3 พ.ย. 2021 เวลา 10:52 • สุขภาพ
เมื่อเราไม่อนุญาตให้ตัวเองมีความสุข
3-4 เดือนที่ผ่านมา เป็นช่วง burnout ที่ยาวนานที่สุดของชีวิต โดยมีสาเหตุใหญ่มาจากการทำงานที่ overload มาอย่างต่อเนื่อง
ช่วงนั้น เราขนงานมาทำช่วงวันหยุดเป็นเดือนๆ ประกอบกับผู้บริหารย้ายคนออกจากแผนก และเพื่อนร่วมงานบางคนไม่รับผิดชอบ ยิ่งทำให้ load งานเพิ่มมากขึ้น เพราะผู้บริหารมองว่างานส่วนนี้แค่เป็นการอ่าน ไม่จำเป็นต้องใช้คนเยอะ (จริงๆ มันมากกว่านั้น)
เมื่อเราเจอปัญหา ด้วยนิสัย fighter เราเลือกที่จะบอกผู้บริหารทุกระดับว่างานมัน overload แถมเอาคนไปอีกยิ่งไปกันใหญ่ เราทำแผน เสนอการคำนวณ load งาน และพูดคุยหลายรอบ ผลที่ได้คือความเงียบงัน และยังต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไปเพื่อส่งให้ทันกำหนด
และด้วยนิสัย perfectionist ของตัวเอง ที่เราตั้งเป้าให้ชีวิตต้อง productive ตลอดเวลา งานทุกอย่างต้องออกไปด้วยคุณภาพที่ดี รักษาเวลาให้เป็นไปตามแผน แบกความรับผิดชอบด้วยตัวเอง
และเราต้องไม่เป็นคนที่ทำงานไปวันๆ แบบที่คนในองค์กรรัฐชอบเป็น เพื่อที่เราจะได้ใช้ความรู้ ความสามารถทำอะไรให้ประเทศชาติได้บ้าง ไม่มากก็น้อย
นั่นทำให้เรายิ่งเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และต้อง multitasking ในทุกๆ วัน ผ่านการประชุมพร้อมกัน 2-3 ประชุม นำเสนองาน เคลียร์งาน นั่นทำให้สมาธิเราหายไป
เราไม่สามารถจดจ่อกับอะไรนานๆ ได้ ไม่สามารถอ่านหนังสือยาวๆ ได้แบบเดิม เพราะกลัวว่าจะมีคนโทรมาแล้วไม่ได้รับ notification ของ app ต่างๆ ขึ้นแล้วจะไม่ได้ตอบกลับ ทำให้คนถามต้องรอ
แต่หลังๆ มา เราส่งงานช้า เลยกำหนดเวลา คุณภาพของงานที่ออกไปแย่ลง เราทำงานไม่ทันมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับไม่สามารถเก็บอะไรได้จากการประชุมที่ซ้อนๆ กันได้ นั่นทำให้เราเกลียดการเป็นตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ ที่ performance ต่ำลงจากเดิม
มากไปกว่านั้นคือการที่เรามีบทบาทอื่นๆ นอกเวลางาน เช่น เรียนต่อ ขายของ และกรรมการนิติคอนโด ที่เราใช้หลักการเดียวกันคือต้อง productive ตลอดเวลา
บางครั้ง เราหมดแรงกับการทำงาน เหนื่อยกับการใช้ชีวิต เราต้องมานั่งฟังลูกบ้านระบายเป็นชั้วโมงๆ เพื่อให้เค้าสบายใจขึ้น โดยที่เราพยายามบอกว่าเราไม่พร้อม แต่เค้าก็ยังพูดเรื่องของเค้าต่อ นั่นทำให้เราซึมต่อไปอีกหลายวัน
หลังจากอาการ burnout ไม่มีที่ท่าว่าจะดีขึ้น และกินเวลานานขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งต่างจากปกติที่เราสามารถ recover ตัวเองได้ภายใน 1-2 เดือน นั่นทำให้เรากลัวว่าตัวเองจะ “ดิ่ง” ไปมากกว่านี้ เราเลยเลือกเดินเข้าไปปรึกษาจิตแพทย์
เราเล่าเรื่องทุกอย่างที่เล่าข้างบนให้หมอฟัง และหมอถามเราว่า backgroud คุณหล่ะเป็นยังไง?
เราตอบว่า ตั้งแต่เรียนจบ เราไม่รู้สึกสุขทุกข์กับอะไรที่เข้ามาขนาดนั้น เราเฉยเมยกับทุกอย่าง เพราะตั้งแต่เรียนจบเราเหมือนโดนโยนลงน้ำ แล้วให้แก้ปัญหาต่างๆ นานาที่เข้ามา ตั้งแต่เรื่องที่บ้าน เรื่องงาน เรื่องคนอื่น จนเรารู้สึกว่าชีวิตชาตินี้คงเกิดมาเพื่อทำอะไรแบบนี้
หมอถามเรากลับมาว่า อยากร้องไห้ไหม? ร้องไห้ได้นะ มันทำให้เรากลับมาคิดว่า ใช่! เราแทบไม่ร้องไห้มานานมากๆ ไม่ใช่เพราะเราไม่เสียใจ แต่เราไม่อนุญาตให้ตัวเองร้องไห้
ไม่ใช่แค่การร้องไห้ แต่ความยินดียินร้าย เราก็ไม่อนุญาตให้ตัวเราเองเป็น มีเรื่องไหนที่ประสบความสำเร็จ เราก็ดีใจแปปนึง แล้วคิดว่ามันต้องพัฒนาไปต่อ จะหยุดแค่ตรงนี้ไม่ได้ และที่สำคัญอีกอย่าง เราไม่อนุญาตให้ตัวเองอ่อนแอ
เราพยายามทำตัวเราให้เข้มแข็ง ประสบความสำเร็จอย่างที่คนรอบตัวคาดหวัง ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ตัวเองวางแผน productive ตลอดเวลา นั่นทำให้เราไกลจากความเป็นมนุษย์ที่เสียใจได้ อ่อนแอได้ ร้องไห้เป็นมากขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งเหล่านี้อาจเป็นเรื่องดีที่ส่งผลต่อความมั่นคงในชีวิต หน้าที่การงาน ความก้าวหน้า การได้รับความชื่นชม หรือการประสบผลสำเร็จ
แต่มันไม่ได้การันตีความสุขในชีวิตของเราได้อย่างแท้จริง
ถ้ามีคนบอกว่าการมีเงิน ไม่ใช่ความสุขทั้งหมดของชีวิต เราก็จะเพิ่มเติมนิยามของวลีนี้อีกว่า ความมั่นคง ความก้าวหน้า การได้รับความชื่นชม หรือการประสบผลสำเร็จก็ไม่ได้หมายความว่านั่นเป็นความสุขของชีวิตเช่นกัน
มันอาจเป็นสิ่งว่างเปล่าหรือทุกข์แทนก็เป็นได้
สำหรับเรา เราเข้าใจตัวเอง และเลือกที่จะพบแพทย์เพื่อป้องกันอะไรที่จะหนักไปกว่านี้ แต่แน่นอนว่าเรายังทำไม่ได้ แต่ก็อีก เราไม่ยอมแพ้ง่ายๆ จะพยายามทำให้ได้ทีละนิดๆ
ไม่ใช่เพื่อใครหรือเพราะอะไร
แต่เพื่อเรา ที่จะหันกลับมาอนุญาตให้ตัวเองมีความสุขได้อีกครั้งหนึ่ง
ในเร็ววันนี้
โฆษณา