10 พ.ย. 2021 เวลา 14:19 • ประวัติศาสตร์
ผมมองว่าการที่เราจะมีความสามารถในการเข้าใจความเป็นไปของสิ่งรอบตัวที่ในที่สุดก็จะมีผลกระทบต่อเราไม่ทางตรงก็ทางอ้อม การเรียนรู้จากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์จึงมีความสำคัญ
อย่างยิ่ง
1) การเมือง - มีคุณยายอายุประมาณเก้าสิบกว่าๆท่านหนึ่งเล่าให้หลานชายของเธอฟังว่าในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองตอนที่คุณยายชาวเยอรมันท่านนี้ยังเป็นเด็ก เธอเล่าว่าตอนนั้นเธอและเพื่อนส่วนใหญ่ต้องกินแครอทเป็นอาหาร แต่มีเด็กที่มีฐานะได้มีโอกาสกินอาหารชั้นเลิศที่ดีกว่าแครอท ของกินที่ว่านั้นในยุคปัจจุบันถือเป็นอาหารโปรตีนที่มีราคาถูกที่สุดชนิดหนึ่ง นั่นคือไข่ไก่ครับ
ภาวะสงครามครั้งใหม่จะมาเยือนอีกเมื่อไหร่ยังไม่อาจรู้ได้ แต่การพึ่งพาตัวเองทางอาหาร (food security) จากทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงนั้น คือทางออกที่ดีที่สุดทางหนึ่งครับ
2) เศรษฐกิจ - ในปี 1997 ประเทศไทยมีวิกฤตต้มยำกุ้ง ในปี 2008 มีวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่ประเทศมหาอำนาจประเทศนั้น ในปี 2020 เศรษฐกิจโลกถดถอยเพราะ Covid-19 และแน่นอนว่า the next big thing is on the way
3) สังคม - มีข่าวการเสียชีวิตของชาวผิวสีให้เห็นอยู่หลายครั้ง และนำมาซึ่งความไม่สงบในชุมชนเนื่องจากการประท้วง จนแม้แต่ชาวเมืองเชื้อสายเอเชีย ยังได้รับผลกระทบ
ผมได้ดูภาพยนตร์ที่สร้างจากเรื่องจริงเรื่องหนึ่งที่คาดว่าเกิดในยุค 50s เป็นเรื่องของสุภาพสตรีผิวสีที่มีความสามารถทางวิทยาศาสตร์และได้ทำงานให้กับองค์กรทางอวกาศที่เลื่องชื่อที่สุด แต่ในยุคนั้นยังมีการแบ่งแยกห้องนำ้ระหว่างชาวผิวสีกับคนผิวขาว! ซึ่งแสดงให้เห็นที่มาของการแบ่งแยกทางเชื้อชาติที่มีมานานแล้วในประวัติศาสตร์
4) ภัยธรรมชาติ - ช่วงที่ tsunami เกิดขึ้นที่ภูเก็ต มีผู้เสียชีวิตประมาณห้าพันคน มีอยู่สองเหตุการณ์ที่มีผู้รอดชีวิต
4.1) เด็กชาวต่างชาติได้รับการสอนในโรงเรียนเรื่อง tsunami โดยเด็กคนนั้นบอกผู้คนรอบข้างให้หนีห่างจากบริเวณชายหาดเมื่อเธอพบว่า นำ้ทะเลเริ่มลดระดับลงอย่างผิดปกติ ก่อนที่คลื่นใหญ่จะซัดเข้าฝั่ง
4.2) เด็กชาวพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ริมทะเล สังเกตเห็นการลดระดับของนำ้ทะเลอย่างผิดปกติเช่นกัน แล้วพากันขึ้นที่สูงเพราะบรรพบุรุษได้เล่าสืบต่อกันมาเรื่องภัยธรรมชาติที่จะมาเมื่อนำ้ทะเลลดระดับอย่างรวดเร็วผิดปกติ
การสืบต่อความรู้ทางประวัติศาสตร์จึงสามารถช่วยชีวิตได้
โฆษณา