11 พ.ย. 2021 เวลา 15:31 • ไลฟ์สไตล์
123วันท้าลดน้ำหนัก Day 106 (18 days left)
123days Challenge Wt. Loss
วันศุกร์สุดสัปดาห์ ทำงานเป็นวันสุดท้ายของสัปดาห์ วันนี้ฉันไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นเคย ตอนเที่ยงกินส้มตำ ไก่ย่าง ลาบหมู คอหมู ส่ังมากินจนจุก พรุ่งนี้ฉันตั้งปณิธานไว้ว่าจะลอง IF 48 ชม. ลองดูว่าจะไหวหรือไม่ ตอนเย็นฉันออกกำลังกายวิ่ง 3 กม.บนลู่วิ่งไฟฟ้า ก่อนจะพักผ่อนดูหนังต่างๆ แล้วเข้านอน
วันนี้ฉันไปอ่านที่เพจๆหนึ่ง เรื่องเกี่ยวกับการเข้าใจผู้อื่น เป็นเพจเกี่ยวกับการ์ตูนสอนใจของ Tent Katchakul’s Gallery ขึ้นต้นด้วยว่า “To know Someone” เขาวาดรูปการ์ตูนแล้วเขียนว่า “เรารู้จักใครสักคน ด้วยคำพูด และรู้จักดีขึ้นจากการกระทำที่ต่อเนื่อง และรู้จักได้ดีที่สุด เมื่อลองมองจากมุมของเขา” ฉันชอบประโยคเหล่านี้มาก เพราะมันสะท้อนถึงความใส่ใจ การเอาใจใส่ต่อผู้อื่น
ทำไมเราต้องเข้าใจมุมมองของผู้อื่น? ทำไมเราต้องพยายามเรียนรู้ผู้อื่น ฉันก็ไม่รู้คำตอบที่แน่ชัด แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราไม่สามารถอยู่ตัวคนเดียวได้ ตั้งแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่พวกเราเริ่มปฏิวัติการรับรู้ จากสัตว์เรากลายเป็นคน เราก็อยู่เป็นหมู่คณะโดยตลอด มนุษย์เมื่ออยู่คนเดียวนั้นอ่อนแอ บางทีเราสู้สัตว์ตัวเล็กๆไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่เมื่อเราอยู่รวมกันเราครองโลก แม้จะผ่านยุคพรานป่า เราก็ล่าเป็นฝูง เข้ายุคเกษตรเราก็ยังอยู่กันเป็นสังคมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จวบจนยุคสมัยใหม่เราดูจะต่างคนต่างอยู่กันมากขึ้น แต่เราก็ยังมี social media เพื่อให้เราได้เชื่อมต่อกับคนอื่น และคนที่เราไม่เคยเห็นหน้าคร่าตาด้วยซ้ำ
ทำไมเราต้องยอมรับคนอื่น ฉันว่าการยอมรับการมีอยู่ของคนอื่น มันเป็นเหมือนภาพสะท้อนที่ทำให้มนุษย์ตระหนักการมีอยู่ของตัวเอง ณ เวลาหนึ่งในจักรวาลที่กว้างใหญ่จนจินตนาการของเราไปไม่ถึง บนดาวเคราะห์เล็กๆ ในระบบสุริยะ ซึ่งเล็กมากเมื่อเทียบกับกาแล็กซี่ที่เรารู้จัก และมนุษย์ตัวเล็กๆคนหนึ่งที่เปรียบเหมือนฝุ่นปรมาณูของจักรวาล ฉันได้มีตัวตนขึ้นมา อยู่ในโลกใบนี้เพื่อชั่วครู่ของครู่เดียวเมื่อเทียบกับกาลเวลาที่ยาวนาน หาเบื้องต้นไม่ได้และหาเบื้องปลายไม่มี ฉันเคยอยู่ ณ แห่งหนึ่ง ในช่วงเวลาหนึ่ง ฉันมีความสำคัญ และคนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันมีตัวตนและมีความสำคัญได้คือคนรอบๆข้างฉันเอง
เมื่อเราอยากมีตัวตนเราจึงต้องเรียนรู้ผู้อื่น เพราะการเรียนรู้ผู้อื่นก็เท่ากับสร้างจุดยืนในการเรียนรู้ตัวเองของเรา การใส่ใจคนอื่นและการมองผ่านแง่มุมคนอื่น เราก็จะได้เห็นตัวเองผ่านสายตาของคนภายนอก และที่สำคัญที่สุดการใส่ใจคนอื่นก็คือการเติมเต็มความรู้สึกเหงาของมนุษย์ มนุษย์นั้นเหงาอยู่ตลอดเวลา และเราไม่อาจอยู่เพียงลำพัง
มีวันหนึ่งฉันนั่งดูหนังเกาหลี ตัวละครตัวหนึ่งกำลังพูดกับพระเอกซึ่งเป็นเทพเจ้าว่า “มีบางอย่างที่เทพเจ้าไม่อาจเข้าใจมนุษย์ได้ นั่นก็คือ ความเหงาของมนุษย์ เพราะตั้งแต่มนุษย์คลอดออกมาจากท้องแม่พวกเขาก็รู้สึกเหงาแล้ว” คำพูดนี้เป็นคำพูดสะท้อนถึงความรู้สึกมนุษย์นั้นได้ดี คนเรานั้นมีความเหงาเป็นเพื่อนสนิท ความเหงาทำให้เราจำเป็นต้องมีเพื่อน มีครอบครัว มีคนรัก มันทำให้เรารู้สึกว่าไม่ต้องอยู่คนเดียวอีกต่อไป
ในอีกแง่หนึ่งคนอื่นก็ต้องการการเอาใจใส่จากเราเช่นกัน เพราะเขาก็ต้องการเพื่อน ต้องการคนที่เข้าใจ ต้องการคนที่รับฟังเขา ต้องการการยอมรับเช่นเดียวกับเรา เพราะเขาและเราต่างก็คือคน
มหาวิทยาลัยของฉันมีคติพจน์ว่า “อตฺตานํ อุปฺมํ กเร” เป็นพุทธพจน์ที่แปลตามรูปศัพท์ได้ว่า “พึงกระทำตนเป็นอุปมา” ที่มีความหมายว่าจงทำตนเป็นเครื่องเปรียบเทียบ เปรียบเทียบตนกับคนอื่น โดยคิดว่าเราจะทำอะไรแก่ใคร ก็จงคิดเสียว่าตัวเราเองจะรู้สึกอย่างไร หากมีคนมาทำแบบนั้นกับเรา หรือแปลแบบทั่วไปได้ว่า “จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา” นั่นเอง
บทเต็มของสุภาษิตนี้คือ
สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส     
สพฺเพ ภายนฺติ มจฺจุโน
อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา     
น หเนยฺย น ฆาตเย.
(สัพเพ ตะสันติ ทัณฑัสสะ     
สัพเพ ภายันติ มัจจุโน
อัตตานัง อุปะมัง กัตวา     
นะ หะเนยยะ นะ ฆาตะเย)
สรรพสัตว์ย่อมหวาดหวั่นต่อการถูกทำร้าย
ชีวิตย่อมเป็นที่รักของสรรพสัตว์
บุคคลเปรียบเทียบตนกับคนอื่นแล้ว
ไม่ควรทำร้ายหรือฆ่าใคร ทั้งไม่ควรให้ใครทำด้วย
เปลี่ยน กตฺวา (แปลว่าทำแล้ว) เป็น กเร(แปลว่าพึงกระทำ) ตามหลักไวยากรณ์บาลี
ที่มา: วารสารศิลปวัฒนธรรม
ปูน2XL
5/11/64
ปล.หนทางแห่งหนึ่งในเลห์ลาดัก
โฆษณา