11 พ.ย. 2021 เวลา 13:01 • ครอบครัว & เด็ก
ตอนที่ 10 : ‘น้องเน่า’ เพื่อนสนิทข้างกายเวลานอน….ที่จู่ ๆ ก็โดนเอาไปทิ้ง จนต้องวิ่งไปร้องไห้หน้าบ้าน!
อะ! เห็นชื่อหัวข้อวันนี้กันแล้วก็คงเดากันได้นะคะว่า เรื่องราวที่จะเล่าดังต่อไปนี้ มันจะต้องเป็นเรื่องที่ต้องมีหลั่งน้ำตากันบ้างล่ะ แต่มันไม่ใช่การหลั่งน้ำตาที่มาจากความเศร้าโศกในวัยรุ่น แต่เป็นเรื่องราวความเศร้าในวัยเด็ก ที่บอกเลยว่าเป็นหนึ่งในไม่กี่เรื่องที่ทำให้ดิฉันร้องไห้แบบแหกปากเสียสติประหนึ่งรับบทเป็นนาง ดราม่าในละครได้ถึงขนาด ‘วิ่งไปร้องไห้หน้าบ้าน’ 555555 ซึ่งถึงแม้เหตุการณ์นี้จะดูกลายเป็นเรื่องตลกขำขันสำหรับใครหลายคน แต่สำหรับเด็กน้อยอย่างดิฉันแล้ว เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำให้ดิฉันโกรธและเศร้าใจมากอีกเรื่องนึงเลย แต่ในอีกมุมนึงมันก็เป็นเหมือน turning point เล็ก ๆ ที่ทำให้เรารู้จักการ ‘move on’ แล้วก็เริ่มทำให้เราเป็นคนใช้ชีวิตง่ายด้วยเหมือนกันนั่นแหละ
เรามาทำความรู้จักเจ้า ‘น้องเน่า’ ของดิฉันกันก่อนดีกว่า
‘น้องเน่า’ ของดิฉัน….เอาจริง ๆ แล้วมันก็ให้อารมณ์เหมือนกับ ‘หมอนเน่า’ หรือ ‘ตุ๊กตาเน่า’ หรือ ‘ผ้าห่มเน่า’ ของใครหลาย ๆ คนนั่นแหละค่ะ ก็คือเป็นวัตถุชนิดหนึ่งที่เราต้องมีไว้กอดนอนทุกคืน หรืออาจไม่ต้องกอดก็ได้ แต่อย่างน้อยที่สุดต้องมีไว้ข้าง ๆ เราบนเตียงอะ 55555
หมอนเน่าของดิฉันเป็นน้องทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กค่ะ คร้ังก่อนมันเคยเป็นหมอนเอาไว้หนุนหัวนอนในสมัยที่ดิฉันเป็นเด็กน้อยวัยละอ่อน และดิฉันจะมีน้องผ้าอ้อมเป็น ‘น้องเน่า’ แทนในสมัยนั้น เพราะว่าดิฉันชอบสัมผัสเวลาที่เราเอานิ้วไปสัมผัสที่ขอบของผ้าอ้อม มันเป็นสัมผัสที่ทำให้ดิฉันรู้สึกติดใจและอยากทำมันอยู่เรื่อง ๆ จนกลายเป็นสิ่งเสพติดที่จะต้องทำตอนนอนทุกคืน ดิฉันจะชอบทำมือเป็นเหมือนตะเกียบ และเอาขอบผ้าอ้อมวางไว้อยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง แล้วก็ใช้นิ้วกลางถูขอบผ้านั้นไปตรงข้อต่อของนิ้วชี้แบบนี้ซ้ำไปซ้ำมา แปลกดีใช่มั้ยคะ 5555 และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ดิฉันติดผ้าอ้อมนี่หนักมาก แต่พอดิฉันเริ่มโตขึ้น ก็เริ่มมีความรู้สึกแอบอายเล็ก ๆ แหละค่ะ เพราะ ‘เด็กโต ๆ เค้าไม่กอดผ้าอ้อมกันหรอก’ ดิฉันก็เลยเลิกกอดผ้าอ้อมมานับแต่นั้น
และผ้าอ้อมด้านหลังก็คือน้องเน่าอันแรกของดิฉันนั่นเองค่ะ! (ใช่ค่ะ มันอยู่กับดิฉันมานานตั้งแต่ตอนที่หน้าตาดิฉันยังเป็น ET แบบนี้เลยนะ 5555)
แต่ด้วยความเคยชินกับการมีสิ่งบางอย่างกอดเวลานอนนี่แหละ จากผ้าอ้อมจิ๋ว มันก็พัฒนามากลายเป็นของชิ้นใหญ่หน่อยอย่างน้องหมอนเน่านี่แหละค่ะ เพราะว่าดิฉันเพิ่งมาค้นพบว่าน้องมีขนาดพอดีมากแก่การกอดนอน รวมถึงมันมีกลิ่นและสัมผัสบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึก safe รู้สึกว่านี่มันเป็นที่ของเรา ทำให้เรารู้สึกอุ่นใจและสบายใจเวลานอน
และเนื่องจากว่าน้องหมอนเน่าคนนี้อยู่กับดิฉันมาตั้งแต่สมัยรัตติกาล น้องก็จะความ ‘ใกล้สิ้นสภาพ’ อยู่ประมาณนึง เพราะนุ่นที่อยุ่ข้างในน้องนั้นเริ่มหดหายไปเรื่อย ๆ จนบริเวณตรงกลางของน้องก็คือเป็นเหมือนผ้าสองชิ้นประกบกันฟีบ ๆ และไร้ซึ่งสัมผัสความนุ่มนิ่มเหมือนหมอนปกติ ความนุ่มนิ่มที่พอหลงเหลืออยู่ก็จะอยู่ตรงบริเวณหัวและท้ายของน้องเท่านั้น รูปร่างเหมือนกระดูกหมา 55555 ซึ่งถึงแม้ว่าน้องจะมีสภาพเหลวแหลกสักเพียงใด ดิฉันก็ยังคงรักและหวงแหนน้องหมอนเน่าคนนี้เป็นอย่างยิ่ง และไม่ยอมให้ใครผู้ใดมาพรากน้องไปจากดิฉัน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
เจ้าคุณแม่ก็พยายามพูดหว่านล้อมกับดิฉันหลายรอบค่ะ เพื่อจะได้เอาน้องหมอนเน่านี่ไปทิ้งเสียที เพราะมันทั้งเก่าและสกปรก ไม่อยากให้ดิฉันต้องแปกเปื้อนเชื้อโรคหรือแบคทีเรียที่อยู่ในหมอนนั่น แต่ดิฉันก็ยังคงยืนกราน ไม่นอกใจน้องเน่าคนนี้ และใช้ชีวิตยามกลางคืนกับน้องทุกวันต่อไป
จนกระทั่งวันนึงเจ้าคุณแม่ก็เอาน้องเน่าของดิฉันมาซักค่ะ แล้วก็พบว่าน้องอยู่ในสภาพที่ซักไม่ได้แล้ว และก็เจอ ‘แมลง’ บางอย่างอยู่ในน้องเน่านั้น นางก็เลยรีบทิ้งน้องคนนี้ไปด้วยความกลัวเจ้าสิ่งสกปรกนั่นแหละค่ะ และก็ได้บอกดิฉันว่าได้ทำการทิ้งน้องไปแล้วเพราะมีแมลงอยู่ในน้องเน่านั้น ซึ่งดิฉันก็จำยอมแหละค่ะ ไม่ได้โวยวายตอบกลับไป เพราะถ้ามันถึงขั้นมี ‘แมลง’ อยู่ในหมอนนั่นแล้ว มันก็คงถึงแก่อายุไขของน้องแล้วจริง ๆ
เจ้าคุณแม่ก็เลยแก้ไขปัญหาโดยการเอาหมอนหนุนสมัยเด็กของแฝดดิฉันมาแทนที่น้องเน่าคนก่อน (แฝดน้องของดิฉันไม่เป็นโรคติดน้องเน่าแหละค่ะ ทำได้ไงก็ไม่รู้ 5555) ซึ่งถ้่ให้พูดตามตรงดิฉันก็ยังรู้สึกโอเคอยู่นะ เพราะขนาดของน้องคนนี้เท่ากับน้องคนเก่าเป๊ะ แม้ว่ากลิ่นอาจไม่ได้เหมือนกับน้องคนเก่ามาก แต่มันก็พอไปด้วยกันได้เพราะหมอนใบนี้ก็ผ่านร้อนผ่านหนาวมาคล้าย ๆ กันกับน้องคนก่อนแหละ กลิ่นมันก็เลยพอแทนกันได้ ส่วนรูปร่างนั้น...แม้ว่าจะไม่เหลวสลายเหมือนน้องคนเก่า แต่เดี๋ยวพอมันมาอยู่กับดิฉัน มันก็จะค่อย ๆ ย่อยสลายกลายเป็นหมอนทรงกระดูกหมาไปเองนั่นแหละ 5555 ซึ่งมันก็เปลี่ยนรูปไปเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ในเวลาต่อมา
ดิฉันกับน้องเน่าคนใหม่ก็ใช้ชีวิตอยู่รวมกันมาจนโตระดับนึงแหละค่ะ จนตอนนี้มันได้กลายหนึ่งใน safe zone ของดิฉัน เป็นเหมือนสิ่งเสพติดที่จะต้องมีอยู่ข้าง ๆ เวลานอนทุกคืน
และเช่นเดิมล่ะค่ะ เมื่อเจ้าคุณแม่ของดิฉันเริ่มโน้มน้าว หว่านล้อม หรือพูดถึงการทิ้งน้องเน่าขึ้นเมื่อไหร่ ดิฉันก็ยังคงปฏิเสธอย่างหนักแน่น ว่ายังไงน้องเน่าคนนี้ก็จะต้องอยู่กับดิฉันต่อไป และไม่มีใครมีสิทธิทำร้ายหรือทิ้งน้องเน่าไปจากดิฉันได้ เพราะดิฉัน ‘ไม่อนุญาต’
แต่สุดท้ายเวลานั้นก็ต้องมาถึงจนได้ล่ะค่ะ…..
ตอนนั้นดิฉันน่าจะอยู่สักประมาณประถมสามหรือประถามสี่ (ใช่ค่ะ จนป.ปลายแล้วดิฉันก็ยังเลิกกอดน้องเน่านี่ไม่เลิกนั่นแหละ 55555) เจ้าคุณแม่ก็มารับดิฉันกับแฝดน้องกลับบ้านตอนเย็นตามปกติ นางก็ไม่ได้พูดอะไรระหว่างที่ขับรถกลับมาถึงบ้าน ดิฉันก็ใช้ชีวิตตามปกติเลย กลับมาถึงบ้านก็อาบน้ำ กินข้าวเย็น ทำการบ้าน ตามวิถีชีวิตประจำวันสมัยเด็กประถม
จนกระทั่งดิฉันทำการบ้านเสร็จและกำลังจะนอนนี่แหละ! เมื่อดิฉันเปิดผ้าคลุมเตียงออกเพื่อกำลังจะเอนกายลงบนเตียงอันแสนอุ่นนุ่มพร้อมกับฟัดและกอดน้องเน่า ดิฉันก็ได้ค้บพบว่า ‘น้องเน่าได้หายไปแล้ว’
ดิฉันก็ตกใจค่ะ จำได้ว่าในใจตอนนั้นร้อนรนอยู่พอสมควรเหมือนกัน ก็เลยวิ่งออกจากห้องไปหาแม่ แล้วถามว่าน้องเน่าอยู่ไหน เผื่อว่านางกำลังเอาไปซักอยู่ แต่ผลปรากฎว่าเจ้าคุณแม่ก็พูดกับดิฉันด้วยน้ำเสียงปกติว่า ‘นางได้เอาน้องเน่าของดิฉันทิ้งถังขยะไปแล้วตั้งแต่บ่าย’
ดราม่าซีน แอคชั่น!
ดิฉันวิ่งลงจากชั้นสองของบ้านลงมาอย่างไม่สนอะไรทั้งสิ้นในกลางดึกวันนั้น จำได้ว่าน่าจะประมาณสองสามทุ่มซึ่งคุณป้าของดิฉันได้ปิดบ้านและเปิดสัญญาณกันขโมยเรียบร้อยแล้ว ดิฉันวิ่งลงมาจากบันได 17 ขั้นและไล่เปิดประตูที่ถูกล็อคเอาไว้ทุกบานเพื่อวิ่งออกไปหน้าประตูบ้าน ในใจตอนนั้นคือคิดว่าต้องวิ่งไปหาถังขยะหน้าบ้านเพื่อจะไปคุ้ยน้องเน่ากลับมาให้ได้ และเมื่อดิฉันสามารถฟันฝ่าเปิดประตูทุกบ้านจนมาถึงประตูหน้าบ้าน ดิฉันก็ทำการเปิดประตูหน้าบ้าน และสัญญาณกันขโมยก็ดังขึ้น ซึ่งตอนนั้นดิฉันก็ยังไม่รู้หรอกว่าเสียงที่ได้ยินนั้นเรียกว่าสัญญาณกันขโมยและเป็นเสียงที่มาจากบ้านตัวเอง (ดิฉันคิดว่ามันเป็นเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นในเวลานั้นพอดี ซึ่งไม่น่าเกี่ยวกับเรา) และกำลังจะวิ่งไปเปิดประตูรั้วหน้าบ้านเพื่อไปคุ้ยถังขยะด้านนอก
ประตูทางผ่าน 1 และประตูทางผ่าน 2 หลังจากลงบันไดมาแล้วกว่า 17 ขั้น
เจ้าคุณแม่และเจ้าคุณพ่อรีบวิ่งตามลงมาอย่างกระชั้นชิดจนมาถึงลานหน้าบ้าน แล้วก็ตะโกนถามดิฉันว่าจะไปทำอะไร ดิฉันก็ตะโกนตอบกลับไปด้วยความซื่อตรงว่าจะวิ่งลงไปคุ้ยน้องเน่าที่ถังขยะหน้าบ้านด้วยสภาพน้ำตาคลอเบ้า เจ้าคุณแม่ก็บอกดิฉันว่ามันไม่อยู่แล้ว มันไปกับรถขยะตั้งแต่บ่ายแล้ว มันไม่มีทางกลับมาได้แล้ว ดิฉันก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิมอีก ในใจตอนนั้นคือเสียใจและโกรธมากที่พวกเขาทำกับดิฉันแบบนี้ แต่สุดท้ายดิฉันก็ต้องจำยอมรับชะตากรรมที่เกิดขึ้นล่ะค่ะว่ามันได้จากเราไปแล้วจริง ๆ น้องเน่าตัวนั้นไม่มีทางกลับมาอีกแล้วจริง ๆ ดิฉันก็เลยเริ่มเย็นลง แล้วก็จำยอมเดินกลับเข้าบ้านด้วยสีหน้าหงอย ๆ
เจ้าคุณแม่ก็พยายามบอกว่าเดี๋ยวซื้อหมอนเล็กใบใหม่ให้ แต่ในใจดิฉันก็คงยังคงอยากได้น้องตัวเดิมกลับมา เพราะถึงแม้มันจะเป็นหมอนเล็กทรงเหมือนกัน มัน ‘ก็ไม่เหมือนน้องเน่าใบเก่าอยู่ดี’ ซึ่งดิฉันเชื่อว่าคนที่มีน้องเน่าจะเข้าใจความรู้สึกนี้ดี แต่ในสถานการณ์นั้นถึงแม้ว่าจะพูดสิ่งนั้นออกไปน้องเน่าก็คงไม่กลับมาอยู่ดี ดิฉันก็เลยไม่ได้พูดออกไป
พวกป้า ๆ ก็เดินลงมาดูล่ะค่ะว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นเพราะสัญญาณกันขโมยดัง และพอได้รู้ว่าดิฉันเป็นคนทำให้มันดัง พวกนางก็มีขำ ๆ กันบ้างแหละค่ะ ซึ่งถ้าให้พูดในตอนนั้นเลยดิฉันบอกตามตรงเลยค่ะว่าไม่รู้สึกเอนจอยกับการขำของพวกเขาเลยสักนิด เพราะพวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าสิ่งนี้มันมีความหมายกับดิฉันเพียงใด แต่เนื่องด้วยว่าพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ ดิฉันก็ทำได้แต่เพียงนิ่งเงียบและไม่พูดอะไร
ในคืนวันนั้นดิฉันก็เข้านอนแบบเศร้า ๆ ล่ะค่ะ ในใจก็รู้สึกเสียใจที่น้องไปจากเราแล้ว มันเหมือน comfort zone เล็ก ๆ ของเราหรือหนึ่งสิ่งที่เรา relate ที่สุดได้หายไปจากเราแล้ว ก็ยอมรับว่ามันก็รู้สึกโหวงเหวงหน่อย ๆ ตอนนอน แต่ก็พยายามทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองหลับ ซึ่งสุดท้ายแล้วดิฉันก็ทำสำเร็จจนได้แหละค่ะ
อีกประมาณสองสามวันต่อมาเจ้าคุณแม่และคุณพ่อก็ไปซื้อหมอนเล็กใบใหม่ให้ดิฉันล่ะค่ะ ซึ่งบอกตามตรงในใจตอนนั้นก็รู้สึกกลาง ๆ เหมือนเป็นความรู้สึกเศร้าจนมันชินชาไปแล้วมั้ง ไม่ได้รู้สึกดีใจที่ได้น้องใบใหม่มาเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่ก็มีน้องใบใหม่มาเติมช่องว่างแล้ว ดิฉันก็คงต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับของชิ้นใหม่นี้ต่อไปนั่นแหละ ซึ่งสุดท้ายมันก็พอทดแทนน้องใบเก่าได้ประมาณนึงนะ…..แต่มันก็ยังไม่ใช่ ‘น้องเน่า’ ของเราอยู่ดี
ดิฉันก็เลยเลิกกอดน้องเน่าไปเลยนับจากนั้น ดิฉันได้ตัดสินใจโละน้องคนนั้นออกไปจากเตียงเองในช่วงจัดเตียงใหม่ ด้วยความรู้สึกที่ว่าไม่จำเป็นต้องใช้มันแล้วเพราะเหตุผลบางอย่าง (ที่ตัวเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร 55555)
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์นั้นดิฉันก็เริ่มป็นคนอยู่ง่ายกินง่ายขึ้น เวลาไปค่ายของโรงเรียนก็สามารถนอนที่ไหนก็ได้แบบไม่บ่นอะไร ดิฉันเริ่มกลายเป็นคนไม่เรื่องเยอะ แล้วก็เริ่มยอมคนง่ายขึ้น ซึ่งถามว่ามันเป็นข้อดีมั้ย...มันก็มีข้อดีอยู่เหมือนกันตรงที่มันก็ทำให้เราอยู่ง่ายขึ้นจริง ๆ เพราะเราไม่ได้สร้างเงื่อนไขอะไรให้กับชีวิตเยอะ เราก็เริ่มสตรองและอยู่ได้ด้วยตัวเองมากขึ้น เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็ทำให้เรามีความสุขกับชีวิตง่ายขึ้นประมาณนึงนะ และก็เวลาเราเจออุปสรรคอะไรที่มันไม่เป็นดั่งใจเรา เราก็มีวิธีจัดการทำยังไงก็ได้ให้เราอยู่ได้ เพราะเราจะไม่ยอมให้เหตุการณ์แย่ ๆ แบบนี้มาทำอะไรเราได้
หลายคนอ่านมาจนถึงตอนนี้อาจแอบรู้สึกมาคุเล็ก ๆ นะคะ 555555 แต่ดิฉันบอกไว้ก่อนเลยว่าจนถึงตอนนี้ดิฉันก็ไม่ได้อะไรกับเหตุการณ์นี้แล้วนะคะ ถึงแม้ว่าความรู้สึกนี้จะเกิดขึ้นกับเราจริง ๆ ก็ตาม แต่ว่าเราก็ไม่ได้ไปถือสาอะไรแล้วแหละ เพราะเราเชื่อว่าเหตุการณ์ดราม่าร้องไห้หน้าบ้านนี้ก็ทำให้ใครหลายคนเห็นแล้วแหละว่าน้องเน่านั้นสำคัญกับเราแค่ไหน ซึ่งนั่นก็โอเคแล้ว 5555555 เพราะถ้าจะไปขุดคุ้ยสาวหาตะเข็บเราก็ไม่รู้ว่าจะทำไปเพื่ออะไรอยู่ดี และมันน่าจะไม่ได้ทำให้เรารู้สึกดีขึ้นจากตรงนั้นเท่าไหร่ด้วย
เหตุการณ์ทุกอย่างมันก็มี pros and cons ของมันแหละค่ะ และสุดท้ายแล้วมันก็ทำให้เราเติบโตมาเป็นเราทุกวันนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ซึ่งนั่นก็คือชีวิตนั่นเอง! 55555555 เรื่องราวน้องเน่านี่ก็เลยถือเป็นอีก turning point เล็ก ๆ ของดิฉันที่ก็อยากจะเขียนเก็บเอาไว้แหละค่ะ ถือว่าเป็นเรื่องราวในมุม soft ของตัวเอง เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ condition น้อย ๆ ที่น่ารักของเราที่เคยมี และยินดีที่จะมีละกัน :)
โฆษณา