6 พ.ย. 2021 เวลา 08:05 • ท่องเที่ยว
ใบไม้เริงระบำ ที่คันไซ (5) .. วัดคิโยมิสึ หรือวัดน้ำใส (Kiyomizudera Temple)
ว่ากันว่า .. ผังเมืองของเกียวโตเป็นตารางรูปสี่เหลี่ยมตัดไปตัดมา ด้วยเป็นจำลองผังเมืองมาจากเมืองซีอานของจีนในสมัยโบราณ
สมัยก่อนห้ามไม่ให้วัดอยู่ในนคร และนั่นทำให้วัดสำคัญๆของเกียวโตส่วนใหญ่จะอยู่ในหุบเขานอกเมือง
การมาถึงวัด วัดคิโยมิสึ เราต้องเดินผ่านถนนแคบๆ ที่เป็นเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังวัด ถนนนี้มีชื่อว่า ถนนนิเนนซากะ (二寧坂) กับ ถนนซันเนนซากะ (三寧坂)
เดิมถนนสายนี้ มีชื่อว่า “ถนนสายกาน้ำชา” ซึ่งในอดีตถนนแห่งนี้เต็มด้วยร้านเครื่องปั้นดินเผา ส่วนปัจจุบันร้านขายถ้วยชาและเครื่องปั้นดินเผายังคงมีอยู่บ้าง แต่ไม่มากนัก และพื้นที่ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็นแหล่งช้อปปิ้งของพื้นเมืองเกียวโตที่ดีที่สุด
ถนนสายนี้มี ร้านขายของในรูปแบบของเรือนญี่ปุ่นโบราณที่ยังถูกเก็บรักษาเอาไว้ในสภาพเดิมๆ กลิ่นอายของการเป็นเมืองเก่าจึงปรากฏชัดในพื้นที่ขอบเมืองนี่เอง
ร้านค้าเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นกิจการที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน .. เนื่องจากวัดคึโยมิสุ เป็นวัดเก่าแก่ที่ศักดิ์สิทธิ์มานานหลายร้อยปีแล้ว ผู้คนเลื่อมใสและพากันมาสักการะตั้งแต่ครั้งโบราณ และต้องเดินผ่านมาทางถนนนี้แหละค่ะ จึงมีร้านค้ามากมายมาตั้งแต่ครั้งอดีตแล้ว
ร้านค้าบนถนนสายนี้ ส่วนใหญ่จะมีบรรยากาศที่น่ารัก สดใส … ขายสินค้าพื้นเมืองจากท้องถิ่นต่างๆ นานามากมาย ขนม ตุ๊กตา สินค้าโอทอป และของที่ระลึกต่างๆ
สำหรับนักท่องเที่ยวในบรรยากาศของบ้านเรือนญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมอันสุดแสนคลาสสิก ตั้งรายเรียงตลอดทาง และมีความปลอดภัยสูง จึงเป็นความเพลิดเพลินอย่างยิ่งค่ะ
ที่ถนนซันเนนซากะ .. จะมีร้านขายของสะสมจุกจิกสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ หรือขนมวากาชิ (ขนมญี่ปุ่น) และร้านสไตล์ญี่ปุ่นอินดี้ต่างๆ อีกมากมาย
ถนนที่เปี่ยมเสน่ห์นี้ มีนักท่องเที่ยวมากมายที่มาเยี่ยมชมกันอย่างคับคั่งตลอดเวลา เพราะว่าที่นี่ให้บรรยากาศเหมือนเมืองเกียวโตในสมัยก่อนจริงๆ
นอกจากนี้ .. บ่อยครั้งบนถนนสายนี้ยังมีสีสันพิเศษให้ทัศนากับเหล่าสาวๆ ชาวญี่ปุ่นที่ยังคงอนุรักษ์ชุดประจำชาติ ด้วยการสวม “ชุดกิโมโน” สีสันสวยงามมาเดินอวดโฉม เดินไปมาตามท้องถนน .. รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ผสานกับกลิ่นไอที่คึกคักของการเปลี่ยนผ่านฤดูกาล ทำให้เกียวโตในยามนนี้ไม่ต่างจากสวรรค์ยนดิน สำหรับพวกเราเลยจริงๆ
... มีร้านให้เช้าชุดกิโมโนสำหรับนักท่องเที่ยว ที่อยากสวมใส่แล้วไปเดินเล่น เก็บภาพในชุดประจำชาติของญี่ปุ่นเอาไว้เป็นที่ระลึก
จากถนนสายน้ำชาที่วันนี้กลายเป็นถนนดูดเงินนักท่องเที่ยว .. เดินมาอีกสักพัก ก็จะมาถึงลานกว้าง อันเป็นทางเข้าวัดคิโยมิสึ
ที่มีลานกว้างนี้อง เป็นที่ตั้งของซุ้มประตูไม้สไตล์ญี่ปุ่นโบราณสีแดงสดที่งดงามมาก คือ ประตู Nio-mon แยกออกมาจากส่วนของตัววัดค่ะ ตั้งตระหง่านโดดเด่น สะดุดตา เหมือนจะรอทักทายผู้มาเยือนอยางกระตือรือร้น
ประตูหลักของวัดน้ำใสที่เราเห็นในวันนี้เป็นของใหม่ ส่วนประตูดั้งเดิมนั้นถูกไฟไหม้ไปแล้วเมื่อสมัยสงครามในศตวรรษที่ 14 และถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อต้นศวรรษที่ 16
แถวๆนี้ มีชาวญี่ปุ่น .. โดยเฉพาะสาวๆ .. รวมถึงนักท่องเที่ยวสวมใส่ชุดกิโมโน มาเดินเป็นจำนวนไม่น้อยเลยค่ะ ใครบางคนเล่าว่า นี่เป็นการแสดงออกถึงการเคารพสถานที่ ซึ่งก็คงคล้ายๆการนุ่งซิ่นไปวัดในบ้านเรานั่นเองค่ะ
พอเดินขึ้นบันไดอีกหน่อยไปยังด้านใน จะมีเจดีย์สามชั้นใกล้กับซุ้มชายตั๋ว .. อาคารในสถาปัตยกรรมโบราณของวัดนี้ ดูโดดเด่นด้วยสีแดงชาด ซึ่งแตกต่างไปจากอาคารของศาสนสถานที่อื่นที่เราไปเยือนมาแล้ว
หอระฆัง … อยู่ทางซ้ายมือ หลังจากขึ้นบันไดเข้ามายังด้านในของวัด
เราเข้าไปขออนุญาตสาวๆในชุดกิโมโนสวยงาม และได้รับความร่วมมืออย่างดีค่ะ
… การเข้าไปขออนุญาตเก็บภาพบุคคลอื่นนั้น เป็นมารยาทที่ดี และทำให้เราได้ภาพสวยๆ
ซุ้มที่มีอ่างน้ำ ใช้ในการล้างมือและบ้วนปากก่อนเข้าวัด
… หากผู้มาเยือน ปฏิบัติเช่นเดียวกับคนในพื้นที่ นอกจากจะเป็นการ เข้าเมืองตาหลิ่ว ก็ต้องหลิ่วตาตามแล้ว .. ยังเป็นการเคารพประเพณี และสถานที่นั้นๆด้วย
ศาลาซุยกุโด (Zuigu-do hall) สร้างขึ้นในค.ศ. 1718
.. มองเห็นเด็กๆนักเรียนมาไปว้ขอพรกันเยอะ รวมถึงเขียนคำขอพรลงบนแผ่นไม้ แล้วนำไปแขวนเป็นทิวแถว
ซุ้มขายบัตรผ่ายประตู … หากจะอยู่รอดูการแสดง แสง สี เสียง Lightup ยามค่ำคืน ก็ต่องจ่ายเพิ่มค่ะ
วัดคิโยมีสึเดระ (清水寺) หรือวัดน้ำใสนั้น .. เป็นหนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่สำคัญของเกียวโต ที่ถูกสร้างถึงบนใจกลางภูเขา Otowayama ในเขตฮิกาชิยามะ ทางฝั่งตะวันออกของเมืองเกียวโต เมื่อประมาณที่ ค.ศ. 778 มีพื้นที่กว้างใหญ่ ภายในวัดร่มรื่นไปด้วยแมกไม้
วัดวัดคิโยมีสึเดระ เป็นวัดในศาสนาพุทธนิกาย Kito Hoso สร้างในปี คศ. 778 โดยพระสงฆ์ Enchin ซึ่งเป็นนักบวชที่ที่ได้รับความเคารพนับถือมากในสมัยนั้น … วัดแห่งนี้จึงมีอายุยาวนานกว่า 1,700 ปี และมีอายุเก่าแก่ยิ่งกว่าเมืองเกียวโต ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี คศ. 1994
วัดที่เราเห็นในปัจจุบัน … สร้างขึ้นมาใหม่ในปี คศ. 1631-1633 โดย โชกุน โตกุกาวา อิเอะทิสึ
จะว่าไปแล้ว วัฒนธรรมในช่วงที่มีการสร้างวัดคิโยมีสึเดระ (清水寺) หรือในช่วงปลายศตวรรษที่ 8 ในยุคสมัยเฮอัน เป็นยุคที่ย้ายเมืองหลวงจากนารามาที่เกียวโต .. วัฒนธรรมต้นแบบของการสร้างบ้านเมืองและวัฒนธรรมในช่วงแรกๆ ได้รับมาจากจีนสมัยราชวงศ์ถัง ..
ความสำคัญของเมืองเกียวโต … ในสมัยนั้น เกียวโตเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรม โชกุนมีวังที่เกียวโต ซึ่งมีความเท่าเทียมกับวังของจักรพรรดิ นอกจากนั้นเกียวโตยังมีบ้านเรือนเก่าและวัดอยูทางตอนเหนืออีกด้วย …
เมื่อราชวงศ์ถังเสื่อมอำนาจลง .. ญี่ปุ่นก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากจีนอีกมากนัก จึงได้พยายามพัฒนางานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม และสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของตนเองขึ้นมา
ภายในวัดมีอาคารหลักๆทั้งหมด 9 อาคาร ซึ่งตั้งแต่เดือนมกราคม 2017 เป็นต้นมาได้มีการทยอยทำการบูรณะปรับปรุงซ่อมแซมอาคารหลักหลายๆส่วน และจะมีกำหนดการเสร็จสิ้นประมาณปี 2020 (ซึ่งเป็นปีที่จัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่ญี่ปุ่น)
ในปัจจุบันอาคารโอคุโนะอิง (Okunoin Hall ), อาคารอะมิดา (Amida Hall) และอาคารชากะ (Shaka Hall) อยู่ในระหว่างการซ่อมแซมบูรณะ
นอกจากนี้ยังมีเจดีย์ 3 ชั้นตรงทางเข้าที่กำลังเตรียมปรับปรุงเช่นกัน ใครที่ไปช่วงนี้แล้วอยากจะดูหลายๆส่วนให้ครบอาจจะผิดหวังกันบ้าง แต่ส่วนที่เหลือที่ยังคงเปิดให้เข้าชมก็สวยงามไม่แพ้กันค่ะ
เมื่อเราเดินเข้าไปในตัวอาคารหลัก จะเห็นมีกระบองเหล็ก 2 แท่ง แท่งหนึ่งใหญ่ แท่งหนึ่งเล็ก กับเกี๊ยะเหล็กวางอยู่ ซึ่งใครบางคนบอกว่า เป็นของเบ็งเก …
กระบองของเบ็งเก ถูกใช้เสี่ยงทายความสำเร็จ … ผู้ชายให้ใช้สองมือยกกระบองอันใหญ่ ผู้หญิงให้ใช้มือข้างที่ไม่ถนัดยกกระบองอันเล็ก หากยกขึ้นได้ คำอธิษฐานนั้นก็จะบรรลุตามที่หวัง แต่หากยกไม่ขึ้น ก็หมายความว่าต้องใส่ความพยายามในเรื่องนั้นๆให้มากขึ้น (แน่นอนค่ะ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น)
เกร็ดความรู้ : ไซโต มูชะชิโบ เบ็งเก (Saito Musashibo Benkei) เป็นพระนักรบที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นยุคสงคามเฮจิ … เขาเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อแม่นำมาทิ้งไว้ในเขตวัด จึงถูกเลี้ยงมาโดยพระในวัด ลักษณะเด่นของเบ็งเก คือ ลักษณะท่าทางที่แข็งแรง ดุดัน มีรูปร่างใหญ่โตกว่าเด็กคนอื่นทั่วไป ว่ากันว่า ในขณะที่เขาอายุ 17 สูงถึง 2 เมตร .. ว๊าววววว
ชาวบ้านรังเกียจเบ็งเก .. เขาจึงบวช รวมถึงทำการฝึกวิชาการต่อสู้ไปด้วย กลายมาเป็นพระนักรบที่แกร่งกล้ามากที่สุดในยุคนั้น
เบ็งเกออกจากวัดไปเมื่ออายุ 17 ปี เนื่องจากถูกพระรูปอื่นในวัดใส่ร้าย … หลังจากนั้นได้กลายเป็นนักบวชนอกรีต อาศัยอยู่ที่สะพานโกะโจ ในกรุงเกียวโต และคอยดักปล้นฆ่าทหารและเหล่าซามูไรที่ผ่านไปมา และยึดดาบและอาวุธของทหารเอาไว้รวม 999 เล่ม …
แต่เบ็งเก กลับมาพ่ายแพ้คู่ต่อสู้คนที่ 1,000 คือ มินาโมโตะ โยชิซึเนะ ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มวัยเพียง 14 ปี ทายาทคนรองของตระกูลเกนจิ ซึ่งมีความมุ่งมั่นในการรวมญี่ปุ่นให้เป็นปึกแผ่น
เบ็งเกยอมรับในความพ่ายแพ้ และเห็นความตั้งใจของ โยชิซึเนะ จึงได้ปฏิญาณตัวเป็นข้ารับใช้ จากวันนั้นไปจนวันตาย
เรื่องราวของเบ็งเกเป็นที่เลื่องลือในเรื่องของความซื่อสัตย์ภักดีต่อโยชิซึเนะ … ทั้งคู่เป็นทั้งสหายร่วมรบและบ่าวผู้ยอมถวายชีวิตปกป้องนาย
บั้นปลายของชีวิตทั้งคู่จบลงอย่างน่าเศร้ามาก …
หลังจากที่ โยชิซึเนะ ได้ร่วมรบกับ ฟูจิวาระ โนะ โยริโมโตะ ผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา จนกระทั่งโยริโมโตะ ได้ครองอำนาจขึ้นมาเป็นใหญ่แล้ว … โยชิซึเนะ กลับถูก โยริโมโตะกล่าวหาว่าเป็นกบฏ และจบชีวิตด้วยการคว้านท้องตัวเองด้วยวัยเพียง 30 ปี
ในขณะที่ โยชิซึเนะ กำลังคว้านท้องตัวเองอยู่นั้น เบ็งเกก็ยืนปักหลักเฝ้าอยู่หน้าประตู ไม่ยอมให้ใครมาลบหลู่นายของตน และถูกทหารของโยริโมโตะ ที่บุกเข้ามาระดมยิงด้วยธนูจนเต็มร่าง และยืนตายอย่างทรนง ไม่ยอมล้มลงมา … การตายของเบ็งเก ได้รับการกล่าวขานเป็นตำนาน และถูกเรียกว่า “เบ็งเก ทะชิ โอโจ” แปลว่า การยืนตายแบบเบ็งเก
จุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของวัด คือ ห้องโถงใหญ่ ซึ่งสร้างยื่นออกมาจากหน้าผา ภายในเป็นที่ประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นคารพนับถือกันมากเพราะเชื่อว่าท่านศักดิ์สิทธิ์มาก
ในช่วงกว่าพันปีมาแล้วนี่เอง ที่มีผู้เดินทางมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อกราบไหว้ สักการะพระโพธิสัตว์พันกร (คือ เจ้าแม่กวนอิมของจีน เพียงแต่ในแบบฉบับญี่ปุ่น พระโพธิสัตว์แกนนอนเป็นเพศชาย 11 เศียร) ..
.. ว่ากันว่า พระโพธิสัตว์ของญี่ปุ่นมีเศียร 11 เศียร พระเนตร 11 คู่ พระกรจำนวน 1,000 กร และแขนจำนวนมากมายนี้ทกแทนด้วยสัญลักษณ์ 40 กร และเศียรที่อยู่ด้านบนสุดเป็นเศียรแบบพระพุทธรูปในแบบที่เราคุ้นเคย นั่นคือพระอมิตาภะพุทธเจ้า (พระพุทธเจ้าในอดีต) เพราะเชื่อกันว่าพระอวโลกิเตศวรเป็นพระโพธิสัตว์ประจำพระองค์ และตามความเชื่อ พระอมิตาภะพูทธเจ้านี่แหละที่ดลบันดาลให้พระโพธิสัตว์กวนอิมมีเศียร 11 เศียร และมีกร 1,000 กร เพื่อจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้ดังใจ
นอกจากนี้ ยังมีพระกษิตครร์โพธิสัตว์ และเทพเจ้าอื่นๆ
Omamori .. โอมาโมริ คือ เครื่องรางในศาสนาชินโตที่ผ่านการทำพิธีกรรมจากพระในวัด หรือศาลเจ้าต่างๆ เป็นของขลังที่เชื่อว่าให้ความสุข ความก้าวหน้า และช่วยป้องกันอันตรายแก่เจ้าของ ซึ่งนิยมพกติดตัวไปด้วยตลอดเวลา
โดยปกติแล้ว โอมาโมริจะถูกห่อด้วยผ้า และแนบกระดาษหรือเศษไม้ที่ผู้อธิษฐานเขียนข้อความเอาไว้ในห่อผ้า ซึ่งลักษณะการดีไซด์จะแตกต่างกันตามเอกลักษณ์ของสถานที่และเมืองที่สร้างของขลังขึ้นมา
โอมาโมริ จึงถือเป็นของที่ระลึกอย่างหนึ่ง ที่เหมาะสมกับการเป็นของฝากให้คนรู้ใจ
ระเบียงใหญ่กว้างขวางสร้างยื่นออกไปจากภูเขาสูงกว่า 12 เมตร เป็นจุดชมวิวที่สำคัญจุดหนึ่งในการชมใบไม้เปลี่ยนสี เรียกว่า “ลานเวทีวัดน้ำใส” .. ระเบียงไม้แห่งเดียวกันนี้เคยเป็นสถานที่ในการจัดแสดงต่างๆให้โชกุนชมมาแล้วในอดีต (ภาพด้านบน ถ่ายเมื่อปี คศ. 2014)
ตัวระเบียงสูงจากพื้นดินราว 15 เมตร สร้างด้วยการมีด้วยเสาไม้ซุงขนาดใหญ่ๆ 139 ต้นรองรับน้ำหนัก ผสมผสานกับการใช้คานไม้ยักษ์อีกมากมาย ที่ยึดโยงกันไว้ด้วยการเข้าลิ่ม และสิ่งที่น่าอัศจรรย์คือ สร้างโดยไม่ใช้ตะปูเลย
ในสมัยเอโดะ ช่วงแผ่นดินญี่ปุ่นรวมเป็นหนึ่งเดียว (คศ. 1600-1861) มีความเชื่อว่า ถ้าผู้ใดกระโดดจากระเบียงวัดแล้วรอดชีวิต ความปรารถนาของผู้นั้นจะสัมฤทธิ์ผล และมีผู้บันทึกไว้ว่า มีผู้มากระโดดถึง 234 คน สามารถรอดชีวิตถึงร้อยละ 85.4 สำหรับผู้เสียชีวิตก็จะได้เป็นเทพเจ้า … ในปี คศ. 1872 (ช่วงที่จักรพรรดิมีโองการให้ยกเลิกชนชั้นซามูไร) ทางรัฐบาลออกกฎหมายห้ามมิให้กระโดดจากระเบียงนี้อีกต่อไป
แม้ว่าสถาปัตยกรรมของวิหารจะมีความยิ่งใหญ่อลังการ ด้วยฝีมือการก่อสร้างงานไม้แบบโบราณอันน่าทึ่ง ไม่ใช้ตะปูสักตัวของวิหารแห่งนี้ แต่ยังคงรูปลักษณ์ที่เรียบง่าย ปราศจากงานปั้นแต่งหรือแกะสลักที่วิจิตรพิสดาร อีกทั้งสีสันที่เราเห็นส่วนใหญ่ก็เป็นสีสันแท้ๆของวัสดุที่นำมาใช้ประกอบเป็นวิหาร ทำให้กลมกลืนกับธรรมชาติและทัศนียภาพแวดล้อม
ด้วยเหตุนี้ ทำให้วัดคิโยมิสึได้รับการได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี 1994 อีกทั้งยังถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความมหัศจรรย์ของฝีมือมนุษย์ ซึ่งเคยได้รับการเสนอชื่อให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์แห่งโลกยุคใหม่อีกด้วย
ณ บริเวณระเบียงด้านหน้าของตัววิหารที่ไม่มีหลังคา และยื่นออกไปเหนือหุบเขา หากมองไปทางฝั่งเมืองจะเห็นทัศนียภาพของเมืองเกียวโต โดยมี เกียวโตทาวเวอร์ ตั้งตระหง่าน
ส่วนหากมองมาทางฝั่งวัดจะเห็นองค์เจดีย์สีแดงตั้งเด่นขึ้นมาในแมกไม้อยู่ไกลๆ … แต่เราสามารถเดินไปชมได้
ส่วนถ้ามองลงไปเบื้องล่างก็จะเห็นหลังคาของอาคารต่างๆ หุบเขาใบไม้แดง และมุมดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนมารอต่อคิวกันมากมายในแต่ละวัน
เมื่อเดินออกมาจากวิหารไปยังทางเดินเชื่อมลงไปเบื้องล่าง เมื่อหันกลับมายังวิหาร … จะมองเห็นเมืองเกียวโตอยู่ไกลออกไปลิบๆ แต่ในขณะเดียวกันจะมีภาพของวิหารใหญ่อย่างชัดเจนถนัดตา รวมถึงบางส่วนของเสาไม้ซุงที่รองรับเฉลียงวับๆแวมๆ ด้วยมีต้นไม้ขึ้นมาบดบังบางส่วน ให้มิติของการมองที่เหมือนตัววิหารลอยเด่นขึ้นมาท่ามกลางดงไม้
หลังคาของวิหารที่เห็นจากจุดนี้ รูปลักษณ์จะเหมือนหมวกขนาดใหญ่มากๆสวมทับพื้นที่อาคารด้านล่าง
จากทางเดินเล็กๆลาดลงมาจากพื้นที่ด้านบนนำลงมายังพื้นที่ใต้วิหาร ระหว่างทางมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ริมทาง … พื้นที่ใต้วิหารใหญ่มีธารน้ำไหลลงมายังบ่อน้ำสามสาย
วัดคิโยมิสึ … ชื่อนี้ แปลว่าน้ำบริสุทธิ์ เพราะมีน้ำตกโอโตวา (Otawa) ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นสายน้ำศักดิ์สิทธิ์ไหลผ่านเนินเขามายังบริเวณวัด … ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แต่ละวันมีชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติไปรอดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ทางวัดต่อท่อลงมาเป็น 3 สายกันเป็นจำนวนมาก เพื่ออธิษฐานขอพรให้ประสบความสำเร็จในการงาน มีสติปัญญาที่ดี และในเรื่องของความรัก
.. น้ำสายที่ 1 จะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา
.. น้ำสายที่ 2 จะสมหวังด้านความรัก
.. น้ำสายที่ 3 จะมีสุขภาพแข็งแรง
น้ำศักดิ์สิทธิ์นี้ใครจะดื่มสายไหนก็ได้ แต่ตามธรรมเนียมจะเลือกดื่มจากน้ำสายใดสายหนึ่งเท่านั้น ห้ามดื่มทั้ง 3 สายในคราวเดียวกัน โดยใช้กระบวยอันเล็กๆที่วางอยู่มารองน้ำ แต่เชื่อกันว่าถ้าจะให้สมหวังต้องอธิษฐานก่อนดื่ม ถ้าไม่อธิษฐานก็เป็นการดื่มแก้กระหายชื่นใจเท่านั้น
หน้าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มีร้านเล็กๆขายอาหารเบาๆ ที่ขึ้นชื่อคือเต้าหู้เย็น มีที่นั่งเก๋ไก๋แบบญี่ปุ่นให้ลูกค้านั่งทาน
.. ว่ากันว่า เต้าหู้จิ้มน้ำซอสที่นี่อร่อยขั้นเทพกว่าที่อื่นๆก็เพราะเอาน้ำศักดิ์สิทธิ์มาเป็นส่วนประกอบ … จริงมั๊ยนี่? ใครรู้จริงช่วยบอกที
เดินตามทางต่อมาอีกหน่อย มองขึ้นไปด้านบนจะเห็นเสาต้นใหญ่ๆที่ใช้รองรับน้ำหนักของระเบียงไม้ด้านบน ซึ่งมีต้นไม้ขึ้นคลุมด้านล่างส่วนที่ติดพื้นดินเอาไว้ … เห็นความสูงแล้วต้องร้อง อู้หู้ๆๆ
ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ใบของต้นเมเปิ้ลจะเปลี่ยนเป็นสีแดงส้มเหลือง ต้นไม้อื่นก็เช่นเดียวกัน… ป่าขนาดย่อมที่อยู่ด้านล่างของระเบียงวัดจะสวยงามมากมาย จึงเป็นแหล่งที่จะไปเฝ้าชมใบไม้ที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านฤดูกาลได้อย่างสวยงามแห่งหนึ่งของเกียวโต
ในช่วงสองสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน ซึ่งเป็นช่วงที่ใบไม้สวยที่สุด ทางวัดจึงจัดให้มีการประดับไฟทั่วบริเวณ … ความมลังเมลืองของอาคาสีแดงที่มีไฟส่อง และมีความมืดเป็นฉากหลังนั้น สวยมากๆ
ในยามที่ดวงอาทิตย์ลับของฟ้าไปแล้ว … ภาพอาคารในมุมต่างๆของวัดที่มีแสงไฟส่องให้มลังเมลืองนั้น งดงามมาก ราวกับจำลองสวรรค์ให้มาอยู่ ณ จุดนี้
นอกจากตัววิหารหลักแล้วที่วัดแห่งนี้ยังมีสิ่งอื่นที่น่าสนใจ ได้แก่
ศาลเจ้าจิชู (Jishu-Jinja) … เชื่อกันว่า เป็นที่สิงสถิตของเทพเจ้า OkuninuShino Mikoto ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งความรักและความราบรื่นในชีวิตแต่งงาน … ที่ไม่เคยว่างเว้นจากการที่คู่รักและหนุ่มสาวมาขอพร
ในบริเวณลานของศาลเจ้ายังมี “ก้อนหินแห่งความรัก” ที่ตั้งอยู่ภายในบริเวณศาลเจ้าจิชูเป็นก้อนหิน 2 ก้อนตั้งอยู่ห่างกันประมาณ 18 เมตร … เชื่อกันว่าถ้าใครเอามือแตะลงไปที่หินก้อนแรก แล้วเดินหลับตาแล้วสามารถเดินจากหินก้อนหนึ่งไปยังอีกก้อนหนึ่งได้ก็จะได้พบกับเนื้อคู่ของตนเอง สมหวังในความรักในเร็ววัน ซึ่งในแต่ละวันก็จะมีคนมาลองเสี่ยงทายกันไม่น้อย
การเดินหลับตาพิสูจน์รักนี่ทำให้ใครหลายๆ คนเรียกหิน 2 ก้อนนี้ว่า “หินตาบอด” เพราะต้องหลับตาเดินเดินหลับตาพิสูจน์รักที่นี่แล้วก็อดนึกถึงคำกล่าวที่ว่า “ความรักทำให้คนตาบอด” ไม่ได้
ในมุมหนึ่งของศาลเจ้า มักจะเห็นคลาคล่ำไปด้วยหนุ่มสาวและวัยรุ่นที่มาเสี่ยงทายเซียมซี .. หากได้ใบที่เสี่ยงทายออกมาไม่ดี คนญี่ปุ่นก็จะผูกไว้ที่ศาลเจ้า ในบริเวณนั้นมีรูปเทพเจ้าแห่งความรักและกระต่าย ซึ่งเชื่อว่าเป็นบุรุษไปรษณีย์แห่งความรัก และอีกด้านเป็นใบอธิษฐานเรื่องความรัก .. คล้ายๆกับจดหมายถึงเทพเจ้า เพื่อให้คำอธิษฐานที่ขอเอาไว้เป็นจริง
อ้อ .. มีคนบอกว่า ที่นี่ศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการมาขอพรให้มีลูกด้วยค่ะ โดยต้องซื้อเครื่องรางไปบูชา อยากมีเจ้าตัวน้อยให้วุ่นวายในบ้าน ก็ต้องลงทุนกันหน่อยล่ะค่ะ
ภายในศาลเจ้า มีเครื่องรางทีเกี่ยวกับความรักวางขายในหลากหลายรูปแบบ
ทิวทัศน์ของวัดน้ำใส เมื่อมองจากระเบียงของศาลเจ้า ก็สวยงามมากค่ะ
*******************
เที่ยวทั่วไทย ไปทั่วโลกกับพี่สุ … รวม link บทความที่เขียนในเพจ ..
***เมืองไทย ไดอารี่ by Supawan
***Supawan’s colorful world
***สถานีอร่อย by Supawan
โฆษณา