29 ต.ค. 2021 เวลา 10:52 • สิ่งแวดล้อม
รู้จักมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน CBAM กับผลกระทบต่อการส่งออกไทย
ปัจจุบันโลกของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งมีสาเหตุสำคัญมาจากก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse gas) ทำให้รัฐบาลประเทศต่างๆ ต้องหันมาให้ความสำคัญกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประเภทต่างๆ โดยเฉพาะก๊าซคาร์บอน แม้ว่าในปัจจุบันอัตราการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนของประเทศต่างๆ จะยังต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้ แต่ความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนก็มีอย่างต่อเนื่อง โดยแกนนำหลักของเรื่องนี้ก็คือกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU)
โดยเมื่อเดือนธันวาคม 2019 กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (EU) ได้ได้ออกแผนการปฏิรูปสีเขียว (European Green Deal) โดยตั้งเป้าให้ EU ลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 60% ภายในปี 2030 และให้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Climate Neutral) ภายในปี 2050 ซึ่ง 1 ในมาตรการสำคัญของ Climate Neutral ก็คือ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน นั่นเอง
สำหรับมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน หรือ Carbon border Adjustment Mechanism (CBAM) เป็นการขยายระบบ “ตลาดการค้าคาร์บอนภายในของสหภาพยุโรป” หรือ EU Emission Trading System (EU ETS) ให้ครอบคลุมสินค้านำเข้าบางประเภทที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย และไฟฟ้า โดยมีหลักการคือ ผู้นำเข้าสินค้าจากนอกสหภาพยุโรปจะต้องซื้อ “ใบรับรองการปล่อยก๊าซคาร์บอน” หรือ “CBAM certificates”เพื่อเป็นการจ่ายค่าธรรมเนียม หรือ “ค่าปรับ” ในการปล่อยก๊าซฯ โดยราคาของใบรับรองฯ จะคำนวณจากราคาประมูลเฉลี่ยรายสัปดาห์ของ EU ETS allowances ที่คณะกรรมาธิการยุโรปจะเป็นผู้กำหนด
หรือพูดง่ายๆ CBAM ก็คือมาตรการทางภาษีที่สหภาพยุโรปจะเก็บกับประเทศที่ส่งสินค้าที่มีอัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเข้าไปขายในสหภาพยุโรปนั่นเอง โดยมาตรการดังกล่าวจะเริ่มมีการบังคับใช้แบบเปลี่ยนผ่าน (transitional period) ตั้งแต่ปี 2023-2025 ก่อนที่จะบังคับใช้เต็มรูปแบบในปี 2026
จากการวิจัยของ UNCTAD ประเทศไทยนั้นไม่ถือว่าอยู่ในกลุ่ม 20 ประเทศที่เสี่ยงได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM ของสหภาพยุโรป เนื่องจากสินค้าส่งออกที่เข้าข้อกำหนดของ CBAM จากประเทศไทยนั้นมีสัดส่วนที่น้อยกว่า แต่การส่งออกของไทยก็ยังคงได้รับผลกระทบจากข้อกำหนดของ CBAM
อยู่ดีไม่ว่าจะเป็น การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศของ EU จะมีปริมาณลดลง เนื่องจากสินค้าที่นำเข้าจากประเทศที่มีมาตรฐานด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่ำกว่า EU จะมีราคาสูงขึ้นจากภาษีต่างๆ ประชากรใน EU จะหันมาบริโภคสินค้าภายในมากขึ้น และสินค้าที่ผลิตจากประเทศที่มีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมต่ำกว่า EU จะถูกกีดกันทางการค้ามากขึ้น
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่อุตสาหกรรมและผู้ส่งออกของไทยต้องให้ความสำคัญกับมาตรการควบคุม และลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงด้วย เพื่อให้ประเทศไทยมีมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับเดียวกับ EU เพื่อลดผลกระทบที่จะเกิดขึ้น
สำหรับผู้ส่งออกของไทยจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับมาตรการ และกลไกของระบบ CBAM ดังนี้
1.ผู้นำเข้าหรือผู้ประกอบการ (ผู้ส่งออกไทย) ต้องตั้งผู้ดูแล Authorization ที่ได้รับอนุญาตในการนำเข้าสินค้าที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของ CBAM มายังเขตศุลกากรของสหภาพยุโรป
1
2.ผู้นำเข้าหรือผู้ประกอบการส่งออกสินค้ามีหน้าที่ยื่น CBAM Declaration เพื่อรายงานว่าสินค้ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไหร่ หรือที่เรียกว่า Embedded Emissions ซึ่งค่า Embedded Emissions จะถูกนำมาคิดค่าคาร์บอน (ปัจจุบันในไทยยังไม่ได้รายงานในระบบ Embedded Emissions แต่เป็นระบบ Carbon footprint)
3.ผู้นำเข้าสินค้าจะถามหา CBAM Certificate ซึ่งเป็นหลักฐานการชำระค่าคาร์บอนแล้วตามมาตรฐาน EU จากประเทศต้นทางของสินค้า ถ้าไม่มี CBAM Certificate ก็จะถูกเก็บค่าคาร์บอนจากประเทศที่ส่งสินค้า และต้องเสียค่าปรับ
4.ผู้นำเข้าจะต้องรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่มีระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน 3 ปีแรก โดยยังไม่ต้องซื้อและส่งมอบ CBAM Certificate ซึ่งจะบังคับใช้ CBAM จริงในวันที่ 1 ม.ค. 2026 ดังนั้นระหว่างนี้ผู้ประกอบการควรต้องประเมินว่าต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเท่าไหร่จากมาตรการ CBAM
ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2026 ผู้นำเข้าต้องซื้อและส่งมอบ CBAM Certificate ตามปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเภทสินค้า โดยอาจมีการขยายรายการสินค้า
โฟกัสทุกความเคลื่อนไหว ที่น่าสนใจและอัดแน่นไปด้วยสาระ 
ที่ TopNewsFocus เลือกสรรมาให้คุณเติมอาหารสมองกันได้ทุกวัน
ติดตาม Topnewsfocus ได้ทุกช่องทางที่
โฆษณา