30 ต.ค. 2021 เวลา 03:00 • ประวัติศาสตร์
ท้ายเล่ม
บันทึกจากลูก
"ชะตา ฟ้าลิขิต"
ต้นปีพ.ศ. 2560
ข้าพเจ้าและพี่น้องทุกคนได้มีวิชาโหราศาสตร์ติดตัวจากแม่และเพื่อนแม่อาจารย์ นภา ผู้เป็นนักพยากรณ์ศาสตร์ทางด้านเลข 7 ตัวที่มีชื่อเสียง (ท่านอาจารย์ลักษณ์ราชสีห์ยังต้องเอ่ยถึงด้วยความนับถือ)สนใจและ สามารถต่างกันไปโดยพี่หนุ่ยจะมีความสามารถที่สุดเราใช้วิชานี้เอาไว้เป็นแผนที่ชีวิตของตนเองข้าพเจ้า น่าสนใจในวิชานี้ก็อายุปาเข้าไป 41ปีแล้วเนื่องจาก
1. สนใจจะทำงาน 2. มีแม่คอยดูแลให้ 3. ไม่ใส่ใจเท่าไหร่
จนกระทั่งชีวิตที่สุขสบายผกผันให้มีอันต้องพังพินาศไปในปีที่เศรษฐกิจของประเทศพัง 2540 เราแค่เข้าใจว่าขยัน อดทน สู้ไม่ถอยแต่จริงๆไม่เพียงแค่นั้นคำว่า"ชะตา ฟ้าลิขิต"คือเรื่องจริงนอกจากข้าพเจ้ามีวิชาทางโหราศาสตร์แล้วยังเป็นคนชอบศึกษาอะไรที่เป็นแบบนอกห้องเรียนนั่นคือหมอไหนเก่งๆก็จะไปลองวิชาแล้วเอามาวิเคราะห์กับทางของเราว่าเป็นไปในทิศทางแบบไหนเรียกว่าสะสมวิชาไปเรื่อยๆ
มีซินแสอยู่คน ชื่อ "เฉิน"เป็นศาสตร์แบบจีนพี่สาวเป็นคนบอกให้ไปลองดูเขาเก่งข้าพเจ้าก็ไปจัดดูช่วงนั้นน่าจะเป็นปี 2544 เขาบันทึกเทปแล้วเราก็มาถอดเทปเป็นตัวหนังสือเช็คแล้วไม่น่าเชื่อ 90% เป็นอย่างที่ว่าที่เราเชื่อเพราะเราพิสูจน์อยู่ตลอดในปี 2559 ช่วงก่อนเดือนสิงหาคมปีนั้นเป็นปีที่ข้าพเจ้ามีปัญหาในชีวิตส่วนตัวมากอยู่ทีเดียว หมอเฉินบอกว่า"ตัวคุณไม่ห่วงเท่าไหร่ เตือนว่าข้าพเจ้าจะมีดวงชงผู้ใหญ่ ต้องให้พ้นเดือนมิถุนายน 60 ไปก่อนนะ ข้าพเจ้าพอได้ฟังก็ลืมเรื่องของตัวเองเสียสิ้นกับนึกถึงแม่ที่ปีนี้อายุ 86 ปีแล้วแต่เราไม่เคยคิดเรื่องจากกันเราแค่เป็นห่วงเรื่องสุขภาพของแม่ผ่านพ้นไปอีกปี
ปีใหม่พ. ศ. 2560 ครอบครัวเรามีความสุขดีเดิมเราอยู่กัน 8คน พี่หนุ่ย พี่ป้อม คุณสุวัฒน์ ข้าพเจ้า บุตร ทั้งสองคน มิ้นท์ นัฎ (โอ๋หลานชายแต่เขาออกไปอยู่คอนโดที่พัทยาเพราะไปทำงานที่นั้น พี่ชายน้องชาย2คนอยู่อีกหลัง จะมาพบกันเวลามีงานบุญ หรือ ปีใหม่ และแม่ก็ไปหาที่บ้านบ้าง) และ แม่ผู้เป็นศูนย์รวมใจ
ข้าพเจ้าก็ไม่ลืมคำเตือนของหมอ "เฉิน"ว่าข้าพเจ้านั้นชงญาติผู้ใหญ่ ในบ้านและด้วยวิชาที่ข้าพเจ้ามีอยู่ก็จะรู้ชะตาตัวเองว่า
1.ทุกวันที่7มิ.ย.ถึงวันที่7ก.ค.จะเป็นช่วงที่เสียหาย
2.ทุกๆเดือนต.ค.จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงเข้ามาในชีวิตเสมอ
ดังนั้นในช่วงเวลาดังกล่าวข้าพเจ้าก็จะระวังตัวเป็นพิเศษแล้วก็จนได้
22 มีนาคม 60
ตื่นเช้ามาก็จับเจ้า "โมชิ"มาอาบน้ำแปรงขนเขาให้สบายตัวกำลังจะเอาไดร์เป่าผมให้เดินก้าวลงบรรได โอ๊ย!ล้มแบบลื่นข้อเท้าพับอย่างรวดเร็วรู้ตัวพอจะยืนขึ้นข้อเท้ามันห้อยร่องแร่งเหมือนไอ้ห้อย ไอ้โหน ลองหมุนกลับมาแล้วลองยืนโอ๊ย!ไม่ได้แล้วหักแน่แล้วร้องเรียกลูกชาย "น้องนัฎแม่ขาหัก"ลูกวิ่งออกมาจากห้องนอนข้าพเจ้าบอก "พยุงแม่เข้าห้องน้ำก่อนแม่จะรีบอาบน้ำแล้วแต่งตัวลูกเอารถออกนะพาแม่ไปโรงพยาบาล"
ใครที่อ่านอาจจะงงๆ ขาหัก แล้วยังจะไปอาบน้ำ คิดอะไร !
ขอบอกว่าพอเกิดเหตุ ในหัวก็มองภาพออกว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง
นอนร.พ.จะไม่ได้อาบน้ำไปอย่างน้อย3วันแน่ๆ ใช้เวลาไม่ถึง1นาทีอาบน้ำถูสบู่ แปรงฟันล้างหน้า แล้วค่อยๆ กระดืมตัวออกมาใส่เสื้อผ้า บอกลูกให้หยิบเอาผ้ายืดที่ใช้สำหรับพันมาพัน ตอนนี้เริ่มปวดแล้ว
เขย่งไม่ไหวต้องให้ ลุงป้อมมาช่วยอุ้มขึ้นรถ ถึงร.พ.เกษมราษฏ เข้าห้องฉุกเฉิน แจ้งยื่นบัตรใช้สิทธิ์ประกันสังคม นอนรออยู่20นาที หมอเวรลงมาจากผ่าตัดมาดู แล้วพูดว่า "วันนี้หมอเจอไป8เคสแล้ว คนไข้สะดวกกลับบ้านก่อนแล้วมาใหม่วันจันทร์ไหม"วันนั้นเป็นวันเสาร์จำได้ดี
ข้าพเจ้าตอบไปว่า:เออไม่สะดวกคะหมอ (นึกเคืองในใจขาหักขนาดนี้ให้รออีก2วันได้ด้วยเหรอ)แต่ก็เข้าใจว่าเสาร์ อาทิตย์ หมอจะน้อย
และหมอคงเหนื่อยเพราะเจอไป8เคส คงล้า และเป็นคนไข้แบบประกันสังคมด้วย )
เดี๋ยวติดต่อขอห้องนอนที่ร.พ.เลยละกัน
หมอ:คนไข้สะดวกใช่ไหมครับ
ข้าพเจ้า :อย่างนี้สะดวกกว่าคะ
จากนั้นก็ทำเรื่องจองห้อง
ระหว่างนั้นลูกชายก็เดินมาบอกว่า"แม่ครับเดี๋ยวพี่หมอหมีมาผ่าให้นะ" พี่หมีเป็นเพื่อนที่โบสถ์ของนัฏคระบ: ได้เหรอลูกเสียมารยาทหรือเปล่าต้องบอกหมอเวรเขาก่อนไหม:ไม่เป็นไรครับพี่หมีคุยแล้วพอดีเป็นรุ่นน้องที่สนิทกัน
วันนี้เป็นวันหยุดพี่หมี พี่หมีว่างจะวิ่งมาผ่าให้
นึกในใจโชคดีอะไรเช่นนี้ได้เครดิตลูกชายแท้ๆจากนั้นพยาบาลมาแจ้งว่าได้ห้องแล้วให้ขึ้นไปรอที่ห้องเดี๋ยวหมอมาก็เข็นเข้าห้องผ่าตัดพอคุณหมอหมีมาเข้าไปในห้องผ่าตัดใช้เวลาผ่าตัดแค่ 15 นาที(มีเรื่องเล่าในห้องผ่าตัด
หมอจะให้บล็อคหลัง แต่ข้าพเจ้าบอกว่า ขอเป็นวางยานะคะ เพราะเป็นคนความรู้สึกไวมาก เคยมีเคสเข้าผ่าตัดหมอบล็อคแล้วดิ้น จนหมอ ทำเคสไม่ได้ต้องไปวางยาซ้ำอีกรอบ หมอดมยาจึงต้องทำให้ ความจริงคือกลัวได้ยินเสียง)
เมื่อฟื้นตัวแล้วต้องนอนจนครบ7วัน วางแผนว่าออกมาแล้วจะมานอนที่บ้านลูกที่" อีโค่"เพราะนึกถึงเรื่องชง
สาเหตุที่แยกมานอนบ้านลูกที่เกษตร นวมินท์ เพราะในทางโบราณเขาเชื่อกันว่าไม่ควรให้คนป่วย 2 คนอยู่ในบ้านเดียวกันมันจะทำให้เสีย ฮวงจุ้ย
เพราะที่บ้านบางนาคุณสุวัฒน์นอนป่วยอยู่ 1 คนแล้วประกอบกับตัวของข้าพเจ้าดวงชงกับผู้ใหญ่ในบ้านนั่นก็อาจจะหมายถึงแม่ดังนั้นข้าพเจ้าเลยคิดว่าตัวเองเจ็บปางตายขาหักคราวนี้ถือว่าหนักพอสมควร น่าจะปลอดภัยสำหรับแม่แล้วนึกดีใจอยู่เหมือนกันที่ขาหักจะได้ไม่ต้องไปตกถึงแม่ แต่เพื่อความไม่ประมาทอย่างไรก็ตาม ก็ต้องให้เลยเดือนมิถุนายนไปก่อน มาพักฟื้นที่บ้านลูกละกัน
ในชีวิตไม่เคยคิดว่าคนขาหักจะลำบากแบบนี้เลยต้องนอนใส่เฝือกอยู่ถึง 6 เดือนหลังจากถอดเฝือก ต้องมาหัดเดินใหม่เพราะพอเท้าเหยียบพื้นมันจะยังเจ็บและลอยๆเหมือนลงน้ำหนักไม่ได้
นอกจากเข้าใจ แล้วการใช้ชีวิตก็จะต้องช้าลงด้วยที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุเพราะความรวดเร็วเกินไปของเรา คิดว่าจะหมดเคราะห์ไปแล้วยัง ยังมีต่อ
โฆษณา