Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Logistics เส้นทางเดินทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
•
ติดตาม
30 ต.ค. 2021 เวลา 00:02 • ประวัติศาสตร์
มหาราชชาตินักรบ
มหาราช "ดำ"
พระรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช : พิธีอัญเชิญจากอยุธยา มายังพิษณุโลก และเชียงใหม่ ประดิษฐาน ณ ข่วงอนุสรณ์สถานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ อำเภอเวียงแหง ภาพ ; ปัญญา ล่องแก้ว
LOGISTICS
เส้นทางเดินทัพสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ไทย-พม่า-จีน
* ชัยยง ไชยศรี
ศึกษาธิการอำเภอเวียงแหง
(2545-2547)
1
Logistics เส้นทางเดินทัพพระองค์ดำ เชียงใหม่-เมืองนาย(พม่า) ภาพ ; ชัยยง ไชยศรี 2557
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งดินแดนอุษาอาคเนย์
ในรัชสมัยของพระองค์ทรงแผ่แสนยานุภาพจนพระราชอาณาจักรกว้างใหญ่ไพศาลยิ่งนัก กษัตริย์น้อยใหญ่ นานาประเทศ อ่อนน้อมยอมสวามิภักดิ์
พระเกียรติยศขจรขจายไปไกลทั่วหล้าใต้ฟ้าแดนดิน
เจ้าฟ้า พระมหากษัตริย์ เสด็จมาเข้าเฝ้าชื่นชมพระบารมี
ทรงเด็ดเดี่ยวกล้าหาญยิ่งนัก อาสาราชสำนักจักรพรรดิ์จีน ส่งกองเรือรบนำผู้กล้าจากดินแดนเจ้าพระยา ข้ามน้ำ ข้ามทะเล ระยะทางไกลหลายหมื่นลี้ เข้าโจมตีกระหนาบญี่ปุ่น เพื่อกดดันให้ญี่ปุ่นถอนกำลังทหารที่ส่งไปรุกรานเกาหลี และเกาหลีร้องขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดิจีน จนราชสำนักจักรพรรดิจีนบันทึกไว้เป็นพระเกียรติยศอันสูงสุดของ
"มหาราชชาตินักรบ "
แห่งสุวรรณภูมิทวีป
แสดงถึงจิตใจที่ห้าวหาญ แข็งกล้า แกร่ง เกินตัว
ไม่เกรงกลัวแม้แต่
"ปีศาจนินจา"และ"ซามูไร"
พลังเดชานุภาพ ก่อเกิดสันติภาพ บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นแน่นหนา ยิ่งกว่ารัชกาลใดๆ
กาลต่อมา พม่า ผลัดแผ่นดิน แย่งชิงกันเป็นใหญ่ โดยพระเจ้าอังวะ ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าบุเรงนอง อันประสูติแต่พระสนม ทรงมีกองทัพที่เข้มแข็ง และหยั่งเชิงดูท่าทีกระทำการเลียนแบบพระราชบิดา โดยส่งกองทัพเข้ารุกราน " เมืองนาย"
"เมืองนาย" เมืองลูกหลวงของเชียงใหม่ ในสมัยราชวงศ์มังราย ตั้งอยู่รัฐฉานใต้ พม่า และอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเชียงใหม่ เป็นระยะทางประมาณ 350 กิโลเมตร
https://youtu.be/D1Yokx_RZJs
ซึ่งเป็น"เมืองลูกหลวง"และเมืองหน้าด่าน ของเชียงใหม่ ประกอบกับเชียงใหม่ อยู่ในขอบขัณฑสีมาของกรุงศรีอยุธยา แล้ว
ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการท้าทาย พระราชอำนาจของ
"มหาราชดำ"
โดยตรง
...ลุล่วงถึงปีพุทธศักราช 2147
พระองค์ทรงกรีฑาทัพทหารกล้า 100,000 นาย จากกรุงศรีอยุธยา มายัง นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
เป้าหมาย "ปลดแอก" "เมืองนาย"
และทำลาย
"กรุงอังวะ"
แต่การศึกครั้งนี้เป็นศึกครั้งสำคัญที่จะผิดพลาดไม่ได้ เพราะ
แม่น้ำอิระวดี
แม่น้ำสาละวิน
แม่น้ำโขง
จะมารวมกับ
แม่น้ำเจ้าพระยา
เป็นมหาปฐพี ในใต้หล้ากว้างใหญ่ไพศาลสุดเหลือคณาจากเหนือสู่ใต้ จากตะวันออกสู่ตะวันตก
สุวรรณภูมิทวีป
จะเป็นดั่งทองแผ่นเดียวกัน
1
ครัันกองทัพเดินทางมาถึงเมืองเชียงใหม่แล้วจึงมีพระราชโองการ"พักทัพหลวง" พร้อมกับเกณฑ์กองทัพหัวเมืองล้านนาเข้ามาสมทบอีกจำนวน 100,000 นายโดยใหัประชุมทัพ ณ เมืองฝาง และทรงมอบหมายให้สมเด็จพระเอกาทศรถ เป็นแม่ทัพหน้า และเดินทาง ไปถึงเมืองฝางเมื่อวันพฤหัสบดี แรม 11 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2148
ดังนั้นการศึกครั้งนี้จึงมีทหารกล้ามากถึง 200,000 นาย เพื่อพิชิต
"กรุงอังวะ" ให้จงได้
ประกอบกับช่วงเวลานั้นเป็นเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของไทย
จึงให้ "พักทัพหลวง"แรมทัพ ณ เมืองเชียงใหม่เป็นเวลา 1 เดือน
1
เมื่อถึงกำหนดเวลาและกำลังพลพรั่งพรัอมแล้ว จึงลั่นกลองศึกเคลื่อนทัพหลวงออกจากเมืองเชียงใหม่ ในวันอังคาร แรม 9 ค่ำ เดือน 5 ปีมะเส็ง ตรงกับวันที่ 12 เมษายน 2148
การศึกครั้งที่สุดนี้จำเป็นต้องใช้ยุทธวิธี
"เกลือ จิ้ม เกลือ"
ทรงนำเอา พระเจ้านรธามังช่อ กษัตริย์เมืองเชียงใหม่ พระราชโอรสของพระเจ้าบุเรงนอง ซึ่งเคยยกทัพเชียงใหม่ ปะทะ และพ่ายแพ้แก่กองทัพพระองค์ดำ ณ สมรภูมิบ้านสระเกษ มาแล้วและครั้งนี้แม้ว่าพระเจ้านรธามังช่อ จะถวายพระธิดาแด่พระองค์ดำก็ตามที ก็ยังทรงไม่ไว้วางพระทัย จึงให้พระเจ้านรธามังช่อ เสด็จในกองทัพหลวง ให้เป็น
"ผู้นำทาง" ไปเมืองนาย และ"อังวะ" ในฐานะ
"ตัวประกัน"
พระเจ้านรธามังช่อ เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่ปกครอง 57 หัวเมืองขึ้น มาร่วม 25 ปีตั้งแต่ พ.ศ.2122 รู้ช่ำชองในพื้นที่ราชอาณาจักรล้านนาเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะเส้นทางหลักจากเชียงใหม่ไปยัง "เมืองนาย"และ "กรุงอังวะ"
เส้นทางเดินทัพพระเจ้าบุเรงนอง พ.ศ.2101 "เมืองนาย" แม่น้ำสาละวิน-"ท่าผาแดง"-เวียงแหง-เชียงใหม่ ภาพ ; ชัยยง ไชยศรี
ซึ่ง พ.ศ. 2101 เป็นเส้นทางที่พระราชบิดา(พระเจ้าบุเรงนอง)เคยยกทัพ มายึดเมืองเชียงใหม่ไว้ได้ โดยเคลื่อนกำลัง
90,000 นาย
เกณฑ์ 19 เจ้าฟ้าไทใหญ่ มาประชุมทัพที่ "เมืองนาย"
1
แล้วเคลื่อนทัพข้ามแม่น้ำสาละวิน ณ
"ท่าผาแดง"
"ท่าผาแดง"เป็นท่าข้ามแม่น้ำสาละวิน ตั้งอยู่ทิศเหนือ ของ อ.เวียงแหง เป็นระยะทางประมาณ 65 กิโลเมตร ภาพ : ชัยยง ไชยศรีและคณะ
จากนั้นให้แบ่งออกเป็น
3 ทัพ ค่าเฉลี่ยทัพละ 30,000 นาย
ทัพที่ 1 ยกไปทาง "เมืองปาย" (อ.ปาย)เข้าเชียงใหม่
ทัพที่ 2 ยกไปทาง "เมืองแหง"(อ.เวียงแหง) เข้าเชียงใหม่
ทัพที่ 3 ยกไปทาง "เมืองเชียงดาว"(อ.เชียงดาว) เข้าเชียงใหม่
และสั่งอาญาสิทธิ์คาดโทษ หากแม่ทัพใดมาไม่ทันหมู่
ให้ตัดศีรษะแม่ทัพ
เสียบประจานบนเกาะ
"ท่าผาแดง"
กลางแม่น้ำสาละวิน
ครั้นแล้ว 3 ทัพเคลื่อนกำลังมาโดยลำดับและสนธิกำลังในวันเดียวกันได้ 90,000 นาย ล้อมเชียงใหม่ 3 วัน
เชียงใหม่ก็แตก ตกเป็นเมืองขึ้นของพระเจ้าบุเรงนองและรัชทายาทเนิ่นนานกว่า 200 ปี
ครั้นเวลาล่วงเลยมา 47 ปี ถึงรุ่นลูก จำตัองนำทางทัพหลวง "พระองค์ดำ"ย้อนรอยพระบิดาบุเรงนอง จากเชียงใหม่ ทวนสายน้ำปิง ลำห้วยแม่ขะจานจนถึง "เมืองกื้ด"(ต.กื้ดช้าง อ.แม่แตง) จากนั้นทวนสายน้ำแม่แตง ผ่าน "เมืองคอง"(ต.เมืองคอง อ.เชียงดาว) และผ่าน
"เมืองแหงหลวง" (อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่) ภาพ : ไกรสิน อุ่นใจจินต์
"เมืองแหงหลวง"
หรือเมืองแหน - Maing haing gyi
( อ.เวียงแหง จ.เชียงใหม่)
ข้ามแม่น้ำ สาละวินที่
"ท่าผาแดง"-Ta Phaleng ผ่าน "เมืองปั่น"-Pan ข้ามน้ำ"เต็ง" -Teng ถึง
เมือง "นาย"-Mo nai
ซึ่งเมืองนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างเมืองเชียงใหม่ กับ "เมืองอังวะ" คือมีพิกัดตั้งอยู่ที่ระยะทางโดยประมาณ 350 กิโลเมตรจากเชียงใหม่
แต่เหตุการณ์วันนี้กับ 47 ปีที่แล้วอารมณ์ความรู้สึกของพระราชบิดากับราชโอรส ช่างแตกต่างกันลิบลับ
พระราชบิดาบุเรงนอง กระหยิ่มฮึกเหิมลำพองใจ ที่จะได้ "เชียงใหม่"เมืองเก่าแก่แห่งราชวงศ์มังราย อาณาจักรล้านนา ไว้ในอำนาจ
1
แต่ ณ เวลานี้การณ์กลับกัน "ราชโอรส"อยู่ในภาวะคับขันตกเป็น"ตัวประกัน" นำทางไป"ยึดคืนเมืองนาย" และจำเป็นต้องไปไล่ล่า
สังหาร "เจ้ากรุงอังวะ" ซึ่งเป็น
พี่น้องร่วมสายโลหิตจากพ่อเดียวกัน เพียงแต่ต่างแม่เท่านั้น
อารมณ์ความรู้สึกในเหตุการณ์ระหว่างสมัยพระราชบิดา กับสมัยชั้นลูกนั้น ช่างแตกต่างกันยิ่งนัก....
......... 397 ปีผ่านไป........
ลุล่วงถึงปี 2545
สื่อสารมวลชนพาดหัวข่าว
"พระมาลา"ชาวเวียงแหง เชื่อว่าเป็นพระมาลาสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาพ : ชัยยง ไชยศรี
" ....พบพระมาลา ชาวบ้านเวียงแหง(อำเภอเวียงแหง)เชื่อว่าเป็นพระมาลาของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช....
โดยชาวบ้านบางคนนำพระมาลาสวมใส่ศรีษะแล้วเกิดอภินิหาร
บ้างสติฟั่นเฟือน
บ้างเจอมรสุมร้ายในชีวิต
บ้างเสียชีวิตแบบพิสดาร ฯลฯ......"
สื่อ TV ออกข่าวครึกโครม
..กุมภาพันธ์ 2545
อ.เวียงแหง ให้การตัอนรับหัวหน้าส่วนราชการส่วนภูมิภาคสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในตำแหน่ง"ศึกษาธิการอำเภอ" คนใหม่ โดยโอนย้ายมาจากเมืองพระลอ
นายอำเภอเวียงแหง(ว่าที่ร้อยตรีอดิศวร นันทชัยพันธ์) เชิญศึกษาธิการอำเภอคนใหม่ เข้าพบและมอบหมายให้เป็นประธานฝ่ายประวัติศาสตร์เพื่อสืบค้นเอกสารหลักฐานว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เคยเสด็จมาพื้นที่เวียงแหงหรือไม่? อย่างไร ?....
( หมายเหตุ
* ต่อมาภายหลังกว่า 12 ปี ตั้งแต่นายอำเภอ เกษียณอายุราชการแล้วและก่อนหน้าถึงแก่กรรมในเวลาไม่กี่ปี ท่านได้เล่าถึงที่มาซึ่งเป็นพื้นฐานให้ต้องมาศึกษาเส้นทางเดินทัพพระองค์ดำอย่างจริงจัง..
ข้าพเจ้าจะนำเสนอในลำดับ ต่อไป..)
ต่อมา อ.เวียงแหง ออกคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย
1. ฝ่ายโบราณคดี มี ดร.อนุชาต ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.)เป็นหัวหน้า
2. ฝ่ายภูมิศาสตร์ มี นายสง่า บุญชม หัวหน้าโครงการพัฒนาเหมืองเวียงแหง จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย เป็นหัวหน้า
3. ฝ่ายประวัติศาสตร์ มี นายชัยยง ไชยศรี ศึกษาธิการอำเภอเวียงแหง เป็นหัวหน้า
แต่ละฝ่ายทำการศึกษา ค้นคว้ากันอย่างเข้มข้นเอาจริงเอาจัง โดยกำหนดให้เสนอรายงานความคืบหน้าต่อที่ประชุมเป็นระยะ
ฝ่ายโบราณคดีเร่งรุดเสนอความก้าวหน้าอย่างชวนตื่นตาน่าติดตามในความเป็นเมืองโบราณ"เมืองแหง"ปรากฏคูน้ำคันดินกำแพงเมือง
และตามติดๆกันฝ่ายภูมิศาสตร์เสนอข้อมูลว่าแต่เดิมแม่น้ำแตงไหลโอบเมืองโบราณเวียงแหง เวลานานเข้าแม่น้ำแตงเปลี่ยนเส้นทางswing ตัวออกไหลเป็นเส้นตรง ก่อเกิดพื้นที่ราบลุ่มและเป็นทุ่งนาในที่สุด
ภาพถ่ายทางอากาศจากทีมงานหม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล(ท่านมุ้ย)ครั้งสำรวจเส้นทางเดินทัพพระองค์ดำ ; แสดงภาพเมืองโบราณ"เมืองแหง"มีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่ว ด้านเหนือและด้านตะวันออกเป็นคูน้ำคันดิน(กำแพงเมือง) ด้านตะวันตกและด้านใต้เป็นพื้นที่ยกตัวสูงเป็นปราการธรรมชาติ คล้าย"เมืองคัง"ในรัฐคะฉิ่น พม่า
แต่...
ฝ่ายประวัติศาสตร์ ..เงียบ..และเงียบเชียบ..เหมือนหลับไหลในค่ำคืนที่มืดมิด..
ทีมงานคณาจารย์จากทุกสังกัดของกระทรวงศึกษาธิการทั้งกรมสามัญศึกษา กรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมการศึกษานอกโรงเรียน ฯลฯประชุมกลุ่มเล็กครั้งแล้วครั้งเล่าต่างมึน..งง?
... เพราะยังไม่พบหลักฐานเอกสารใดๆ ทั้งๆที่หลักฐานเชิงประจักษ์ปรากฏแก่สายตา ว่า "เมืองแหง" แห่งนี้ มีพื้นที่กว้างใหญ่ พบโบราณสถาน ซากเจดีย์ วัดร้างกว่า 50 แห่ง....
การสืบค้นเอกสารประวัติที่มาของ "เมืองแหง" เดินมาถึง
ทางตัน....
ข้าพเจ้าครุ่นคิดแสวงหาแนวทาง และเดินทางไปปรึกษาผู้รู้ขอคำแนะนำ จากนั้นตลุุยสืบค้นหนังสือประวัติศาสตร์ตามห้องสมุดมหาวิทยาลัยต่างๆในเชียงใหม่ อาทิ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยพายัพ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ....
1
แต่ก็ยังไม่พบเรื่องราวใดๆที่เกี่ยวข้องกับ "เมืองแหง"
เกือบจะจนใจ และเริ่มท้อ..แทบสิ้นหวัง...ในเมืองปริศนาที่ไร้ร่องรอยในการบันทึกประวัติความเป็นมา..ทั้งๆที่มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ กลาดเกลื่อนเป็นวัตถุพยานเต็มตาอยู่ทั่วเมือง....
ในท่ามกลางความมืดมิดแห่งอวิชชา..
วันหนึ่ง..
เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ข้าพเจ้าเดินทางไปหอสมุดแห่งชาติ "รัชมังคลาภิเษก"ของกรมศิลปากร ที่ อ.เมืองเชียงใหม่ นั่งอ่านวารสารเรื่องราวทั่วไป พลันเหลือบสายตามองไปยังมุมห้องเห็นกองหนังสือวารสารที่ถูกมัดเพื่อเตรียมส่งให้ฝ่ายรวบรวมเพื่อเย็บรวมเล่ม
บนสุดของกองหนังสือกองนั้น
....." พบเอกสารโบราณ 100 ปีไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน
....พระมหาอุปราชาถูกปืน".....
จึงขอเจ้าหน้าที่แก้เชือกมัดแล้วนำมาอ่าน ...เป็นเอกสารข้างฝ่ายพม่าที่ชื่อว่า
"พงศาวดารพม่า ฉบับหอแก้ว"
ท่อนท้ายของบทความอ่านแล้วชวนฉงนสนเท่ห์
.." พระนเรศ(สมเด็จพระนเรศวรฯ)
ยกกองทัพ 20 ทัพ
จากเชียงใหม่ จะไปตีเมืองอังวะ ครั้นเสด็จถึง "เมืองแหน" แขวงเมืองเชียงใหม่ ก็ทรงประชวรโดยเร็วพลัน ก็สวรรคต ในที่นั้น"...
ทำใมสวรรคต ณ
"เมืองแหน"?
ไม่ใช่เมือง"หาง"
ซึ่งเราเคยอ่านในหนังสือแบบเรียนของทางราชการ ตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม ชั้นมัธยม ...หรอกหรือ?
แต่บทความนี้มีเนื้อความเพียงสั้นๆและเน้นที่พระมหาอุปราชาถูกปืน เป็นประเด็นหลัก
จึงสอบถามไปยังสำนักพิมพ์ฯ บอกว่าฉบับสมบูรณ์ จะจัดจำหน่ายราว 2-3 เดือนข้างหน้า ขณะนี้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอยู่
มหาราชวงษ์พงศาวดารพม่า ภาพ : สำนักพิมพ์มติชน
... ภายหลังจากได้รับหนังสือ "มหาราชวงษ์พงศาวดารพม่า"
หนาเกือบ 400 หน้าแล้ว จึงอ่านไปพิจารณาไปราว 2-3 รอบ และขมวดช่วงเวลา 200 ปีนับตั้งแต่พระเจ้าบุเรงนอง กรีฑาทัพยึดได้เมืองเชียงใหม่ ใน พ.ศ.2101 ถึงรัชสมัย พระเจ้าตากสิน ขับไล่แม่ทัพพม่า
"เนเมียวสีหบดี"ออกจากเชียงใหม่ไป"หลบเลียแผล"ที่ "เมืองนาย"-Mo nai ใน พ.ศ. 2317
และมุ่งอ่านโฟกัสเฉพาะเจาะจง "เมืองแหน" ถูกบันทึกถึง 3 ครั้ง ล้วนเป็นเหตุการณ์ สงครามเดินทัพระดับ 60,000 นาย ขึ้นไปทั้งสิ้น
ส่วนเมือง "หาง"หรือเมือง(หัน) ถูกบันทึก เพียงครั้งเดียว ความว่าถูกเกณฑ์เข้ากองทัพพม่าราว 800 คน เพื่อไปรบ อยุธยา
และเมืองหางไม่ใช่เส้นทางเดินทัพ
จากจุดประกาย ที่ปลายอุโมงค์
จึงสืบเสาะหาหลักฐานเอกสาร ได้มาทีละชิ้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหอสมุดแห่งชาติ กทม. มันเป็นเอกสารโบราณที่อ่านแล้วต้องอ่านอีก เพราะอ่านเข้าใจยาก
แต่เมื่อทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็เข้าใจ เช่น
3
1) "คำให้การท้าวสิทธิมงคล พ.ศ. 2388 "(สมัยรัชกาลที่ 3)
กล่าวถึงเส้นทางจาก "เมืองนาย"-รัฐฉาน พม่า มายัง เมืองเชียงใหม่ ว่ามีทั้งหมด 5 เส้นทาง
แต่ พม่ากลัวกองทัพเมืองเชียงใหม่จะบุกเส้นทางสาย เชียงใหม่-เมืองเวียงแหง-ข้ามแม่น้ำสาละวินที่
"ท่าผาแดง"
มากกว่าทุกเส้นทาง
เพราะเป็นเส้น
- ทางสั้นที่สุด
- ทางใหญ่และ
- เดินง่าย
พม่าจึงมาตั้งด่านที่
"ท่าผาแดง"
และ"เมืองปั่น"
สั่งให้ทหารลาดตระเวณตลอดเวลา....
"เมืองปั่น"-Pan ตั้งอยู่ด้านเหนือของ อ.เวียงแหง เป็นระยะทาง* 100 กิโลเมตร ในอดีตมี"เจ้าฟ้า"ปกครอง ปัจจุบันเป็นเมือง"กระจายสินค้า",มีจำนวนประชากร ใกล้เคียงกับ อ.เวียงแหง * 30,000-40,000 คน และมีความสัมพันธ์ทางเชื้อชาติมาแต่โบราณโดยประชากร อ.เวียงแหง ประมาณครึ่งหนึ่ง บรรพบุรุษอพยพมาจากเมืองปั่น ภาพ : ชัยยง ไชยศรี
2) จดหมายเหตุนครเชียงใหม่ พ.ศ.2408
บันทึกคำกล่าวฟ้องของ 1 ใน 5 ของเจ้าขัน 5 ใบของเชียงใหม่ ว่า
1
ในปีนั้น..เจ้าหลวงเชียงใหม่ พระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงศ์หรือ เจ้าชีวิต "อัาว"-ถ้ามีกระแสรับสั่งว่า ..."อ้าว".,,หมายถึงให้เพชรฆาตนำตัวไปประหารชีวิตโดยวิธีตัดศีรษะ(หัว)...
.ถูกกล่าวหา...โดยมีคำกล่าวฟ้องถึงกรุงเทพฯความว่าดังนี้
".....พระเจ้าเชียงใหม่ ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมเอาใจออกห่าง
โดยเกณฑ์ราษฎร 700-800 คนทำถนนจากเชียงใหม่ ผ่าน
เมืองเวียงแหง(อ.เวียงแหง)
ไปถึงแม่น้ำสาละวินที่ "ท่าผาแดง"
เพื่อรับเจ้าพม่าปลอมตัวมาเมืองเชียงใหม่ และให้การต้อนรับเลี้ยงดูอย่างดียิ่งกว่าข้าหลวงจากกรุงเทพฯ..."
คำกล่าวฟ้องนี้ชี้ให้เห็นเส้นทางจากเชียงใหม่ไปพม่าโดยข้ามแม่น้ำสาละวิน ที่"ท่าผาแดง"ว่าต้องผ่าน อ.เวียงแหง อย่างชัดเจนเพราะเป็นเอกสารราชการสำคัญในราชสำนัก
ประกอบกับพบ เอกสารชั้นต้น จำนวน หลายฉบับ ต่างระบุว่า เส้นทางจากเชียงใหม่ไปพม่า โดยผ่านอำเภอเวียงแหง นั้นมีความสำคัญยิ่งทางยุทธศาสตร์
และตัวช่วยที่สำคัญคือแผนที่ แต่ในปี 2545 นั้นแผนที่ประเทศพม่า ด้านติดต่อกับจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย หาได้ลำบากยากยิ่ง โดยเฉพาะแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 250000 ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึงแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 63360 ซึ่งพม่าได้รับมรดกตกทอดจากอังกฤษที่ได้สำรวจไว้คราวปกครองพม่า
อนึ่งพม่าไม่ได้ใช้แผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 50000 เหมือนบ้านเรา
ข้าพเจ้าเดินทางไปยังภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
และได้รับความอนุเคราะห์จากหัวหน้าภาควิชาฯอาจารย์จีระ จึงได้แผนที่ระวางที่ติดต่อกับประเทศไทย เมื่อนำมาต่อเรียงกันแล้วจึงมองเห็นภาพรวมตั้งแต่เชียงใหม่-แม่น้ำสาละวิน-ท่าผาแดง-เมืองปั่นถึงเมืองนาย
เป็นครั้งแรก
แผนที่ภาพถ่ายดาวเทียมLandsat 7แสดงที่ตั้งของ เชียงใหม่ ศูนย์กลางอาณาจักรราชวงศ์มังราย , "เมืองนาย" เมืองลูกหลวงของเชียงใหม่ โดยพญามังราย ส่ง "ขุนเครือ"ราชโอรส ไปปกครอง ทั้งนี้มี "เมืองแหง"(อ.เวียงแหง)ตั้งอยู่กึ่งกลางของเส้นทางดังกล่าว ครีเอท ; ชัยยง ไชยศรี 2550
"เมืองนาย"ทำมุมเกือบ 45 องศากับเชียงใหม่ และกึ่งกลางของเส้นทะแยงมุมนั้นคือที่ตั้งของ
"เมืองเวียงแหง"(อ.เวียงแหง)
เมื่อพิกัดทางภูมิศาสตร์บังคับดังนี้ความหมายก็คือเป็นเส้นทางสั้นที่สุดระหว่างเมืองเชียงใหม่กับเมืองนาย
.....................
โปรดติดตามต่อไป
* เพื่อเป็นกำลังใจแก่ผู้เขียน
กด "ติดตาม" ด้วยครับ
2 บันทึก
6
5
2
6
5
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย