอว์เป็นคนยิงประตูเขี่ยแมนฯ ยูไนเต็ดตกชั้น แต่ในความจริงแล้ว ถ้าดูจากไทม์ไลน์ จะเข้าใจว่า ลอว์จะยิงหรือไม่ แมนฯ ยูไนเต็ดก็ไม่รอดหรอก ดังนั้นสรุปคือ ไม่มีเหตุผลอะไรเลย ที่จะไปโกรธแค้นตัวเดนิส ลอว์
[ รูปปั้นที่คู่ควร ]
เกมสุดท้ายอย่างเป็นทางการในระดับสโมสร ของเดนิส ลอว์ คือการเจอแมนฯ ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดเกมนั้นนั่นแหละ ดังนั้นสำหรับเขามันจึงเป็นความรู้สึกหวานอมขมกลืนเหมือนกัน
ลอว์เล่าว่า "ผมฝันมาตลอดว่าอยากจะลงเล่นเกมลีกนัดสุดท้ายที่โอลด์แทรฟฟอร์ด ซึ่งสุดท้ายผมก็ได้รับในสิ่งที่ฝันไว้จริง เพียงแต่ผมกลายเป็นผู้เล่นของอีกฝั่งเท่านั้น"
3
"ตอนที่ผมยิงประตูได้ ด้วยความสัตย์จริงเลยนะ ผมคิดแว้บขึ้นมาว่า อยากให้แมนฯ ยูไนเต็ด ยิงได้อีก 2 ลูกพลิกแซงชนะไปเลย จะได้มีโอกาสอยู่รอด แต่หลังจากนั้นผมก็มาเข้าใจว่า มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก เพราะคู่แข่งที่กำลังลุ้นหนีตายอย่างเบอร์มิงแฮม เก็บชัยชนะได้"
หลังจบฤดูกาล ลอว์ได้ไปเล่นฟุตบอลโลกเป็นครั้งแรกในชีวิตกับทีมชาติสกอตแลนด์ และหลังจากจบทัวร์นาเมนต์ เขาก็ประกาศแขวนสตั๊ด ปิดฉากการค้าแข้งอย่างยิ่งใหญ่
จนถึงวันนี้ เดนิส ลอว์ ก็ยังเป็นที่รักของแฟนๆ ปีศาจแดง และไม่เคยถูกโกรธ แม้จะย้ายไปอยู่ทีมคู่ปรับร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ก็ตาม
เอาจริงๆ การย้ายทีมเกิดขึ้นได้ และแม้จะย้ายไปทีมคู่ปรับ แต่ถ้ามีเหตุและผลอันสมควรจริงๆ แฟนบอลก็ไม่ได้ใจร้ายพอที่จะเกลียดไปทั้งหมดหรอก
สำหรับเดนิส ลอว์ อาจจะถูกจดจำน้อยกว่า บ๊อบบี้ ชาร์ลตัน และ จอร์จ เบสต์เล็กน้อย แต่ความยิ่งใหญ่ของเขา ไม่แพ้ทั้งคู่แน่นอน
ฉายาในภาษาอังกฤษของลอว์ คือ The King เป็นราชาคนแรกของแมนฯ ยูไนเต็ด ก่อนจะมีราชาคนที่สองคือเอริค คันโตน่า
ส่วนที่ไทย ฉายาของเขาถูกขนานนามเอาไว้อย่างสวยงามว่า "เดนิส ลอว์ : ราชาสตั๊ดเหินหาว"
#THEGREATESTLAW
โฆษณา