5 พ.ย. 2021 เวลา 12:19
ตอนที่ 7. อัศจรรย์ แห่ง "สติ"
"สติ" คือ "กัลยาณมิตร" ที่ดีที่สุด
จริงหรือไม่?
ฉันคงไม่ทราบซึ้งกับคำพูดนี้ ถ้าในวันนั้น.....
ภาพถ่าย Alexandr Podvalny จาก Pexels
ช่วงที่ดิฉันใช้ชีวิตอยู่กับอดีตสามีใหม่ ๆ เราเลือกมาเช่าบ้านอยู่ต่างหาก ระหว่างที่รอปลูกบ้านอีกหลัง
เหตุเพราะครอบครัวของเขา ประกอบอาชีพ 'ฆ่าสัตว์' โดยใช้ 'บ้าน' เป็นสถานที่ประกอบกิจการ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับโรงฆ่าสัตว์เล็ก ๆ
แทบจะทุกเย็นจะมี 'ไก่ตัวอ้วนสีขาว' บรรทุกมา...เต็มคันรถบรรทุกขนาด 6 ล้อ
....ประมาณ 20.00 น. อดีตสามี พี่สาวและพี่เขย จะช่วยกันเชือดไก่เรื่อยไปจนถึงตี 2
หลังจากนั้นก็จะเตรียมนำไก่ที่เชือดเสร็จแล้วออกวางขายตอนตี 3 ที่ตลาดสดช่วงเช้า และจะรอขายจนหมด
ประมาณช่วงสาย ๆ ของวันก็พากันกลับบ้านมาพักผ่อน เป็นแบบนี้เกือบทุกวัน เว้นวันพระข้างขึ้นและข้างแรม 15 ค่ำของทุกเดือน และวันพระใหญ่ที่เป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนา
แน่นอนว่าผู้หญิงอ่อนไหวง่ายอย่างดิฉัน ไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังนั้นได้อย่าง
เป็นปกติสุข ฉันไม่อยากเห็นภาพ "ไก่" เหล่านั้น รวมถึงเสียงร้องขอชีวิตจากพวกมัน โดยที่ฉันไม่อาจช่วยอะไรได้เลย
หลังจากพากันย้ายออกมา ดิฉันก็ขอร้อง
ให้อดีตสามีหางานอื่นทำ จนเขาไปได้งานที่โรงงานแห่งหนึ่งแถว จ.ระยอง ซึ่งบ้านอดีตสามีอยู่ จ.ชลบุรี เช้ามืดจะมีรถรับส่งพนักงานของบริษัทมารับ เลิกงานก็มีรถมาส่ง
แต่ในบางวันที่พี่เขยอู้งาน เพราะดื่มเหล้ากับเพื่อนจนติดลม พี่สาวก็ต้องมาตามอดีตสามีไปช่วยเชือดไก่เหมือนเดิม...หลายครั้งอยู่เหมือนกัน
ที่ห้องเช่าจึงมีมีดสับกระดูกที่เป็นเหล็กทั้งด้ามวางอยู่ในห้องด้วย 1 เล่มซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญของอดีตสามี
มันถูกวางไว้ชั้นล่างสุดของโต๊ะสแตนเลส ซึ่งตั้งไว้ใกล้ประตูหลังของห้องเช่า
จุดเกิดเหตุ...โต๊ะสแตนเลส
ช่วงเช้าของวันเกิดเหตุ อดีตสามีไปทำงานตามปกติ ส่วนดิฉันกำลังทำความสะอาดห้อง ตั้งใจว่าจะจัดห้องใหม่ด้วย ก็ค่อย ๆ ทำเรื่อยมาจากหน้าห้องจนถึงหลังห้อง...ตรงที่มีโต๊ะสแตนเลสตั้งอยู่
....ซึ่งวันนี้คิดว่าจะย้ายโต๊ะให้ห่างจากประตูไปอีกสักหน่อย เพราะดิฉันชอบเปิดประตูหลังบ้านทิ้งไว้ เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก
อีกทั้งลมก็พัดเข้ามาทางทิศนี้ด้วย ช่วยให้ห้องเย็นสบาย
....ฉันค่อย ๆ ขยับโต๊ะทีละน้อย ๆ โดยลืมไปว่ามีมีดสับกระดูกวางอยู่ชั้นล่างสุดของโต๊ะ
ด้วยความประมาทเลินเล่อของดิฉันเอง
จึงเกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่ที่ต้องจำจนวันตาย
เพราะหลังจากขยับโต๊ะไปมาได้สักพัก มีดสับกระดูกซึ่งถูกวางอยู่ที่ชั้นล่างก็พลัดตกลงมากระทบหลังเท้าส่วนหน้า(ช่วงโคนของนิ้วโป้งเท้า)โดยส่วนโค้งของมีด(ส่วนที่ติดกับด้ามจับ)เฉือนเนื้อลึกลงไปจนกระทบกับกระดูกดังกึก....
ดิฉันตกใจมาก...เมื่อเห็นเลือดไหลเยอะผิดปกติ...พยายามมองหาอุปกรณ์บริเวณนั้น มาช่วยห้ามเลือด
แต่พอขยับเท้า...เลือดก็ยิ่งทะลักออกมา
ทำให้รู้สึกกลัวจนไม่กล้าขยับเท้าอีก
....ฉันค่อย ๆ ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น...เลือดยังคงไหลไม่หยุด
ภาพจำลองเหตุการณ์โดย Thanhathai
....อยู่ดี ๆ อากาศก็เย็นขึ้นมากระทันหัน จนฉันรู้สึกหนาวอย่างบอกไม่ถูก
สายตาพร่ามัว ฉันเริ่มมองอะไรไม่เห็นแล้วในที่สุดก็หมดแรงค่อย ๆ เอนกายลงนอนกับพื้น
สำนึกสุดท้ายบอกตัวเองว่า...
"เรากำลังจะตายใช่มั้ย?"
พอ 'จิต' นึกถึงความตายขึ้นมาเท่านั้น...ก็รู้สึกปลงและกลับสงบเย็น
แล้ว 'พุธโธ' ก็ปรากฎขึ้นในดวงจิตทันที "เราจะตายไปพร้อมกับ 'พุทโธ' นี่แหละ"
....ดิฉันรวบรวม 'สติ'และ'สัมปชัญญะ'
เพื่อเอา 'จิต' มาจับไว้ที่ 'ลมหายใจ' ซึ่งแผ่วเบาเต็มที
"หายใจเข้าพุธ...หายใจออกโธ
....เข้าพุธ...ออกโธ
....พุท...โธ"
....แล้วทุกอย่างก็ดับวูบลง
1
ผ่านไปนานแค่ไหนไม่รู้ ฉันก็ฟื้นขึ้นมา
ค่อย ๆ ลืมตามองไปรอบ ๆ จึงเห็นว่าใกล้ค่ำแล้ว "ฉันยังไม่ตาย!!!" ฉันคิดในใจ
....ค่อย ๆ ยันกายลุกขึ้นนั่งบนกองเลือด...ซึ่งในตอนนี้เริ่มจับตัวเป็นคราบเหนียว ๆ เหลือบมองไปที่เท้าของตัวเอง ลองขยับเท้าดูพบว่าเลือดหยุดไหลแล้ว...สภาพบาดแผลนั้นเปิดกว้างพอมองเห็นเนื้อที่ซีดด้านในและกระดูกสีขาวขุ่น รู้สึกเจ็บแปล๊บ ๆ แต่ยังไม่ปวดแผลเท่าไหร่
....ฉันรู้สึกกระหายน้ำมาก แต่ตู้เย็นก็ดันตั้งอยู่กลางห้องซึ่งไกลจากจุดที่ฉันนั่งอยู่พอสมควร...ฉันไม่มีแรงพาตัวเองไปตรงนั้น
ลองตั้ง 'สติ' สักครู่...ก็นึกได้ว่ามีเพื่อนที่เช่าห้องอยู่ข้าง ๆ กัน...ฉันจึงค่อย ๆ คลานไปหาเพื่อนซึ่งน่าจะอยู่ใกล้กว่า
....พอพ้นประตูห้องก็หมดแรง จึงมองหาวัตถุที่มีน้ำหนักใกล้มือ แล้วหยิบมันเขวี้ยงออกไปให้กระทบประตูด้านหลังห้องเช่าของเพื่อนซึ่งถูกปิดอยู่
เป็นโชคดีของฉันที่เพื่อนยังอยู่ในห้อง...แต่พอเพื่อนเปิดประตูออกมาเห็นสภาพฉันเท่านั้น ดูเพื่อนตกใจมาก
ยิ่งเห็นบาดแผลและกองเลือด เพื่อนถึงกับหน้าซีดทำท่าจะเป็นลม 😅
ฉันต้องเป็นฝ่ายเตือนสติเพื่อน
"น้อย นั่งลงก่อน...เราไม่เป็นไร สูดหายใจเข้าลึก ๆ นะ...ผ่อนลมออกยาว ๆ ดีมาก
ทำอีก 3 ครั้ง"
"ดีขึ้นยัง...อย่าเป็นอะไรตอนนี้นะ เราช่วยน้อยไม่ได้" ฉันเรียกสติให้เพื่อน
น้อยพยักหน้า แล้วพูดชวนฉันไปหาหมอ
แต่ฉันไม่อยากไป
ยอมรับว่ากลัวขั้นตอนการทำความสะอาดแผลที่สุดโหดของพยาบาล เพราะเคยมีประสบการณ์แล้ว
"แผลลึกขนาดนี้ ไปให้หมอเย็บแผลเถอะ"
ฉันส่ายหัว "ไม่...เราไม่เป็นไรจริง ๆ น้อย
แต่เราหิวน้ำ" ฉันได้จังหวะบอกเพื่อน...น้อยรีบเอาน้ำมาให้ฉันดื่ม
"จะให้โทร. บอกก้องมั้ย" น้อยหมายถึงอดีตสามี
"ไม่ต้องจ้ะ รบกวนน้อยไปร้านขายยา ซื้ออุปกรณ์ทำแผล ยาแก้ปวด แก้อักเสบมาให้เราก็พอ บอกอาการเราให้เค้าฟังนะ เค้าจะได้จัดยาให้ถูก"
ฉันกลั้นใจบอกเพื่อน...ก่อนจะเอนกายลงนอนกับพื้นอีกครั้ง ด้วยความอ่อนเพลีย
โชคดีที่ฉันปลอดภัย ไม่มีอาการข้างเคียงใด ๆ หลังจากนั้น...ส่วนบาดแผลค่อย ๆ หายไปตามวันและเวลา
คงเหลือไว้แค่ รอยแผลเป็นพร้อมอาการเสียวแปล๊บ ๆ ที่บริเวณแผลนานกว่า 10 ปี
เหมือนเป็นเครื่องเตือนใจ ให้รำลึกถึงการใช้ชีวิตที่ประมาทของตัวเอง
ฉันได้เล่าให้พระอาจารย์ของฉันฟัง หลังจากวันนั้น...ด้วยหวังว่าจะได้รับคำชมจากท่าน
แต่เปล่าเลย...ท่านกลับตำหนิฉัน...เรื่องการใช้ชีวิตด้วยความประมาท 🥺
แล้วเทศน์เตือนสติฉันต่อไปอีกว่า...
"ฝึกจิตให้คุ้นชินกับการประกอบกิจที่เป็นกุศล 'ทาน ศีล ภาวนา' ควรทำอย่างสม่ำเสมอ
¤ ทาน ทำไว้เพื่อเป็นเสบียง หากยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ จะได้มีชีวิตที่สุขสบาย
¤ ศีล ช่วยให้เกิดมามีอาการครบ 32 มีสุขภาพที่สมบรูณ์แข็งแรง
¤ ภาวนา ช่วยให้ฉลาด มีปัญญาเอาตัวรอดทั้งทางโลกและทางธรรม
¤ สติสัมปชัญญะ & สมาธิ ควรเจริญคู่กัน เพราะเป็นสิ่งที่เกื้อกูลกันอยู่
1
หมั่นเจริญสิ่งเหล่านี้ให้ต่อเนื่อง ทำจนเป็นเรื่องปกติ เหมือนที่เราต้องหายใจเข้าและหายใจออก
1
เพราะ 'จิต' ที่สงบก่อนตาย...แม้เพียงขณะจิตเดียว ก็สามารถพาเราไปสู่ภพภูมิที่ดีได้ในฉับพลัน"
"สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ" ฉันกราบขอบพระคุณท่าน นับเป็นบุญวาสนาของฉัน
ที่มีพระอาจารย์เป็นกัลยาณมิตร
1
Based on TRUE story
By memee
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
โฆษณา