29 ต.ค. 2021 เวลา 11:03 • ประวัติศาสตร์
“เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ (Seven Wonders of the Ancient World)”
“เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ (Seven Wonders of the Ancient World)” เป็นอีกหนึ่งประวัติศาสตร์ชิ้นสำคัญ
ผมเองเคยเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมทั้งเจ็ดนี้เป็นซีรีส์ แต่สำหรับบทความนี้ ผมจะสรุปเรื่องราวของสถาปัตยกรรมทั้งเจ็ดนี้ให้จบในบทความเดียว
สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดนี้เป็นสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง และบ่งบอกถึงอัจฉริยภาพของมนุษย์ รวมทั้งเรื่องราวความเป็นมาต่างๆ ในอดีต
สำหรับสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดนี้ ปรากฎหลักฐานที่บันทึกไว้ครั้งแรกเมื่อ 225 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีการเรียกอ้างอิงถึงสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งมหัศจรรย์เหล่านี้ก็ได้มลายหายไปตามกาลเวลา และมีความเป็นไปได้ว่าหนึ่งในเจ็ดนั้นอาจจะไม่มีอยู่จริง
แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องราวของ “เจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณ (Seven Wonders of the Ancient World)” ก็ยังเป็นที่เล่าขานจนถึงทุกวันนี้
1
เรามาไล่ไปทีละอย่างกันดีกว่าครับ
1.พีระมิดคูฟู (The Great Pyramid of Giza)
พีระมิดคูฟู (The Great Pyramid of Giza)
“พีระมิดคูฟู (The Great Pyramid of Giza)” ตั้งอยู่ที่เมืองกิซา ประเทศอียิปต์ และเป็นเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์เพียงแห่งเดียวที่ยังหลงเหลือมาถึงปัจจุบัน
1
พีระมิดนี้เป็นส่วนหนึ่งของพีระมิดจำนวนสามแห่งที่ถูกสร้างขึ้นระหว่าง 2,700 ปีก่อนคริสตกาล-2,500 ปีก่อนคริสตกาล โดยถูกใช้เป็นสุสานหลวง
1
พีระมิดคูฟูเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาพีระมิดทั้งสาม กินเนื้อที่เกือบ 33 ไร่ และเชื่อว่าถูกสร้างขึ้นด้วยหินกว่าสองล้านก้อน โดยแต่ละก้อนนั้นหนักระหว่าง 2-30 ตันเลยทีเดียว
เป็นเวลากว่า 4,000 ปีที่พีระมิดคูฟูได้ชื่อว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในโลก โดยมีความสูงประมาณ 140 เมตร และอันที่จริง กว่ามนุษย์จะสร้างสิ่งปลูกสร้างที่สูงกว่าได้ ก็ปาเข้าไปถึงศตวรรษที่ 19
และที่น่าทึ่งยิ่งกว่าก็คือ พีระมิดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยปราศจากเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยเหมือนในปัจจุบัน แต่เป็นฝีมือของมนุษย์เมื่อ 4,000 กว่าปีที่แล้ว ดังนั้นจึงมีคำถามสำคัญตามมา
ชาวอียิปต์โบราณสร้างพีระมิดนี้ได้อย่างไร?
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าชาวอียิปต์โบราณใช้เลื่อนในการเคลื่อนย้ายหินแต่ละก้อนมายังจุดที่ก่อสร้าง และมีการสร้างห้องลับต่างๆ มากมายเพื่อป้องกันโจรขโมย
และถึงแม้ในปัจจุบัน นักโบราณคดีจะพบสมบัติในเศษซากของพีระมิด แต่ก็เชื่อว่าสมบัติจำนวนมากก็ได้ถูกขโมยไปนานมากแล้ว
1
2.สวนลอยบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon)
สวนลอยบาบิโลน (Hanging Gardens of Babylon)
จากบทกวีของกรีกโบราณ พบว่าสวนลอยบาบิโลนได้ถูกสร้างขึ้นใกล้กับแม่น้ำยูเฟรทีส ในดินแดนที่ปัจจุบันคือประเทศอิรัก โดยผู้สร้างสวนลอยแห่งนี้ คือกษัตริย์แห่งบาบิโลนที่มีพระนามว่า “พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (Nebuchadnezzar II)” เมื่อราว 600 ปีก่อนคริสตกาล
เล่ากันว่าสวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นสูงจากพื้นดินกว่า 22 เมตร โดยมีลักษณะเป็นชั้นๆ ราวกับที่นั่งในโรงละคร
สำหรับสาเหตุที่พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 ทรงมีรับสั่งให้สร้างสวนลอยแห่งนี้ ก็เพื่อจะเอาใจพระมเหสีของพระองค์ ซึ่งกำลังคิดถึงดินแดนเกิด
2
พระเจ้าเนบูคัดเนสซาร์ที่ 2 (Nebuchadnezzar II)
นักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้ถกเถียงถึงเรื่องราวของสวนลอยแห่งนี้ โดยมีการวิเคราะห์ว่าการที่จะทำให้ต้นไม้ต่างๆ ในสวนลอยแห่งนี้ดำรงอยู่ได้ จะต้องมีระบบสูบน้ำที่ดีเยี่ยม อีกทั้งยังต้องมีกังหันน้ำและบ่อเก็บน้ำที่ใช้ขนน้ำจากแม่น้ำขึ้นมาด้านบนเหนือพื้นดิน
ถึงแม้จะมีการกล่าวถึงสวนลอยนี้ในวรรณกรรมกรีกและโรมัน หากแต่ก็ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดถึงการดำรงอยู่ของสวนลอยแห่งนี้ อีกทั้งหลักฐานทางโบราณคดีที่พบ ก็ไม่มีอะไรที่ใกล้เคียงที่แสดงถึงสวนลอยแห่งนี้เลย
2
เมื่อเป็นอย่างนี้ นักประวัติศาสตร์ในปัจจุบันส่วนมากจึงเชื่อว่าสวนลอยแห่งนี้ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น
3.เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย (Statue of Zeus at Olympia)
เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย (Statue of Zeus at Olympia)
“เทวรูปซูสที่โอลิมเปีย (Statue of Zeus at Olympia)” เป็นเทวรูปเทพเจ้าซูส (Zeus) ซึ่งเป็นเทพเจ้าในเทวตำนานของกรีก สร้างขึ้นโดยช่างแกะสลักชาวเอเธนส์ที่ชื่อ “ฟิเดียส (Phidias)”
เมื่อสร้างเสร็จเรียบร้อย เทวรูปนี้ก็ได้ตั้งไว้ในวิหารแห่งซูสที่โอลิมเปีย เมื่อราว 500 ปีก่อนคริสตกาล
เทวรูปนั้นมีขนาดใหญ่ แสดงให้เห็นเทพเจ้าซูสนั่งบนบัลลังก์ ตกแต่งด้วยทองคำและงาช้าง
ฟิเดียส (Phidias)
เทวรูปนี้มีความสูง 12 เมตร โดยตามตำนานนั้น ฟิเดียสซึ่งเป็นผู้สร้างเทวรูป ได้อธิษฐาน ขออนุญาตเทพเจ้าซูสในการก่อสร้างเทวรูป และภายหลังจากสร้างเสร็จ ก็ได้เกิดฟ้าผ่าลงมายังวิหาร
เทวรูปนี้ตั้งอยู่เป็นเวลานานกว่าแปดศตวรรษ ก่อนจะถูกย้ายไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิลในเวลาต่อมา และเชื่อกันว่าเทวรูปนี้ได้ถูกทำลายไปในกองเพลิงเมื่อปีค.ศ.462 (พ.ศ.1005)
4.วิหารอาร์ทิมิส (The Temple of Artemis)
วิหารอาร์ทิมิส (The Temple of Artemis)
สำหรับวิหารแห่งนี้ อันที่จริง วิหารอาร์ทิมิสมีมากกว่าหนึ่งแห่ง โดยเป็นกลุ่มวิหารและเทวาคารหลายแห่ง หากแต่ถูกทำลาย ก่อนจะได้รับการบูรณะในบริเวณเมืองเอฟิซัส ซึ่งเป็นเมืองท่าของกรีกโบราณ ตั้งอยู่ทางชายฝั่งทะเลตะวันตกของตุรกีในปัจจุบัน
1
สิ่งที่น่าทึ่งของวิหารอาร์ทิมิส คือวิหารนั้นทำจากหินอ่อนจำนวนสองแห่ง ถูกสร้างขึ้นเมื่อราว 550 ปีก่อนคริสตกาล และ 350 ปีก่อนคริสตกาล
1
วิหารนี้มีระเบียงที่ยาวกว่า 120 เมตร ภายในมีเสาที่ทำจากหินอ่อน สูงกว่า 18 เมตร รวมทั้งเทวรูปเทพีอาร์ทิมิส
วิหารนี้ได้ถูกทำลายเมื่อค.ศ.262 (พ.ศ.805) และมีการขุดค้นพบเศษซากวิหารเมื่อกลางศตวรรษที่ 19
5.สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส (Mausoleum at Halicarnassus)
สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส (Mausoleum at Halicarnassus)
“สุสานแห่งฮาลิคาร์นัสเซิส (Mausoleum at Halicarnassus)” ตั้งอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันคือตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี โดยสุสานแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อ “พระเจ้ามาโซลูส (Mausolus)” กษัตริย์แห่งคาร์เนีย ดินแดนในเอเชียน้อย โดยสร้างขึ้นถวายพระองค์ ภายหลังจากที่พระองค์สวรรคตเมื่อ 353 ปีก่อนคริสตกาล
1
สุสานแห่งนี้ทำมาจากหินอ่อนขาวทั้งหลัง และน่าจะมีความสูงถึง 40 เมตร และมีสถาปัตยกรรมภายในที่ซับซ้อนอลังการ
4
พระเจ้ามาโซลูส (Mausolus)
สุสานแห่งนี้ถูกทำลายไปเนื่องจากแผ่นดินไหวเมื่อศตวรรษที่ 13 และเศษซากของสุสานก็ได้ถูกนำไปใช้ก่อสร้างเป็นปราสาท
ปัจจุบัน เศษชิ้นส่วนของสุสานบางส่วนได้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ที่ประเทศอังกฤษ
6.มหารูปแห่งโรดส์ (Colossus of Rhodes Memorial)
มหารูปแห่งโรดส์ (Colossus of Rhodes Memorial)
“มหารูปแห่งโรดส์ (Colossus of Rhodes Memorial)” คือรูปสลักขนาดมหึมา เป็นรูป “เฮลิออส (Helios)” เทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์
ผู้ที่สร้างมหารูปนี้คือชาวโรดส์ ซึ่งสร้างขึ้นเมื่อราว 300 ปีก่อนคริสตกาล โดยมหารูปนี้มีความสูงกว่า 30 เมตร ซึ่งนับว่าสูงมากในยุคโบราณ และสร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อราว 280 ปีก่อนคริสตกาล
มหารูปนี้อยู่ยงมาเป็นเวลานานกว่า 60 ปี ก่อนจะถูกทำลายลงเมื่อเกิดแผ่นดินไหว
1
อีกกว่า 100 ปีหลังการสิ้นสลายของมหารูปแห่งโรดส์ อาหรับก็ได้เข้ารุกรานเมืองโรดส์ และได้นำเศษซากของมหารูปนี้ออกขาย ทำให้นักโบราณคดีในยุคหลังไม่ทราบแน่ชัดว่าจุดที่มหารูปนี้เคยตั้งอยู่นั้นอยู่ที่ใด รวมทั้งลักษณะที่แท้จริงของมหารูปนี้
เชื่อกันว่ามหารูปนี้ มือข้างหนึ่งถือคบเพลิง ส่วนมืออีกข้างถือหอก โดยก่อนนี้ เชื่อว่ามหารูปนี้ เท้าทั้งสองข้างยืนอยู่คนละฝั่งของท่าเรือ แต่ในภายหลังก็เชื่อว่าน่าจะยืนอยู่บนฝั่งเดียวกัน เท้าทั้งสองข้างยืนใกล้กันมากกว่า
7.ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย (Lighthouse of Alexandria)
ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย (Lighthouse of Alexandria)
“ประภาคารฟาโรสแห่งอเล็กซานเดรีย (Lighthouse of Alexandria)” ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ ที่ชื่อว่า “เกาะฟาโรส (Pharos)” ใกล้กับเมืองอเล็กซานเดรีย
ผู้ที่ออกแบบประภาคารนี้คือสถาปนิกชาวกรีก และเสร็จสมบูรณ์เมื่อราว 270 ปีก่อนคริสตกาล ในรัชสมัยของ “ฟาโรห์ปโตเลมีที่ 2 ฟิลาเดลฟัส (Ptolemy II Philadelphus)”
ประภาคารนี้เป็นสิ่งที่ช่วยให้เรือที่ล่องอยู่ในแม่น้ำไนล์ เข้าและออกท่าเรือในเมืองได้อย่างปลอดภัย
นักโบราณคดีได้ค้นพบเหรียญในสมัยโบราณ ที่มีการแกะสลักรูปของประภาคารนี้ไว้ และทำให้ทราบว่าประภาคารนี้มีทั้งหมดสามชั้นใหญ่ๆ หรือสามระดับ โดยชั้นบนสุด เป็นรูปปั้นสูงเกือบห้าเมตร คาดว่าน่าจะเป็นรูปปั้นของฟาโรห์ปโตเลมีที่ 2 หรืออาจจะเป็นพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราช (Alexander the Great)
คาดว่าประภาคารมีความสูงระหว่าง 60-180 เมตร หากแต่นักประวัติศาสตร์สมัยใหม่เชื่อว่าน่าจะสูงประมาณ 115 เมตร
2
ประภาคารนี้ถูกทำลายลงเมื่อคราวแผ่นดินไหวหลายครั้ง ตั้งแต่ค.ศ.956 (พ.ศ.1499) ถึงค.ศ.1323 (พ.ศ.1866) โดยมีการค้นพบเศษซากของประภาคารที่ก้นแม่น้ำไนล์
2
ทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวของสิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดแห่งโลกยุคโบราณ และเป็นที่สนใจของนักประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน
โฆษณา