6 พ.ย. 2021 เวลา 05:42 • ประวัติศาสตร์
“เมห์ราน คาริมี่ นาสเซรี (Mehran Karimi Nasseri)” ชายผู้ติดอยู่ในสนามบินถึง 18 ปี
1
สำหรับหลายๆ คน การต้องติดอยู่ในสนามบินเป็นเวลาหลายชั่วโมง รอไฟลท์ของตัวเอง เป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย
แต่สำหรับ “เมห์ราน คาริมี่ นาสเซรี (Mehran Karimi Nasseri)” หรือที่รู้จักในนามของ “เซอร์อัลเฟรด (Sir Alfred)” ท่าอากาศยานนานาชาติปารีส-ชาร์ล เดอ โกล (Charles de Gaulle airport) เปรียบเสมือนบ้านของเขา เนื่องจากเขาอาศัยอยู่ในสนามบินแห่งนี้ตั้งแต่ค.ศ.1988-2006 (พ.ศ.2531-2549) เป็นเวลา 18 ปีเต็ม
2
สำหรับสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ผมจะค่อยๆ เล่าไป แต่เรามารู้จักประวัติคร่าวๆ ของเขาก่อนดีกว่า
ท่าอากาศยานนานาชาติปารีส-ชาร์ล เดอ โกล (Charles de Gaulle airport)
ประวัติของเขานั้นค่อนข้างไม่ชัดเจน โดยเขาเกิดที่อิหร่าน ปีเกิดนั้น อาจจะเป็นค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) หรือค.ศ.1947 (พ.ศ.2490) หรืออาจจะเป็นค.ศ.1953 (พ.ศ.2496)
เซอร์อัลเฟรดอ้างว่าตนนั้นมีเชื้อสายอังกฤษ อิหร่าน หรือสวีเดน โดยพ่อของเขาเป็นแพทย์ชาวอิหร่านที่ทำงานให้กับบริษัทน้ำมัน แต่เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิตในปีค.ศ.1972 (พ.ศ.2515) ครอบครัวของพ่อก็ได้บอกเขาว่าเขาเป็นลูกนอกสมรส โดยแม่ของเขาเป็นพยาบาลชาวสก็อตแลนด์ที่ทำงานให้บริษัทน้ำมันเหมือนผู้เป็นพ่อ
ด้วยความที่เป็นลูกนอกสมรส ทำให้เขาถูกญาติๆ ตัดออกจากครอบครัว ทำให้เซอร์อัลเฟรดตัดสินใจเดินทางไปศึกษาต่อทางด้านเศรษฐศาสตร์ที่ประเทศอังกฤษ และกลับอิหร่านในปีค.ศ.1974 (พ.ศ.2517)
1
แต่เมื่อกลับมาถึงบ้านเกิด เขาก็ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวทางการเมือง ทำให้ถูกจับกุม และถูกเพิกถอนสัญชาติอิหร่าน และถูกขับออกจากประเทศในที่สุด
เซอร์อัลเฟรดจึงจำเป็นต้องมองหาประเทศอื่นที่จะอนุญาตให้เขาเข้าประเทศในฐานะผู้ลี้ภัย เนื่องจากในเวลานี้เขาได้กลายเป็นบุคคลไร้สัญชาติ
1
เซอร์อัลเฟรดวางแผนจะไปยังเมืองกลาสโกว ประเทศสก็อตแลนด์ โดยหวังว่าอาจจะพบกับแม่ของตน ถึงแม้โอกาสจะน้อยมากก็ตาม
1
เซอร์อัลเฟรดนั่งเครื่องบินไปยังลอนดอน ประเทศอังกฤษ และช่วงเวลาต่อจากนั้นอีกหลายปี เขาก็ต้องวุ่นกับการขออนุญาตเข้าไปพักอาศัยยังประเทศต่างๆ จนในที่สุด ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524) เบลเยียมจึงยอมให้เซอร์อัลเฟรดเข้าพักอาศัย
จากนั้น เขาก็ใช้เวลาอีกหกปีอยู่ในเบลเยียม โดยทำงานในห้องสมุดและศึกษาต่อ ก่อนที่เขาจะตัดสินใจได้ว่าตนต้องการจะปักหลักอยู่ที่อังกฤษ เซอร์อัลเฟรดซึ่งในเวลานั้นอยู่ที่ฝรั่งเศส จึงตัดสินใจขึ้นเครื่องบินจากปารีส ประเทศฝรั่งเศส ไปยังอังกฤษ
แต่เรื่องวุ่นๆ ก็เริ่มขึ้น โดยมีรายงานว่าเซอร์อัลเฟรดได้ถูกขโมยกระเป๋าเอกสารขณะอยู่บนรถไฟในปารีส โดยในกระเป๋าเอกสารนั้นมีเอกสารสถานะผู้ลี้ภัยของเขา แต่บางรายงานก็บอกว่าเขาเป็นคนส่งเอกสารเหล่านั้นกลับไปยังเบลเยียมด้วยตนเอง และโกหกว่ากระเป๋าถูกขโมย
3
แต่อย่างไรก็ตาม เซอร์อัลเฟรดก็ยังเลือกที่จะเดินทางไปยังลอนดอนโดยไม่มีเอกสารอะไรเลย ซึ่งก็อย่างที่คงพอจะเดาได้ ทางการอังกฤษไม่ยอมให้เขาเข้าประเทศ และส่งเขากลับฝรั่งเศส
แต่ปัญหาก็ยังตามมา เนื่องจากทางการฝรั่งเศสก็ไม่ยอมรับ เซอร์อัลเฟรดจึงถูกโยนไปมาระหว่างอังกฤษ ฝรั่งเศส และเบลเยียม โดยไม่มีชาติไหนต้อนรับเขาเลย จนในที่สุด เขาก็ถูกส่งกลับมาถึงฝรั่งเศส
ในเวลานี้ เซอร์อัลเฟรดไม่เหลือทางเลือกอะไรแล้ว เงินก็ไม่มีแล้ว ดังนั้น เทอร์มินอลที่ 1 ของ ท่าอากาศยานนานาชาติปารีส-ชาร์ล เดอ โกล (Charles de Gaulle airport) จึงกลายเป็นที่อยู่ของเขา
ชีวิตของเซอร์อัลเฟรดในสนามบินแห่งนี้เริ่มต้นในวันที่ 26 สิงหาคม ค.ศ.1988 (พ.ศ.2531) โดยเขายึดม้านั่งในโซนร้านอาหารของเทอร์มินอลที่ 1 เป็นที่ปักหลัก โดยเขาก็มีของใช้ส่วนตัวต่างๆ เตรียมมา
ในแต่ละค่ำคืน เขาจะใช้ม้านั่งนี้เป็นที่หลับนอน และเขาก็ยังทำงานเล็กๆ น้อยๆ แลกเงินในสนามบิน และสำหรับอาหาร เขาก็อาศัยกินตามร้านอาหารต่างๆ ในสนามบิน โดยร้านที่กินบ่อยที่สุดก็คือแม็คโดนัลด์ (McDonald’s)
1
ในปีค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) ภายหลังจากอาศัยอยู่ในสนามบินเป็นเวลานานกว่าสี่ปี ทางการก็เริ่มจับตาดูเขา โดยในปีนี้ ศาลฝรั่งเศสได้ตัดสินว่าเขาเข้ามาในฝรั่งเศสอย่างถูกต้อง ดังนั้นจะไล่เขาออกจากสนามบินก็ไม่ได้ แต่เขาจะออกจากสนามบินอย่างถูกต้องก็ไม่ได้อีก
1
ในปีค.ศ.1999 (พ.ศ.2542) ทางการเบลเยียมก็ได้ยอมออกเอกสารที่อนุญาตให้เขาพักอาศัยอยู่ในฝรั่งเศสได้ แต่เรื่องก็ยิ่งวุ่นวาย เนื่องจากเซอร์อัลเฟรดปฏิเสธที่จะเซ็นชื่อในเอกสาร โดยเขาเชื่อว่าเอกสารนี้เป็นของปลอม
1
การที่เขาไม่ยอมเซ็นชื่อ ทำให้เรื่องยุ่งยากพอสมควร และต้องอยู่ในสนามบินนี้ไปต่ออีกกว่าเจ็ดปี จนในปีค.ศ.2006 (พ.ศ.2549) ทางการได้บังคับให้เขาออกไปจากสนามบิน เนื่องจากเขาต้องเข้ารับการตรวจร่างกาย และนี่นับเป็นครั้งแรกที่เขาได้ออกไปจากสนามบิน หลังจากอยู่ในสนามบินนี้มาตั้งแต่ค.ศ.1988 (พ.ศ.2531)
2
ในปีค.ศ.2004 (พ.ศ.2547) ได้มีการสร้างภาพยนตร์เรื่อง “The Terminal” นำแสดงโดย “ทอม แฮงค์ส (Tom Hanks)”
ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่ติดอยู่ในสนามบินในนิวยอร์กเป็นเวลากว่าเก้าเดือน เนื่องจากเขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าประเทศสหรัฐอเมริกาเนื่องจากพาสปอร์ตของเขามีปัญหา และก็ยังไม่สามารถกลับประเทศบ้านเกิดของตนเองได้
1
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของเซอร์อัลเฟรด โดยตัวของเซอร์อัลเฟรดเองไม่สามารถไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ในขณะที่ภาพยนตร์เข้าฉายครั้งแรก เนื่องจากในสนามบินไม่มีโรงภาพยนตร์ แต่เขาก็ได้รับเงินจากบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ถึง 200,000-300,000 ดอลลาร์ (ประมาณหกล้านถึงสิบล้านบาท) เป็นค่าลิขสิทธิจากการนำเรื่องราวของเขามาสร้างเป็นภาพยนตร์
1
ในทุกวันนี้ เซอร์อัลเฟรดไม่ได้อาศัยอยู่ในสนามบินแล้ว โดยภายหลังจากออกจากโรงพยาบาล เขาก็ได้อาศัยอยู่ในปารีส และมีข่าวลือว่าเขาได้สัญชาติอังกฤษ และย้ายไปอยู่อังกฤษแล้ว
2
นับเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งว่าชายคนหนึ่ง จะสามารถอาศัยอยู่ในสนามบินเป็นเวลานานนับสิบปีได้
โฆษณา