4 พ.ย. 2021 เวลา 02:23 • ประวัติศาสตร์
**พงศาวดาร..แบบนี้ ก็..มีด้วย**
.."พระร่วง(พ่อขุนราม คำแหง)เป็นชู้กับ..ชายาพระสหาย!
หรือ..เป็นข้ออ้าง
เพื่อ..ชุมนุมทางการเมือง!!"
ที่..หน้าศาลากลางเชียงใหม่หลังเก่า มี.. พระบรมราชานุสาวรีย์ 3 กษัตริย์ ประดิษฐานอยู่
..พระอิริยาบถของกษัตริย์ทั้งสามพระองค์..ดูมีความสนิทสนมรักใคร่กันเป็นอย่างดี ทั้งพระชนม์..ก็ดูอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน
..กษัตริย์ทั้งสามนี้ ก็คือ...
-พญาเม็งราย แห่งอาณาจักรลานนา
-พ่อขุนรามคำแหง แห่ง
อาณาจักรสุโขทัย
และ..
-พญางำเมือง แห่งอาณาจักรพะเยา
ซึ่ง ..ต่างก็เป็นกษัตริย์ ของ..อาณาจักรชนเผ่าไทย ทั้ง..3 พระองค์
ความสัมพันธ์ของ..พญางำเมือง กับ..พ่อขุนรามคำแหง หรือ..พระร่วงเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย
พงศาวดารโยนก กล่าวว่า..
..."พญางำเมืองได้มาเรียน..ศิลปศาสตร์ในสำนักสุกทันตฤาษี ณ กรุงละโว้ เมื่อพระชนมายุ ๑๖ พรรษา เป็นศิษย์ร่วมสำนักและร่วมรุ่นกับพระร่วง จึงมีความสนิทสนมแนบแน่นกันมาตั้งแต่..ครั้งนั้น
ส่วน..ความสัมพันธ์ ของ..
พญาเม็งราย กับ..พญางำเมือง..นั้น เกิดขึ้น..อย่างน่าพิศวง เมื่อ..พญาเม็งราย เห็นว่า..อาณาจักรลานนา มีท้าวพญาแยกกันปกครองหลายองค์ เกิดวิวาท แย่งชิง..ดินแดนและส่วยกันเสมอ สร้าง.. ความทุกข์ยากให้แก่..อาณาประชาราษฎร์
จึง..ทรงคิดที่จะปราบปราม และรวบรวมเมืองต่างๆ นั้น มาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะได้.. เป็นปึกแผ่น และ..เป็นความผาสุกแก่ราษฎร
...หนึ่ง..ในจำนวนเมือง ที่...จะต้องรวบรวมเข้ามานั้น มี.."พะเยา" รวมอยู่..ด้วย จึงได้..ยกกองทัพ..ไป
แต่..พญางำเมือง เห็นว่า..
เป็นเผ่าไทยด้วยกัน ควรที่จะต้องร่วมกันสู้..กับอิทธิพลของขอม
แล..แทนที่จะจัดทัพไปสู้ กลับออกไปจัดแต่งที่ประทับ คอยต้อนรับทัพ.. พญาเม็งราย
...เมื่อ พญาเม็งราย เจอ..
แผนธรรมยุทธ์แบบนี้ เลย..อึ้ง จากนั้น..สอง กษัตริย์ ก็..ปฏิญาณเป็นมิตรไมตรีกัน
เหตุการณ์..ต่อมา
พงศาวดารโยนก ได้บันทึกไว้ตอนหนึ่ง ว่า..
“...อยู่มา..ครั้งหนึ่ง
สมเด็จพระร่วงเจ้าเสด็จมาสู่หาพญางำเมือง ณ เมืองพะเยา ได้เห็นนางอั้วเชียงแสน ราชเทวีของพญางำเมือง มีรูปโฉมอันงาม ก็บังเกิด..ความกำหนัดในนาง
 
...นางอั้วเชียงแสน..นั้น
ก็..มีจิตปฏิพัทธ์ต่อ.. พระร่วง จึง..ลอบสมัครสังวาสกัน
 
พญางำเมืองทราบเหตุ ก็กุมเอาตัวพระร่วงไว้ แล้วจึงไปเชิญพญาเม็งรายมาตัดสิน”
**ส่วนประชุมตำนานลานนาไทย** กล่าวถึง..ตอนนี้ไว้ ว่า...
“เมื่อนั้น..ยังมี...
นางเทวีพญางำเมืองผู้หนึ่ง ชื่อ..*นางอั้วเชียงแสน* รูปโฉมงามนัก นางผู้นั้น..มีใจเคียดแค้นแก่พญางำเมือง ด้วย..เหตุนี้
คือ..ในวันหนึ่ง นางอั้วเชียงแสน กระทำสู่ขวัญพญางำเมือง
พญางำเมืองทักว่า.."นางพญา มาสู่ขวัญกูปางนี้ แกงอ่อมอร่อยดี เสียแต่ว่า..ถ้วยกว้าง
น้ำแกง..มากไปหน่อยหนึ่ง เท่านั้น"
..นางพญาเข้าใจ ว่า..ทรงแสร้งตรัสประชดนาง ก็เลยเคียดขึ้งอยู่ในใจ ไม่ค่อยจะไปหาสู่พญางำเมือง ที่เวียงเชียงสุมอันเป็นที่ประทับ และ..นางมีใจรักใคร่.."พญาร่วง"
ซึ่งเดินทางมาดำหัว และ..มาหยุดพักอยู่ภายนอกเวียง
ฝ่ายพระร่วง รู้ ว่า..นางอั้วเชียงแสน มีใจรักใคร่ตน ก็แอบไปนอนกับนางด้วยหลายครั้ง จน..ภายหลังพญางำเมืองรู้ว่า.."พระร่วงเป็นชู้กับเมียตน”
เมื่อ..พญางำเมืองจับได้ ว่า.. ถูกสหายรัก ตีท้ายครัว จึงรำพึงว่า...“จะฆ่าพระร่วงกับเมียกูเสีย ก็ได้..แล แต่ว่า..เมืองใต้ กับ..เมืองกู จักเป็นเวรแก่กันสืบไป..ชะละ
”'พงศาวดารโยนก' กล่าวต่อไปว่า..“บ่ควรฆ่า อนึ่ง เมียกู ก็.. หากร้าย กูได้ผูกพญาร่วงไว้ จัก..ตัดแต่งสินไหมเอาเอง ก็..บ่ควร
ส่วน..ตนกู เป็น.. พญาใหญ่ ควรกูให้ไปไหว้..
สหายกู..เจ้าพญาเม็งราย ตนมีบุญสมภาร และมีปัญญาฉลาด อาจตัดแต่งถ้อยความชอบด้วยสุคติ
ควร..ไหว้ท่านมาพิจารณา
ตัดแต่งความต่อนี้ แก่.. เผือ แล..พระร่วง อันมีวิวาทแก่ตนกัน หื้อเป็นสนุกควรแล
 
ว่าอันแล้ว.. พญางำเมือง ก็ใช้หื้อ.."เอาบรรณาการไปถวายแก่พญาเม็งราย ขอหื้อมา..ชำระโทษ”
เมื่อ..พญาเม็งรายมาถึง
พญางำเมืองได้เล่า..'โทษ ของ..พระร่วง' ให้..พญาเม็งรายได้ทราบแล้ว
พญาเม็งรายจึงกล่าวว่า..
..“ดูรา..สหายเจ้า เรานี้ เป็น..ท้าวพญาใหญ่
ได้..น้ำมุรธาภิเษกสรงเกศ
มีบุญสมภารยศบริวารทุกคน
 
ดัง..พระร่วงนี้เล่า เขาก็ได้มุรธาภิเษก ในเมืองสุโขทัยโพ้นแล้ว
 
แม้น..ท้าวร่วงได้กระทำผิด สหาย ได้รักษาไว้
บัดนี้..สหายจุ่งเอาพระร่วงมา เรา..จะพิจารณาตาม.. ครองคุณ แล.. โทษ
พญางำเมืองก็หื้อ..เอาพระร่วงมา..ถาม
 
พระร่วงก็ปลงปฏิญาณ ว่า..ตนมักเมียพญางำเมืองแท้
 
ทีนั้น..
พญาเม็งรายก็..กระทำปริยายชักชวนให้.. พระร่วง กับ.. พญางำเมือง ยินดี..ซึ่งกัน ด้วย..ปริยายหลายประการต่างๆ
แล้ว..พญาเม็งราย จึงแต่งหื้อ..พระร่วง..ขมา
พญางำเมืองสหายตน เป็นเบี้ย..เก้าลุน เก้าลวง คือ..เก้าแสนเก้าหมื่นเบี้ย
พระร่วงเจ้า ก็กระทำตาม..คำพญาเม็งราย
ตัดแต่งให้..ขอขมาโทษต่อพญางำเมืองนั้น เพื่อ..ให้หายเวรนั้น..แล
 
พญาเม็งรายก็ชักนำกระทำให้พญาทั้งสอง..
"มีราชไมตรีสนิทติดต่อกันยิ่งกว่าเก่า ด้วย..เดชะไมตรีแห่ง..เจ้าพญาเม็งรายนั้น..แล”
“แล้วพญาเม็งราย..ก็ลาสหายทั้งสอง กลับเมืองเชียงนคร
แต่..พระร่วงสุโขทัยนั้น อยู่..สอนศาสตร์ศิลปะอาคมต่างๆ ให้พญางำเมืองก่อน แล้วจึง..ลากลับคืน..สุโขทัย”
อ่านเรื่องนี้กันแล้ว
ก็..คงรู้สึกงงๆ..กัน
..พระร่วง หรือพ่อขุนรามคำแหง เป็น..ชายชู้
มีอะไร ผิดพลาดสับสน ในพงศาวดาร..หรือเปล่า?
ศาสตราจารย์ดร.ประเสริฐ
ณ นคร เขียนไว้ใน “สามัคคี 3 กษัตริย์” ในหนังสืออนุสรณ์พระราชพิธีเปิด พระบรมราชานุสาวรีย์3กษัตริย์ ไว้ ว่า....
 
“...เหตุการณ์นี้ เข้าใจว่าเขียนขึ้นเพื่อ..เสริมบารมีพญาเม็งราย โดยถือว่าการเป็นชู้เป็นโลกวิสัย
แต่..ความจริงนั้น พระร่วงอาจมิได้กระทำผิดดังกล่าวเลย ก็..เป็นได้
เพราะ..ถ้าจะอ่านเรื่อง
เดียวกันนี้ จาก.. *พงศาวดารน่าน* ใน.."ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑๐" จะได้ความว่า.."พญางำเมือง ทรงหยอกนางอั้วสิม ว่า.. "แกงใส่น้ำมากเกินไป" นาง อั้วสิมก็โกรธ..."
อย่างเดียวกับข้อความ ในตำนานเชียงใหม่ แต่..นาง อั้วสิมไปได้เสียกับเจ้าเมือง..ปราด ซึ่งเป็นโอรสกษัตริย์น่าน...”
ส่วน...สุจิตต์ วงษ์เทศ
บรรณาธิการ“ศิลปวัฒนธรรม” ได้เขียนไว้ใน “แคว้นสุโขทัย รัฐในอุดมคติ” ว่า....
"พระร่วง..ไป..ทำชู้ หรือ
ไป..ชุมนุม..ทางการเมือง
ขณะที่..เอกสารลานนาชุดหนึ่ง จดเอาไว้ว่า..
"พระยาร่วงไปกระทำชู้ด้วยนางอั้วเชียงแสน
ราชเทวีของพญางำเมือง
แล้ว..พญามังรายเรียกประชุม เพื่อชำระคดีความ
เอกสารลานนา..ที่สำคัญที่สุดอีกชุดหนึ่ง คือ..
..*ชินกาลมาลีปกรณ์*..
ก็..จดเอาไว้เป็นภาษาบาลี แล้วศาสตราจารย์ ร.ต.ท.แสง มนวิทูร แปลออกมาเป็นภาษาไทยว่า..
..."เมื่อ พ.ศ.๑๘๓๑ กษัตริย์ ๓ พระองค์ คือ..
..พระเจ้ามังราย ๑
..พระเจ้างำเมือง ๑
..พระเจ้าโรจ ๑
เป็น..สหายกัน
นัดประชุมกัน..ในสถานที่นัดแนะการชนะ(ประตูชัย) ผูกมิตรภาพซึ่งกันและกัน
แน่นแฟ้นแล้ว ต่างก็.. เสด็จกลับเมืองของตนๆ
จากนั้น อีก ๒ ปี
พระเจ้ามังรายได้ส่ง..เจ้าอ้ายไปเป็นไส้ศึกใน.. *หริปุญชัย(ลำพูน)* ต่อจากนั้น พญามังราย ก็ทำ สงครามได้เมืองหริภุญชัย(ลำพูน) แล้ว.. สร้าง..'เมืองเชียงใหม่')”
เมื่อตอนที่...พญาเม็งรายสร้างเมืองเชียงใหม่ ในปี พ.ศ.๑๘๓๙ ได้เชิญพระสหายทั้งสอง มาปรึกษาหารือกันอีกครั้ง
ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ กล่าวว่า พญาเม็งรายคิด..จะสร้างเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยม ยาว..ด้านละ ๒,๐๐๐ วา แต่..พญางำเมือง และ..พระร่วง ค้านว่า..ต่อไป ถ้ามีศึกมาประชิดเมือง อาจจะไม่มีคนพอจะรักษาเมืองไว้ได้ ควรจะลดลงให้เหลือเพียงด้านละ ๕๐๐ วา
 
ในที่สุดพญาเม็งรายก็ยอมลดลงเหลือ ยาว ๑,๐๐๐ วา กว้าง ๙๐๐ วา
นี่..ก็เป็นสาเหตุที่มี..พระบรมราชานุสาวรีย์..
สาม..กษัตริย์
อยู่ที่..เชียงใหม่ ในขณะนี้
(**หมายเหตุ**
บทความนี้ อาจจะ..มั่ว
หรือ..เอาเรื่องมั่วมาคลุกเคล้า
หรือ..อาจมีเรื่องจริง แฝงไว้อยู่ ก็..อาจเป็นได้ หรือ..เป็นไปไม่ได้
**ใครที่อยู่ จ.พะเยา
หรือ..มีโอกาสได้ไปพะเยาคราใด ลองไปหาอ่านได้ที่..วัดพระเจ้าตนหลวง ที่ออกแนวไปทาง..
อิทธิฤทธิ์ของสองเจ้าพญา มีถึงขั้น..แปลงกายไล่ล่ากัน..เป็นตุ่น เป็นนก เป็นกา ไป..โน่น
หรือ..ไม่ ก็ลอง..ขับรถ ไปเบิ่งดู *ร่องช้าง* ที่..อ.ดอกคำใต้ ที่ผู้คนพากันเชื่อว่าเป็น..*เส้นทางที่.. พระร่วงขี่ช้างมา..ราชการลับ*
หรือ..
ไปหาอ่าน..ตำนานของท่านอาจารย์สิงฆะ วรรณสัย มีให้อ่านที่..ห้องสมุดประชาชนเชียงใหม่
และที่..หอสมุดกลางของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ **)
**เพิ่มเติม**
ขอลอกเอานิทานพื้นบ้าน
มา..เล่าให้ฟังเล่นๆ..
....'อนุสาวรีย์สามกษัตริย์'
ที่..จังหวัดเชียงใหม่ หมายถึง..พ่อขุนราม คำแหง พญามังราย และ พญางำเมือง ทั้งสามพระองค์ เป็นหัวหน้ากลุ่มชนชาวไทย สมัยตอนเริ่มสร้างอาณาจักรไทย
ซึ่ง..ในขณะนั้น ชาวไทยยังแยกกันเป็นสามรัฐ คือ.. สุโขทัย ลานนา และพะเยา (รวมทั้งดินแดนฝั่งโขงด้วย)
แต่..ทั้งสามรัฐ ก็เป็นไมตรีกัน
ส่วน..ในภาคกลาง ไม่มีเรื่องนิทานวีรบุรุษของกษัตริย์ฝ่ายเหนือมา..เกี่ยวข้อง
แต่..ในภาคเหนือได้มีนิทานกล่าวถึงพระร่วง
(พ่อขุนรามคำแหง)อยู่ไม่น้อย และ..กล่าวว่า
..กษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์เป็นพระสหายกัน ซึ่งมีบันทึกเป็นพงศาวดารโยนก
แต่..ก็มีเรื่องบางตอน เหมือนนิทานแต่งเพิ่มเติมแทรกเข้าไป ดัง..ตัวอย่าง ที่จะกล่าวถึง ต่อไปนี้..(บางตอน เป็น..เรื่องจริง ทาง..ประวัติศาสตร์
แต่..บางตอน เป็น..เรื่องแทรกเข้ามา)
...พ่อขุนรามคำแหง พญามังราย พญางำเมือง ทั้ง ๓ พระองค์อยู่ในวัยเดียวกัน
เป็นพระสหายกันมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ และได้เดินทางไปศึกษาศิลปวิชาการด้วยกัน ที่..สำนักสุกทันตฤษี วัดเขาสมอคอน เมืองละโว้
 
ครั้นเมื่อเจริญวัย ต่างก็ได้ครองเมืองทุกพระองค์
คือ..
-*พ่อขุนรามคำแหง* ครองเมืองสุโขทัย
-*พญามังราย* ครองเมืองเชียงราย
(ภายหลังย้ายมาเมืองเชียงใหม่)
-*พญางำเมือง*
ครองเมืองพะเยา
ทั้ง..3 พระองค์ ก็..ยังเป็นพระสหายรักใคร่กันอยู่
เช่น..ครั้งพญามังราย
ย้ายราชธานีไปเชียงใหม่ ยังเชิญพระสหายทั้งสอง ไปดูทำเลสร้างเมืองด้วย พ่อขุนราม คำแหง(พงศาวดารโยนกเรียกว่า.. พระยาร่วง) ปรกติจะ..เสด็จไปเยี่ยมพญางำเมืองที่เมืองพระเยา
พระยาร่วงจะเสด็จโดยขบวนช้าง ผ่านเมืองแพร่ ไปเมืองพะเยา จน..*เส้นทางเป็นร่องลึก* เกิดเป็น..ทางลำธารน้ำ เรียกชื่อว่า “ฮ่องช้าง”
พญางำเมืองก็ทรงต้อนรับ
พระสหายอย่างดียิ่ง
พญางำเมืองมีพระชายาชื่อนาง อั้วเชียงแสน มีรูปโฉมงดงาม พระร่วงเห็นเข้า ก็ทรงสมัครรักใคร่
ส่วนพระนางก็มีพระทัยตรงกัน พระร่วงหาโอกาสลอบเป็นชู้กับพระนาง จนทราบถึงพญางำเมือง จึงสั่งให้เสนาจับตัวพระร่วง
พระร่วงจำแลงกายเป็นนกเอี้ยงหลบหนี พญางำเมืองร่ายเวทมนตร์ให้นกเอี้ยงอ่อนกำลังบินไม่ได้ และตกลงในหนองน้ำ ซึ่งเรียกว่า..“หนองเอี้ยง" ทุกวันนี้
ในที่สุด..พญางำเมือง จับตัวพระร่วงได้และกักขังไว้ เพราะ..ยังตัดสินใจไม่ได้ ว่า..จะทำอย่างไรกับพระสหาย
...จึงส่งพระราชสาร เชิญพญามังรายมาเป็น..ผู้ตัดสิน
 
เมื่อพญามังรายมาถึงเมืองพะเยาแล้ว ทรงรำพึงว่า...ถ้าหาก..พระร่วง กับ พญางำเมือง ผิดใจ..กัน ก็จะ..เป็นเวรกรรม(รบราฆ่าฟันกัน)ต่อไปภายหน้า
 
พญามังราย จึงหาวิธีการ..ที่นุ่มนวล คือให้.. พระร่วงเสียค่าสินไหมแก่พญางำเมือง แล้วไกล่เกลี่ยให้ทั้งสองสหาย
เป็นมิตรไมตรีกันเช่นเดิม
ในระหว่างพระร่วงถูกจองจำอยู่ด้วยความทุกข์ จึงจำแลงกายเป็นตุ่นขุดดินเป็นรู หนีออกจากที่จำขัง บริเวณนั้นเรียกชื่อว่า..“บ้านตุ่น” และรูที่ตุ่นขุดหนีนั้น กลายเป็น..แม่น้ำ เรียกว่า..“ห้วยแม่ตุ่น”
 
แต่..พญางำเมืองก็ตาม
จับพระร่วงได้อีก และพระร่วงทราบว่า..พญามังรายมาถึงเมืองพะเยาแล้วจึงไม่คิดจะหนีต่อไป
เมื่อพญามังรายตัดสินให้พระร่วงเสียค่าสิน ไหมแก่พญางำเมือง และให้คืนดีเป็นมิตรไมตรีกันต่อไป
พระร่วงก็รับเสียสินไหมให้แต่โดยดี
 
แล้ว..ทั้งสามกษัตริย์ก็พากันไปกล่าว..คำสัตย์ปฏิญาณกัน ที่..ริมฝั่งแม่น้ำ“ขุนภู” ว่า..
"ต่อไปจะเป็นมิตรสหาย ที่ซื่อตรงต่อกัน ไม่ทำศึกสงครามกัน ไม่ว่ากรณีใดๆ"
 
..ทั้งสามกษัตริย์ทรงนั่งอิงปรึกษากันอยู่นาน จึงเรียกชื่อแม่น้ำนั้นว่า..“แม่อิง” สืบต่อมาจนทุกวันนี้
เมื่อเสร็จพิธีปฏิญาณแล้ว
พระร่วงและพญามังราย
ก็แยกย้ายกลับเมือง
(**โปรดไปหาอ่านเพิ่ม ที่..
วัดพระเจ้าตนหลวง(วัดศรีโคมคำ วัดคู่บ้าน คู่เมืองพะยาว)
หรือ ที่..
หอสมุดจังหวัดเชียงใหม่
..แจ่งศรีภูมิ..**)
โฆษณา