10 พ.ย. 2021 เวลา 07:44 • ประวัติศาสตร์
• จักรวรรดิฮิตไทต์
มหาอำนาจแห่งดินแดนอนาโตเลีย
ถ้าหากนึกถึงจักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ในอารยธรรมตะวันตกยุคโบราณ แอดมินเชื่อว่าหลายคนน่าจะนึกถึงอารยธรรมอย่างเช่น อียิปต์ กรีก รวมไปถึงโรมัน
โดยในบทความนี้ แอดมินจะขอนำทุกท่านไปทำความรู้จักกับหนึ่งในจักรวรรดิที่มีความยิ่งใหญ่ในโลกยุคโบราณเช่นกัน จักรวรรดิที่ถือได้ว่าเป็นคู่ปรับสำคัญของอียิปต์โบราณ และนี่ก็คือเรื่องราวของจักรวรรดิฮิตไทต์ (Hittite Empire) มหาอำนาจแห่งดินแดนอนาโตเลีย
สำหรับเรื่องราวของจักรวรรดิฮิตไทต์นั้น ได้ถูกเปิดเผยและเป็นที่รู้จักครั้งแรกในปี 1906 จากการที่นักโบราณคดีได้ค้นพบแผ่นสลักดินเหนียวที่จารึกตัวอักษรลิ่ม (อักษรคูนิฟอร์ม Cuneiform) ที่ประเทศตุรกี ซึ่งจุดที่ค้นพบแผ่นดินเหนียวนี้ ก็คือบริเวณที่ตั้งของนครฮัตตูซา (Hattusa) อันเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิฮิตไทต์ ก่อนที่จะมีการค้นพบโบราณสถานของชาวฮิตไทต์ในเวลาต่อมา
1
นอกเหนือจากหลักฐานทางโบราณคดี เรื่องราวของจักรวรรดิฮิตไทต์ ก็ได้ถูกบอกเล่าทั้งในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเก่า รวมไปถึงในจารึกของชาวอียิปต์โบราณอีกด้วย
นักประวัติศาสตร์สัณนิษฐานว่า ชาวฮิตไทต์ไม่ได้เป็นกลุ่มชนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ในดินแดนอนาโตเลีย (ตุรกีในปัจจุบัน) โดยเชื่อว่าชาวฮิตไทต์เดิมทีอาศัยอยู่ในแถบทะเลดำ ในบริเวณประเทศยูเครน ก่อนที่พวกเขาจะอพยพเข้ามาในอนาโตเลียในช่วง 2000 ปีก่อนคริสตกาล
อาณาเขตของจักรวรรดิฮิตไทต์
ต่อมาในราว 1900 ปีก่อนคริสตกาล ชาวฮิตไทต์ก็ได้เริ่มเข้าครอบครองดินแดนอนาโตเลีย โดยการบุกยึดครองอาณาจักรต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ในอนาโตเลีย ทั้งการทำศึกสงครามและวิธีการทูต จนนำไปสู่การก่อตั้งจักรวรรดิของชาวฮิตไทต์
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวฮิตไทต์สามารถเอาชนะอาณาจักรต่าง ๆ และขยายอำนาจจนเป็นจักรวรรดิ ก็มาเทคโนโลยีการรบที่เหนือชั้นของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นการใช้รถม้าศึก รวมไปถึงการที่ชาวฮิตไทต์เป็นชนชาติแรกที่ได้นำเหล็กมาผลิตเป็นอาวุธ
นอกจากนี้ จักรวรรดิฮิตไทต์ยังถือเป็นชนชาติแรกที่มีระบบการปกครองแบบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) เพราะกษัตริย์ของฮิตไทต์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มขุนนางที่เรียกว่า Pankus โดย Pankus จะทำหน้าที่ตรวจสอบว่า กษัตริย์ปฏิบัติตามกฎหมายจารีตหรือไม่ และยังมีอำนาจแต่งตั้งและถอดถอนกษัตริย์ได้ในกรณีที่จำเป็น
ซุ้มประตูสิงห์ในนครฮัตตูซา
จักรวรรดิฮิตไทต์รุ่งเรืองถึงขีดสุดในช่วง 1400 จนถึง 1300 ปีก่อนคริสตกาล โดยอาณาเขตของจักรวรรดิครอบครองพื้นที่อนาโตเลียทั้งหมด ทะเลอีเจียนในดินแดนกรีก ตะวันตกของแม่น้ำยูเฟรติสในเมโสโปเตเมีย และยังขยายอำนาจเข้าไปในซีเรียและคานาอัน (อิสราเอลในปัจจุบัน)
ซึ่งการขยายอำนาจของจักรวรรดิฮิตไทต์เข้าไปในซีเรียและคานาอัน ก็คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ฮิตไทต์มีความขัดแย้งกับอียิปต์ จนนำไปสู่สงครามของทั้งสองที่กินเวลายาวนานกว่าหลายศตวรรษ
โดยศึกครั้งใหญ่ที่สุดของทั้งสอง เกิดขึ้นในการรบที่คาเดส (Battle of Kadesh ปัจจุบันคือบริเวณพรมแดนระหว่างซีเรียกับเลบานอน) เมื่อ 1274 ปีก่อนคริสตกาล ซึ่งอียิปต์เป็นฝ่ายชนะในศึกครั้งนี้ หลังการศึกที่คาเดส อียิปต์และฮิตไทต์ก็ได้ทำสนธิสัญญา Eternal Treaty เพื่อยุติสงครามของทั้งสองฝ่าย สนธิสัญญานี้ยังถือเป็นสนธิสัญญาที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในโลก
Eternal Treaty สนธิสัญญาที่เก่าแก่มากที่สุดในโลก
จักรวรรดิฮิตไทต์เริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อมถอยในราว 1200 ปีก่อนคริสตกาล โดยมีปัจจัยสำคัญจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ และสภาวะขาดแคลนอาหาร โดยชาวอียิปต์ได้บันทึกไว้ว่า ในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 ฮิตไทต์ได้นำธัญพืชจากอียิปต์เป็นจำนวนมาก
นอกเหนือจากปัจจัยด้านธรรมชาติ ฮิตไทต์ยังถูกรุกรานโดยกลุ่มต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มชนลึกลับอย่างชาวทะเล (Sea People เป็นกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในเกาะแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อียิปต์ก็เคยถูกกลุ่มชนนี้รุกรานเช่นกัน) รวมไปถึงกลุ่มชนในอนาโตเลียที่เรียกว่า ชาวแคสเคียน (Kaskian)
ผลสุดท้ายกษัตริย์องค์สุดท้ายของฮิตไทต์นามว่า ซุปปิลูลิอูมาที่ 2 (Suppiluliuma II) ได้หลบหนีออกจากนครฮัตตูซา บ้านเมืองของชาวฮิตไทต์ถูกทำลายจนราบคาบ นำไปสู่จุดจบของจักรวรรดิฮิตไทต์ในราว 1180 ปีก่อนคริสตกาล
*** Reference
#HistofunDeluxe
โฆษณา