28 พ.ย. 2021 เวลา 12:15 • ประวัติศาสตร์
10 สุดยอดฮ่องเต้แห่งแดนมังกร
ประวัติศาสตร์จีนยุคสมบูรณายาสิทธิราชย์กินเวลานานถึง 2000 ปี ตั้งแต่จิ๋นซีฮ่องเต้มาจนถึงผู่อี้ฮ่องเต้ ตลอดสองพันปีนี้มีทั้งเรื่องดีและร้ายเกิดขึ้นสลับกันไป องค์จักรพรรดิหรือฮ่องเต้ที่ถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในแผ่นดินเองก็มีมากมายหลายองค์ที่ทำผิดพลาดจนราชวงศ์ต้องล่มสลาย และก็มีไม่น้อยอีกเช่นกันที่ทำให้บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นและเจริญรุ่งเรือง ในบล็อกนี้เราจะไปทุกท่านไปพบกับเรื่องราวของสุดยอดฮ่องเต้แห่งจีนที่สร้างวีรกรรมอันเลื่องลือ ยิ่งใหญ่ และเป็นคุณค่ากับแผ่นดินอย่างหาที่สุดมิได้ จะมีฮ่องเต้องค์ไหนบ้าง ไปอ่านกันเลยครับ
2
ปล.ช่วงนี้เรียนเยอะไม่ค่อยมีเวลาเขียน บทความใหม่จะใช้เวลานานกว่าจะออกนะครับ
1 จิ๋นซีฮ่องเต้ - มหาราชผู้สร้างชาติ
ข้าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรมังกร คงไม่มีใครไม่รู้จักข้า วีรกรรมของข้านั้นเลื่องลือชายิ่งนัก เพราะข้าคือผู้รวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่งเดียว ทำให้จีนเป็นจีนที่แท้จริง ถ้าไม่มีข้าก็คงไม่มีจีนในทุกวันนี้!
อ๋องแห่งรัฐฉิน
ข้าเกิดมาในตระกูลชนชั้นสูงของรัฐฉิน ซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดแคว้นใหญ่แห่งยุคจ้านกว๋อ เมื่อข้าอายุ 13 ปี ก็ได้ขึ้นครองอำนาจเป็นอ๋องแห่งรัฐฉินและได้พยายามผนวกดินแดนที่อยู่ใกล้ๆพร้อมกับแสดงอิทธิพลของรัฐฉินอยู่ตลอด จนกระทั่งกองทัพอันทรงพลังของรัฐฉินก็สามารถตีเอาแคว้นอื่นจนราบคาบคามือแล้วยอมสวามิภักดิ์ต่ออำนาจของรัฐฉิน
การรวมแผ่นดินจีน
เมื่อทุกอย่างลงตัวเสร็จสรรพสมบูรณ์ ข้าก็สถาปนาตัวเองเป็นจักรพรรดิแห่งอาณาจักรฉิน มีนามว่า "ฉินซื่อหวงตี้" หรือ "จิ๋นซีฮ่องเต้" พร้อมทั้งก่อตั้งราชวงศ์ฉินขึ้นปกครองอาณาจักรเมื่อ 220 ปีก่อนคริสตกาล และข้าก็รวบอำนาจการปกครองทั้งหมดให้อยู่ในมือข้าแต่เพียงผู้เดียว เพื่อไม่ให้มีใครหน้าไหนกล้าลุกขึ้นมาหือมาอือหรือท้าทายอำนาจของข้า ทำให้แคว้นต่างๆที่เคยปกครองตนเองไม่มีการแข็งเมืองเกิดขึ้นเหมือนในยุคก่อนๆ บ้านเมืองจึงเป็นหนึ่งเดียว
มหาราชและทรราชในร่างเดียวกัน
เมื่อข้าขึ้นปกครองพร้อมด้วยอำนาจในมือ ข้าจึงใช้อำนาจให้เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ทั้งด้านการทหารที่พัฒนากองทัพออกรบจนขยายดินแดนได้เพิ่มขึ้น ด้านการปกครองที่สร้างถนนหนทางและกำหนดให้ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาเดียวกันทั้งหมด ด้านเศรษฐกิจที่กำหนดให้ใช้มาตราชั่งตวงวัดแบบเดียวกัน และด้านมรดกทางวัฒนธรรมที่รับสั่งให้สร้างกำแพงเมืองจีนเพื่อป้องกันข้าศึกจากทางเหนือ แต่เพราะข้าเป็นคนโหดเหี้ยมและเข้มงวด ข้าเชื่อว่าอาณาจักรที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่ๆยังคงไม่เป็นปึกแผ่น บวกกับหวาดระแวงผู้คนต่างๆนานาที่ทำท่าทำทางจะเป็นศัตรูกับข้า ข้าจึงใช้อำนาจตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการฆ่าคนที่ข้าไม่ไว้ใจไปมากมาย ใครจับกลุ่มคุยกันข้าก็จับมาประหารยกแก๊งค์ นอกจากนี้ข้ายังสั่งให้เผาทำลายหนังสือตำราลัทธิขงจื้อ ลัทธิเต๋า ไปมากมายนับพันเล่มเพื่อไม่ให้ประชาชนได้เข้าใจถึงคำสอนที่อาจจะใช้เป็นเหตุผลในการโจมตีข้า
กษัตริย์ผู้โหยหาความเป็นอมตะ
ข้าเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เปี่ยมด้วยอำนาจอันล้นพ้นที่ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้ แต่แล้วข้าก็พบว่าอำนาจของข้าสู้อำนาจธรรมชาติไม่ได้ ข้าหวังจะเป็นอมตะอยู่ได้นานหมื่นปี ข้าจึงสั่งให้เหล่าขุนนางออกไปตามหายาอายุวัฒนะที่ทำให้ข้าเป็นอมตะได้ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่พบอะไรเลย ข้าจึงหมดหวังเซ็งเป็ดอย่างแรง แต่ไหนๆก็ต้องตายอยู่แล้ว ข้าจึงสั่งให้สร้างสุสานรอไว้ก่อนเลย แต่ก็ต้องไม่ใช่สุสานธรรมดาๆ ดังนั้นข้าจึงสั่งให้ปั้นหุ่นทหารขนาดเท่าคนจริงนับร้อยตัวแล้วตั้งไว้รอบหลุมศพของข้าเพื่อเป็นการคุ้มกันดวงวิญญาณของข้า และแล้วข้าก็ได้พบยาอายุวัฒนะที่ช่วยให้ข้ามีอายุยืนนานขึ้นและข้าก็เสวยมันทุกวัน จนสุดท้ายแล้วข้าก็จากโลกนี้ไปด้วยอายุ 49 ปี ซึ่งภายหลังก็ทราบว่ามันคือสารปรอท นี่เองแหละถึงทำให้ข้าตายก่อนวัยที่ควรตาย และหลังจากข้าจากไปไม่กี่ปี ราชวงศ์ฉินของข้าก็ล่มสลายลง
2 ฮั่นเกาจู่ฮ่องเต้ - มหาราชผู้สานต่อความยิ่งใหญ่
ข้าคือปฐมฮ่องเต้และผู้สถาปนาราชวงศ์ฮั่น หนึ่งในยุคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีน และข้าคือผู้กอบกู้แผ่นดินให้เป็นกลับมาเป็นหนึ่งเดียวและสงบสุขอีกครั้งหลังเกิดกลียุค ถ้าไม่มีข้า บ้านเมืองคงล่มจมเป็นแน่!
เริ่มต้นจากสามัญชน
ข้ามีนามว่า "หลิวปัง" เกิดในครอบครัวชนชั้นรากหญ้าในรัฐฉู่ ข้าใช้ชีวิตไปวันๆอย่างไร้จุดหมาย ข้าเกลียดการต้องตื่นแต่เช้ามาหยิบจอบเสียมเคียวเพื่อทำนาเลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เมื่อเติบโตขึ้น ข้าได้หลุดพ้นชีวิตยาจกเข้าสู่วงการงานราชการ เมื่อได้คบหากับผู้ว่าการเทศมณฑลหมินเฉวียนและได้รับการศึกษาหลายอย่างที่ทำให้ข้าสนใจและใฝ่ฝันจะทำงานเพื่อสังคม และก็ได้รับราชการต่อมาเรื่อยๆจนมียศมีตำแหน่ง
การโค่นล้มราชวงศ์ฉิน
เนื่องจากจิ๋นซีฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ฉินเป็นผู้ปกครองที่เหี้ยมโหดใจร้ายใจดำจนเป็นที่เกลียดของราษฎร เมื่อจิ๋นซีสวรรคตลง ฮ่องเต้องค์ต่อมาก็ต้องปวดเศียรเวียนเกล้าที่ต้องมารับกรรมที่จิ๋นซีเคยก่อไว้จากการที่ประชาชนลุกฮือขึ้นมาต่อต้านราชวงศ์ฉินจนทำให้เมืองต่างๆเริ่มจะชิงความเป็นใหญ่กันอีกครั้ง ในช่วงนั้นข้าได้แสดงความใจดีใจกว้างให้ประชาชนได้เห็น ด้วยการปลดปล่อยนักโทษที่ถูกบังคับให้ใช้แรงงานอย่างไร้มนุษยธรรมจนข้าต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพื่อหนีคดี แต่สุดท้ายแล้วข้าก็ได้ใจประชาชน ทำให้ภายหลังข้าได้ก่อกบฎร่วมกับพรรคพวกนำทัพบุกเข้าเมืองเสียนหยางศูนย์กลางของราชวงศ์ฉิน แล้วก็โค่นล้มราชวงศ์ฉินลงจากบัลลังก์ได้สำเร็จเมื่อ 206 ปีก่อนคริสตกาล
ฮ่องเต้ผู้ทรงธรรม
เมื่อข้าได้สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่พร้อมกับก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นขึ้น ข้าก็ยังดำรงไว้ซึ่งความใจดีใจกว้างและมีเมตตา ด้วยการไม่ทำร้ายหรือคุกคามเหล่าเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ฉิน พร้อมทั้งเก็บรักษาทรัพย์สมบัติของราชวงศ์ฉินอย่างดี นอกจากนี้ข้าก็สั่งห้ามทหารปล้นชิงทรัพย์สินจากประชาชน และได้ยกเลิกกฎหมายเก่าๆสมัยราชวงศ์ฉินที่กำหนดโทษไว้อย่างโหดร้ายทารุณเกินกว่าที่ควรจะเป็น เช่น ใครฆ่ากันตายต้องประหารชีวิตสามชั่วโคตร ซึ่งมันร้ายแรงเกินไป ข้าจึงออกกฎหมายใหม่ที่ยืดหยุ่นและลดความทารุณลง จึงทำให้ประชาชนต่างรักใคร่ศรัทธานิยมชมชอบและสรรเสริญข้าตลอดการครองราชย์
3 ฮั่นอู่ตี้ฮ่องเต้ - มหาราชจอมยุทธผู้สยบซงหนู
ข้าคือราชาผู้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่อาณาจักรจีนยุคราชวงศ์ฮั่นให้ก้าวเข้าสู่ความเป็นอารยธรรมอันสูงส่งพร้อมด้วยความมั่นคงและมั่งคั่ง
ฮ่องเต้ที่เพียบพร้อมด้วยพระปรีชาสามารถ
ข้าขึ้นครองราชย์เมื่อ 140 ปีก่อนคริสตกาล ในขณะอายุ 16 ปี ถึงตัวข้าจะเด็กแต่ความสามารถและวิสัยทัศน์ของข้านั้นเก่งกาจเกินกว่าเด็กทั่วไป ตลอดยุคสมัยที่ข้าอยู่บนบัลลังก์ฮ่องเต้ ข้าได้ใช้นโยบายมากมายเพื่อปฏิรูปและพัฒนาประเทศให้ก้าวหน้าก้าวไกลและเข้มแข็ง โดยเฉพาะด้านการทหารที่ข้าทุ่มเทใส่ใจมากเป็นพิเศษ จนทำให้กองทัพมีแสนยานุภาพเทียบเท่ากับอาณาจักรมหาอำนาจแห่งซีกโลกตะวันตกอย่าง "โรมัน"
มีชัยเหนือเผ่าซงหนู
เกียรติยศและผลงานอันเลื่องลือที่ผู้คนเทิดทูนข้ามากที่สุดก็คือ การเอาชนะเผ่าซงหนู ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเผ่ามองโกลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นนักรบที่บ้าระห่ำและโหดเหี้ยมทารุณ ตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ฮั่นเป็นต้นมา เผ่าซงหนูคือศัตรูหมายเลข 1 ที่คอยรุกรานและจ้องจะยึดจีนอยู่ตลอดเวลา นับเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างใหญ่หลวง แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนๆไม่สามารถพัฒนากองทัพจนมีชัยเหนือพวกซงหนูได้ จึงต้องใช้การป้องกันในเชิงรับเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน เช่น ให้พระธิดาแก่หัวหน้าเผ่าเพื่อแลกกับสันติภาพ ดังนั้นเมื่อข้าเป็นฮ่องเต้แล้ว ข้าจึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาและเสริมความแข็งแกร่งของกองทัพเพื่อที่จะเป็นฝ่ายรุกบ้าง และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วข้าจึงนำทัพอันยิ่งใหญ่เกรียงไกรเข้าโจมตีและล้อมเมืองของเผ่าซงหนูเอาไว้นานนับสิบปี และในที่สุดกองทัพของฝ่ายฮั่นก็ได้รับชัยชนะจนทำให้เผ่าซงหนูไม่กล้ารุกรานจีนอีกเลย
บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขด้วยบารมีฮ่องเต้
การปกครองของข้าเต็มไปด้วยการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่าง เช่นปรับปรุงระบบการเข้ารับราชการที่ให้เลือกคนจิตใจซื่อสัตย์และมีความสามารถจริงๆ แทนการเลือกคนโดยเส้นสาย จึงทำให้ได้ขุนนางที่มีคุณภาพเข้ามาทำงาน ซึ่งเป็นผลดีต่อบ้านเมืองอย่างมาก นอกจากนี้ข้ายังได้ล้มเลิกลัทธิเต๋าที่มุ่งเน้นการใช้ชีวิตตามธรรมชาติ โดยไม่คิดทำอะไรเพื่อเอาชนะธรรมชาติเลย ซึ่งฮ่องเต้องค์ก่อนๆใช้เป็นหลักปฏิบัติในการปกครองจนทำให้บ้านเมืองต้องพังทลายไปตามธรรมชาติเหมือนกัน ข้าจึงเปลี่ยนมาใช้ลัทธิขงจื๊อแทน ซึ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนที่รู้จักแสวงหาวิธีเอาชนะธรรมชาติเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น จึงทำให้การปกครองในยุคต่อๆมามุ่งเน้นไปที่ลัทธิขงจื๊อเป็นหลัก
4 ถังไท่จงฮ่องเต้ - มหาราชผู้ทรงขัตติยะ
ผู้นำที่ดีต้องยึดถือประชาชนเป็นหลัก จะทำอะไรต้องคิดถึงส่วนรวมเสมอ ไม่ใช่ว่าข้าใหญ่ ข้ามีอำนาจ ข้าจะทำอะไรก็ได้ และนี่ก็คือสิ่งที่ข้ายึดมั่นมาตลอดชีวิต จึงเป็นเหตุให้อาณาจักรจีนยุคราชวงศ์ถังเจริญรุ่งเรืองมั่นคงมั่งคั่งสูงสุดในประวัติศาสตร์จีน
ประวัติอันด่างพร้อย - ฆ่าพี่น้องชิงบัลลังก์
ข้าเกิดมาท่ามกลางยุคบุกเบิกสู่ราชวงศ์ถังซึ่งต่อสู้ชิงอำนาจมานานหลายปี จนกระทั่งตระกูลหลี่ของข้าก็สามารถพิชิตบัลลังก์จีนได้ พระบิดาของข้าสถาปนาราชวงศ์ถังขึ้นพร้อมตั้งตนเป็นฮ่องเต้องค์แรกมีนามว่า "ถังเกาจู่" ปกครองบ้านเมืองพร้อมด้วยโอรสทั้งสามผู้ทรงพระปรีชาสามารถ และข้าก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ต่อมาพี่น้องทั้งสามกลับขัดแย้งกันเองจนทวีความรุนแรงถึงขั้นจะฆ่าเอาชีวิตกัน ข้าในฐานะโอรสองค์ที่สองก็พยายามสุดทางที่จะไม่ให้พี่น้องต้องฆ่ากันเอง แต่สุดท้ายแล้วไฟความแค้นก็ปะทุกลายเป็นสงครามชิงบัลลังก์กัน ข้าเองก็จำยอมที่จะต้องสังหารพี่ชายและน้องชายร่วมสายเลือดเดียวกันเพื่อความสงบสุขของบ้านเมือง
หลังจากที่ข้ามีชัยในศึกครั้งนั้น ข้าก็บีบบังคับให้พระบิดาแต่งตั้งข้าเป็นรัชทายาทแทนพี่ชายที่สิ้นชีพไปแล้ว ซึ่งพระองค์ก็ยอมทำตาม แล้วอีกไม่กี่วันต่อมาพระบิดาก็สละราชสมบัติ ทำให้ข้าได้เป็นฮ่องเต้ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ผู้มีความรอบคอบและรับฟังผู้อื่น
ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะมีอำนาจสูงสุดในแผ่นดินซึ่งสั่งการอะไรก็ได้ แต่ข้าก็ไม่เคยคิดจะทำเช่นนั้น เนื่องจากข้าผ่านเหตุการณ์ศึกชิงบัลลังก์ที่ถูกลอบสังหารมาก่อนแล้ว ทำให้ข้าเป็นคนระมัดระวังและรอบคอบอยู่เสมอ ฉะนั้นก่อนที่ข้าจะทำการใดๆข้าจะสอบถามความคิดเห็นจากเหล่าเสนาบดีก่อนตัดสินใจเสมอ
วิพากษ์วิจารย์ต่อหน้าได้ แต่ลับหลังไม่ได้
ข้าเป็นฮ่องเต้ที่ไม่เหมือนใคร ข้าเชื่อว่าการรับฟังความเห็นจากผู้อื่นนั้นดีกว่าการเชื่อตัวเองเพียงอย่างเดียว และข้าก็เปิดโอกาสให้เหล่าเสนาบดี ที่ปรึกษา หรือเชื้อพระวงศ์สามารถวิพากษ์วิจารย์การทำงานและอะไรต่างๆเกี่ยวกับตัวข้าได้อย่างเปิดเผย จะดีหรือไม่ดีพูดมาเถอะข้ารับฟังทุกอย่าง แต่มีข้อแม้ว่าต้องพูดต่อหน้าเท่านั้น ห้ามลับหลังเด็ดขาด เพราะข้าไม่อาจทราบได้ว่ามีเจตนาดีหรือชั่ว ดังนั้นหากผู้ใดฝ่าฝืนมีโทษแน่นอน ทั้งนี้ก็เพราะนิสัยระมัดระวังที่ข้าเป็นอยู่แล้ว
ผู้นำที่ดี
ในด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ข้าไม่ได้เสวยสุขอยู่แต่ในวังเพื่อรอขุนนางมารายงานผลอย่างเดียว เพื่อความรอบคอบและให้แน่ใจว่าพวกขุนนางไม่ได้โกหก ข้าจึงปลอมตัวเป็นสามัญชนเสด็จประภาสต้นพร้อมที่ปรึกษาอีกไม่กี่คนเพื่อเยี่ยมเยียนและสำรวจความเป็นอยู่ของประชาชน พร้อมทั้งสังเกตและตรวจสอบการทำงานของขุนนางตามที่ต่างๆอยู่เสมอ จึงทำให้การปกครองและบริหารบ้านเมืองตลอดสมัยของข้าเป็นไปได้ด้วยดี ประชาชนอยู่ดีกินดีจริงๆ ร่มเย็นเป็นสุขจริงๆ ไม่ใช่ร่มเย็นเป็นสุขเพราะเชื่อตามที่ขุนนางเขียนรายงานมาให้ เพราะผู้นำดีบ้านเมืองจึงสงบสุขและเจริญรุ่งเรือง
5 บูเช็คเทียน - มหาราชินีเหนือมหาราชา
ในยุคที่สังคมให้ความสำคัญกับผู้ชายอย่างเดียวจนแทบจะลืมผู้หญิง สิทธิ์ต่างๆก็ให้ผู้ชายไปหมด เอาแต่คิดว่าผู้หญิงทำอะไรไม่ได้เลย แต่ข้าก็ได้พิสูจน์และทำลายระบบความเชื่อนี้ลงเป็นที่เรียบร้อยจนก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่ในแผ่นดินเพียงหนึ่งเดียว
หญิงผู้ทะเยอทะยาน
เมื่อข้ายังเด็กมีซินแสผู้หนึ่งมาตรวจดวงชะตาให้ข้าถึงที่บ้าน แล้วก็ได้ทำนายว่าข้าจะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน แล้วก็เป็นจริงเช่นนั้น แต่เรื่องนี้จะจริงแท้ขนาดไหนก็แล้วแต่จะเชื่อละกัน เพราะหลังจากนั้นปะป๊าหม่าม้าของข้าก็ต่างอบรมเลี้ยงดูข้าเยี่ยงเด็กผู้ชายด้วยการให้เข้าโรงเรียนเรียนหนังสือ ซึ่งทำให้ข้าอ่านออกเขียนได้และมีความรู้มากมาย จนเหนือกว่าบรรดาพี่น้องและหลายๆคนในหมู่บ้าน ข้าตั้งมั่นไว้ว่าสักวันบัลลังก์ฮ่องเต้จะต้องเป็นของข้าเพียงผู้เดียว แล้วก็เป็นจุดเริ่มต้นสู่เส้นทางการฝ่าฟันเพื่อเป็นใหญ่ในแผ่นดินดังที่ตั้งมั่นเอาไว้
หญิงผู้มีมารยาอันร้ายกาจ
เวลาผ่านไปข้าก็ได้เข้ามาอยู่ในวังสมใจ ในขั้นต้นข้าเป็นเพียงแค่นางสนมชั้นต่ำที่ดูแล้วคงจะไปไม่ถึงดวงดาว แต่ด้วยหน้าตาอันสะสวยงดงามที่ข้ามีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงทำให้องค์ฮ่องเต้ให้ความสนใจกับข้าเป็นอย่างยิ่ง จนได้เลื่อนตำแหน่งนางสนมขึ้นมาเรื่อยๆ ระหว่างนั้นก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้ข้าต้องเข้าๆออกๆวังอยู่เป็นระยะๆ แต่เดี๋ยวมันจะยาวเกินจึงขอกระโดดข้ามมาตอนที่ข้ากลับมาอยู่ในวังเลยละกัน แต่ครั้งนี้ข้ากลับมาพร้อมความทะเยอทะยานคูณสามเท่า ตอนแรกจากที่หวังแค่เป็นนางสนมก็ยกระดับเป็นฮ่องเต้เลย ข้าจึงพยายามทุกวิถีทางถึงแม้จะต้องฆ่าคนก็ตาม ข้ายอมบีบคอลูกแท้ๆให้ตายแล้วโทษว่าพระมเหสีอิจฉาจึงมาฆ่าลูกตาย แล้วก็ป้ายมารยาเสน่ห์หญิงงามใส่ฮ่องเต้จนเชื่อปักใจ พระมเหสีคนนั้นจึงโดนเนรเทศออกไป จึงทำให้ข้าได้ขึ้นมาเป็นมเหสีซึ่งก็ใกล้จะถึงจุดหมายแล้ว
จากสามัญสู่สูงสุด
นอกจากข้าต้องกำจัดนางสนมในวังออกไปให้หมดแล้ว ข้ายังต้องสร้างพรรคพวกของตัวเองด้วย โดยการเปิดสอบขุนนางด้วยระบบใหม่ที่คัดคนจากความสามารถจริงๆไม่ใช่เส้นสาย จึงทำให้ได้ขุนนางข้าราชการหัวสมัยใหม่มาเป็นพวกเดียวกันเอาไวคานอำนาจกับขุนนางหัวโบราณ เมื่อเวลาผ่านไปพวกเก่าๆก็ล้มหายตายจากไปหมดจนข้าสามารถครองอำนาจในวังได้ทั้งหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าหืออืออีกแล้ว ข้าจึงตัดสินใจประกาศตัวเป็นฮ่องเต้หญิงองค์แรกและองค์เดียวในประวัติศาสตร์จีนที่มีอำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียวเป็นอันสำเร็จดังที่ตั้งมั่นไว้
ประเทศจีนที่เจริญรุ่งเรือง
เพราะข้าเป็นคนหัวสมัยใหม่ ข้าจึงใช้วิธีบริหารประเทศแบบสมัยใหม่เช่นเดียวกัน จนทำให้ยุคสมัยที่ข้าครองราชย์กลายเป็นยุคทองอีกยุคหนึ่งของราชวงศ์ถัง หลังจากสิ้นฮ่องเต้ถังไท่จงเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ข้าส่งเสริมให้ทหารขยายดินแดนออกไปให้กว้างขวางกว่าที่เคยเป็นจนถึงแถบเอเชียกลาง ซึ่งก็คือบริเวณซินเจียงอุยกูร์ในปัจจุบัน และทางตะวันออกที่ยึดครองเกาหลีตอนบนได้ ส่วนภายในประเทศ ข้าพัฒนาระบบการสอบขุนนางโดยส่งเสริมให้บัณฑิตผู้มีความรู้ความสามารถอย่างจริงๆจังๆเข้ามารับราชการโดยไม่ถือชนชั้น และที่สำคัญที่สุดก็คือการส่งเสริมและยกระดับบทบาทของผู้หญิงโดยเปิดโอกาสให้เข้ารับราชการได้ทุกระดับ
ข้ารับเอาพระพุทธศาสนามาใช้เป็นหลักในการบริหารประเทศมากกว่าลัทธิขงจื้อ ทำให้ยุคของข้ามีวัดวาอารามตามแบบศาสนาพุทธเกิดขึ้นมากมาย พร้อมทั้งประติมากรรมในถ้ำที่โด่งดัง เช่น ถ้ำผาหลงเหมิน เรียกได้ว่าตลอดยุคของข้านั้นเป็นยุคทองของศาสนาพุทธในประเทศจีน
6 กุบไลข่าน - มหาราชผู้ชนะใจประชาชน
เราไปยึดประเทศเขาแล้ว เราก็ต้องเป็นกษัตริย์ปกครองคนของที่นั่นด้วย แต่ถ้าเขาต่อต้าน เราก็ต้องทำให้เขายอมรับด้วยสันติวิธี ไม่ใช่ความรุนแรง
ผู้นำแห่งจักรวรรดิมองโกลพิชิตอาณาจักรจีน
ข้าเป็นผู้นำที่เก่งกาจทั้งด้านบุ๋นและบู๊จากมองโกลแลนด์แดนเพื่อนบ้านอันเป็นจักรวรรดิที่ทรงอำนาจมากที่สุดในโลกตอนนั้น ในช่วงนั้นอาณาจักรจีนกำลังระส่ำระสาย ข้าจึงถือโอกาสบุกโจมตีและยึดครองจีนทั้งประเทศมาอยู่ภายใต้จักรวรรดิมองโกล แล้วตั้งตนเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่พร้อมสถาปนาราชวงศ์หยวนขึ้นปกครองจีน แต่แล้วทุกอย่างก็เป็นไปตามท้องเรื่อง ประชาชนชาวฮั่นผู้รักแผ่นดินต่างออกมาต่อต้านขับไล่ ข้าในฐานะฮ่องเต้ที่เป็นชาวมองโกลผู้ชิงแผ่นดินของเขามาจึงใช้วิธีปรับเปลี่ยนที่ตัวเองก่อนที่จะปรับเปลี่ยนสังคม
ผู้มีความสามารถในการปรับตัว
ชาวมองโกลเป็นชนเผ่าที่มีความเหี้ยมโหดและมองดูน่าเกลียดน่ากลัวในสายตาของชาวฮั่น ดังนั้นข้าจึงทำให้พวกเขาไม่รู้สึกว่ามองโกลน่ากลัวด้วยการปรับเปลี่ยนบุคลิกและพฤติกรรมของชาวมองโกลที่อยู่ในแผ่นดินจีนรวมถึงตัวข้าเองให้มีความสุขุมคัมภีรภาพดูน่าเคารพนับถือ พร้อมทั้งสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับชาวฮั่นเพื่อให้พวกเขายอมรับพวกเราในฐานะผู้นำของเขา ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ชาวฮั่นที่เคยต่อต้านก็เริ่มยอมรับ กลุ่มกบฎก็ลดน้อยลง จึงทำให้บ้านเมืองกลับมาสงบสุขอีกครั้ง
ฮ่องเต้ชาวมองโกลหนึ่งเดียวที่ชาวฮั่นรักใคร่และศรัทธา
ในบรรดาฮ่องเต้ราชวงศ์หยวนที่เป็นชาวมองโกลมีเพียงแค่ตัวข้า จักรพรรดิกุบไลข่านองค์เดียวเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับจากชาวฮั่น เพราะหลังจากที่ข้าขึ้นครองราชย์มาแล้วข้าก็พยายามปรับเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างและเสด็จออกเยี่ยมเยียนเพื่อสร้างสัมพันธ์และทำความรู้จักกับบรรดาชาวฮั่นทั้งหลาย จนพวกเขารู้สึกไว้วางใจและสนิมสนมกับมองโกลมากขึ้น จึงทำให้ความขัดแย้งระหว่างชาวฮั่นกับชาวมองโกลลดลงไปมาก อีกทั้งตลอดยุคสมัยของข้า ข้าก็ได้ทำให้ประเทศจีนกลายเป็นดินแดนที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปจนถึงโลกตะวันตกที่นำพานักท่องเที่ยวจากต่างแดนมาเยือนที่นี่มากมาย ตัวอย่างบุคคลที่มีชื่อเสียงก็เช่น มาร์โคโปโล พ่อค้าชาวอิตาลีที่เดินทางมาค้าขายในสมัยที่ข้าครองราชย์อยู่พอดี และก็ได้อาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน เขาได้จดบันทึกเรื่องราวการเดินทางของเขาเอาไว้อย่างน่าสนใจอีกด้วย
7 หมิงไท่จู่ฮ่องเต้ - มหาราชกู้แผ่นดิน
ในช่วงที่บ้านเมืองเกิดกลียุค แผ่นดินลุกเป็นไฟ มีแต่ผู้กล้าที่แข็งแกร่งและตั้งมั่นปณิธานด้วยใจจริงเท่านั้นที่จะนำพาชาติบ้านเมืองผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นอภิมหายาจกก็ตาม
ฮ่องเต้สามัญชนระดับรากหญ้า
ข้า จูหยวนจาง เกิดมาเป็นชนชั้นไพร่ระดับรากหญ้าที่โคตรจะยากจนและแสนลำบากยากเข็ญ สถานการณ์ปกติก็ลำบากอยู่แล้ว ยิ่งต้องมาเจอกับกลียุคอีก ชีวิตมันจะเลวร้ายอะไรขนาดนี้ แต่ข้าไม่ใช่คนขี้แพ้ที่จะยอมตายง่ายๆ ข้าเป็นเข้มแข็งกล้าหาญและอดทน ในเมื่อทำงานแล้วไม่มีเงิน ข้าจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์พร้อมบวชเณรอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง จนกระทั่งโอกาสทองที่ข้าจะได้กู้ชาติก็มาถึงเมื่อข้าเห็นประกาศของกลุ่มลัทธิบัวขาวที่ก่อกบฎโพกผ้าแดงต่อต้านราชวงศ์หยวนของพวกมองโกล ข้าจึงสมัครเข้าร่วมทันที ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การกู้ชาติในภายหลัง
พิชิตราชวงศ์หยวน
เมื่อข้าเป็นสมาชิกกลุ่มกบฎแล้วข้าก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งและตั้งใจจริง จนมีผลงานโดดเด่นกว่าผู้อื่นในกลุ่ม ข้าจึงได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็ว จนทำให้หัวหน้าผู้ก่อการเริ่มหวาดระแวงในตัวข้า เขาจึงจับข้าขังไว้เพื่อสกัดกั้นไม่ให้ข้าขึ้นมาใหญ่กว่าเขา แต่ด้วยความดีความชอบข้าจึงได้รับการปล่อยตัวแล้วย้ายสัมโนครัวกลับไปยังเมืองบ้านเกิดแล้วเริ่มแสวงหาพรรคพวกเริ่มอุดมการณ์เพื่อก่อการปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์หยวน จนได้สมาชิกมากกว่า 20,000 คนเพียงแค่สองปี และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วข้าก็นำทัพบุกเข้าโจมตีหัวเมืองต่างๆที่แข็งข้อจะตั้งตนเป็นอิสระให้เป็นดินแดนของข้า แล้วก็ค่อยๆขยายกองทัพขยายอำนาจไปเรื่อยๆจนสุดท้ายแล้วก็สามารถบุกยึดเมืองหลวงของราชวงศ์หยวนได้สำเร็จ
ก่อตั้งราชวงศ์หมิง
เมื่อโค่นล้มราชวงศ์หยวนของมองโกลได้แล้ว แผ่นดินจีนก็กลับเข้าสู่อ้อมอกของชาวฮั่นผู้เป็นเจ้าของประเทศอีกครั้ง หลังเสียอำนาจการปกครองให้พวกมองโกลอยู่นานเกือบร้อยปี ข้าสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้นปกครองจีนและตั้งตนเป็นฮ่องเต้องค์แรกนามว่า "หมิงไท่จู่" หรือ "หงอู่"
ผู้ฟื้นฟูความสงบสุข
ข้าได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมจีนให้กลับสู่สถานการณ์ปกติที่สงบสุข ด้วยการผ่อนปรนความเข้มงวดที่มากเกินจำเป็นเพื่อให้ประชาชนได้ผ่อนคลายและรู้สึกพึงพอใจกับราชวงศ์ใหม่ ข้าเห็นว่าทุกๆอย่างในโลกนี้ล้วนไม่เที่ยง อาณาจักรที่ผ่านๆมามีเกิดแล้วก็มีดับไป แต่การจะคงไว้ซึ่งความยิ่งใหญ่และความมั่นคงมั่งคั่งให้อยู่กับบ้านเมืองนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถในการปกครองของฮ่องเต้ที่จะดำรงอาณาจักรไว้ได้นานเพียงใด ข้าจึงศึกษาความล้มเหลวของราชวงศ์ต่างๆในอดีต จนทราบว่าอันตรายสำคัญเกิดจากการแทรกแซงบริหารราชการของขันที ข้าจึงประกาศห้ามขันทียุ่งเกี่ยวการเมือง ใครฝ่าฝืนต้องโทษประหารสถานเดียว และข้าก็เปลี่ยนให้การรับฎีกาและรายงานทางราชการต่างๆต้องถวายถึงตัวข้าโดยตรงเท่านั้น
ส่วนด้านการทหารข้าก็เป็นผู้ควบคุมด้วยตัวเองพร้อมทั้งก่อตั้งกองทหารพิเศษเพื่ออารักขาและสอดแนมพวกขุนนางและราษฎรโดยเฉพาะ เพราะการมีอำนาจควบคุมทหารจะทำให้เกิดความมั่นคง ถือว่าเป็นจอมทัพเลยก็ว่าได้ และในยุคของข้ามีการประหารขุนนางและคนอื่นๆที่สงสัยว่าจะเป็นภัยต่อบัลลังก์กว่า5หมื่นคน ไม่เว้นแม้กระทั่งแม่ทัพทหารที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่มาจนมีความดีความชอบหรือเชื้อพระวงศ์ด้วยกันเองข้าก็ไม่เว้น ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ราชสำนักมีความมั่นคงไม่แตกแยก ซึ่งก็เป็นผลดีต่อบ้านเมือง เมื่อในวังมั่นคง การบริหารนอกวังก็ย่อมราบลื่น
8 หย่งเล่อฮ่องเต้ - มหาราชผู้นำจีนสู่มหาอำนาจทางทะลผู้ยิ่งใหญ่
เมื่อบ้านเมืองเข้ารูปเข้ารอยจนสมบูรณ์ดีแล้ว ก็สมควรที่จะต้องมีการพัฒนาปรับปรุงและต่อยอดให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีกเท่าที่จะทำได้ การสำรวจดินแดนทางทะเลเพื่อค้าขายนำรายได้มาสู่ประเทศจึงเป็นภารกิจครั้งสำคัญที่ข้าบันดาลให้เกิดขึ้น จนจีนราชวงศ์หมิงกลายเป็นอาณาจักรที่ก้าวหน้าที่สุดในโลกตอนนั้น
เลือดกษัตริย์สายตรง
เพราะบุญบารมีหรือว่าสิ่งใดที่ทำให้ข้าเกิดเป็นเจ้าชายเคียงคู่บัลลังก์ฮ่องเต้ราชวงศ์หมิง ข้าเป็นโอรสองค์ที่สี่ของฮ่องเต้หมิงไท่จู่ผู้เป็นปฐมกษัตริย์ ซึ่งก็ทำให้ข้าได้รับการศึกษาและอบรมเลี้ยงดูอย่างสมฐานะเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเป็นฮ่องเต้เมื่อเติบใหญ่
จากนานกิงสุ่ปักกิ่ง
ข้าขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิง มีนามว่า "หมิงเฉิงจู่" หรือ "หย่งเล่อ" ตามที่คุ้นหู ภารกิจที่สำคัญของข้าก็คือทำย้ายเมืองหลวงจากนานกิงไปอยู่ที่ปักกิ่ง เพื่อป้องกันชนกลุ่มน้อยทางเหนือ พร้อมทั้งอพยพคนจำนานมากจากเมืองหลวงเก่านับแสนคนมาที่ปักกิ่ง และสร้างพระราชวังที่ประทับในเมืองหลวงแห่งใหม่ ซึ่งก็คือ "พระราชวังต้องห้าม" อันใหญ่โตมโหฬารและแสนโด่งดัง
การสำรวจทางทะเลและค้าขายกับดินแดนต่างๆ
ภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจนผู้คนยกย่องข้าก็คือการส่งเสริมให้มีการสำรวจทางทะเลเพื่อค้าขายนำรายได้มาพัฒนาประเทศ ข้าเห็นว่าการออกนอกประเทศจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ อีกทั้งได้ทำความรู้จักและผูกมิตรไมตรีกับอาณาจักรอื่นๆอีกด้วย ข้าจึงรับสั่งให้สร้างกองเรือมหาสมบัติที่ชื่อว่า “เป่าฉวน” ซึ่งมีความยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตอนนั้น แต่ละครั้งที่เดินทางก็จะมีเรือไม่เท่ากัน เฉลี่ยแล้ว 200 กว่าลำ แต่ละลำประกอบด้วย ทหาร แพทย์ ล่าม โดยมีผู้บัญชาการกองเรือคือ "เจิ้งเหอ" ขันทีคนสนิทของข้า เขาได้เดินทางล่องทะเลไปทั่วโลก 7 ครั้ง สามารถไปได้ไกลถึงแอฟริกาตะวันออก ระหว่างนั้นก็ได้นำสินค้าไปค้าขายแลกเปลี่ยนกับอาณาจักรต่างๆ รวมทั้งกรุงศรีอยุธยาด้วย
ในสมัยหย่งเล่อฮ่องเต้ได้รับการยอมรับโดยนักประวัติศาสตร์และนักวิจัยจากทางตะวันตกว่าเป็นอาณาจักรที่ก้าวหน้าที่สุดในโลก เพราะตอนนั้นในยุคสมัยศตวรรษที่ 13 มีแค่จีนกับอียิปต์เท่านั้นที่มีอู่ต่อเรือและเดินเรือสำรวจ ส่วนพวกยุโรปยังเชื่อว่าโลกแบนอยู่เลย และการเดินทางของเจิ้งเหอทั้ง 7 ครั้งนั้น มีจุดประสงค์เพื่อการค้าและผูกมิตรไมตรีเป็นหลัก ดังนั้นจึงไม่มีดินแดนไหนถูกยึดครองเป็นอาณานิคม เพียงแต่อาจจะมีการปะทะกันบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่มีอาณาจักรไหนกล้าต่อต้านกองเรือของเจิ้งเหอเลย เพราะมีจำนวนมากเกิน 200 ลำ พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ครบอัตรา ฉะนั้นเมื่อใครเห็นก็มักจะไม่กล้าสู้แต่จะขอผูกมิตรแทน ซึ่งก็ป็นผลดีมากเลยทีเดียว
9 คังซีฮ่องเต้ - มหาราชผู้ทรงธรรม
ตั้งแต่ก่อตั้งอาณาจักรชิงเป็นต้นมา แผ่นดินจีนก็ไม่สงบสุขเลย เพราะชาวฮั่นและชาวแมนจูต่างไม่ยอมกัน อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ ต่อสู้กันตลอด กบฎเกิดขึ้นเต็มไปหมด ฮ่องเต้สามรุ่นก่อนก็ไม่สามารถยุติปัญหานี้ได้ ซึ่งก็ทำให้ข้าต้องสานต่อภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้แล้วก็สำเร็จได้ด้วยดี
อันตรายในวัยเด็ก
ข้าเป็นยุวกษัตริย์ที่ครองราชย์ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ แน่นอนว่าจำเป็นต้องมีผู้สำเร็จราชการบริหารบ้านเมืองแทน แต่อยู่ไปอยู่มาผู้สำเร็จราชการทั้งสองคนก็แย่งชิงอำนาจกันจนมีหนึ่งคนต้องลาโลกนี้ไป จึงเหลือแค่เอ๋าไป้ครองอำนาจคนเดียว และนี่ก็คือฝันร้ายของข้า อำนาจเป็นสิ่งที่เปลี่ยนคนดีให้เป็นคนชั่วได้ในพริบตาเลย เพราะทันทีที่เอ๋าไป้สังหารผู้สำเร็จราชการอีกคนที่มีไว้คานอำนาจ เขาก็ทะเยอทะยานอยากจะเป็นฮ่องเต้ ซึ่งสั่นสะเทือนความมั่นคงต่อราชบัลลังก์ของข้าเป็นอย่างมาก แต่ข้าก็โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือจนสามารถเอาชนะเอ๋าไป้ผู้บ้าอำนาจได้สำเร็จ และเมื่อข้าเติบใหญ่ ข้าจึงตั้งมั่นไว้ว่า จะไม่ยอมให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกไม่ว่าจะเป็นตัวข้าหรือลูกหลานข้า
ยุคที่บ้านเมืองเป็นปึกแผ่น
เมื่อข้ามีอำนาจบริหารจริงๆแล้ว ข้าได้เริ่มภารกิจสร้างสันติให้บ้านเมืองทันที ด้วยการออกกฎและนโยบายต่างๆเพื่อส่งเสริมสันติภาพระหว่างชาวแมนจูและชาวฮั่น รวมทั้งพัฒนากองทัพให้แข็งแกร่งเพื่อต่อกรกับกลุ่มชนที่คิดทำการไม่สมควร แล้วมันก็เกิดขึ้นจริง เรียกว่า กบฎสามเจ้าศักดินา ซึ่งเป็นการก่อจลาจลโดย 3 ขุนพล ที่ได้รับมอบหมายให้ช่วยปกครองดินแดนทางใต้และตะวันตก ซึ่งต้องขึ้นตรงต่อรัฐบาลกลาง แต่ภายหลังทั้งสามขุนพลนี้ก่อกบฎ สุดท้ายแล้วฝ่ายกบฎก็ต้องปราชัยต่อฝ่ายแมนจูของข้า ทำให้ข้ามีอำนาจเหนือดินแดนจีนทั้งปวง เมื่อชาวฮั่นอยู่กับชาวแมนจูได้แล้วและพวกกบฎที่คิดไม่ซื่อก็ถูกปราบปรามลงแล้ว จึงเข้าสู่ยุคที่บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นและสงบสุข
ฮ่องเต้ที่ประชาชนรักใคร่
ผู้นำที่ดีต้องชนะใจประชาชน ข้ายึดหลักการกระทำนี้มาตลอดชีวิต ข้าไม่ใช่ฮ่องเต้ที่อยู่แต่ในวังไม่ออกไปไหนเลย แต่ข้าเลือกที่จะเสด็จเยี่ยมเยียนประชาชนในท้องที่ต่างๆถึงแม้จะเหน็ดเหนื่อยเพียงใด ระยะทางจะไกลแค่ไหน ข้าก็จะไปเพื่อสร้างความคุ้นเคย ผูกมิตรไมตรี และสำรวจความเป็นอยู่เพื่อให้ทราบความจริงของบ้านเมือง ทำตัวใกล้ชิดประชาชนเข้าไว้เพื่อที่เขาจะได้ไว้ใจเรา และการที่ข้าออกนอกวังบ่อยขนาดนี้ก็ย่อมทำให้ประชาชนรักใคร่และศรัทธาเป็นธรรมดา
ยุคทองของราชวงศ์ชิง
ข้าคัดเลือกขุนนางที่มีความสามารถเฉพาะด้านเข้ามารับราชการเพื่อบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ในด้านเศรษฐกิจข้าส่งเสริมให้มีการทำเกษตรมากขึ้นเพื่อเพิ่มผลผลิตทั้งเอาไว้ใช้ในประเทศและส่งออกเพื่อค้าขาย อีกทั้งไม่มีศึกสงคราม จึงทำให้การค้าขายทั้งในและนอกเป็นไปอย่างราบลื่นและสันติ จนสามารถหารายได้เงินทองเข้ามาสู่ท้องพระคลังได้มากมาย ในยุคนี้จึงถือว่าเศรษฐกิจดี ซึ่งก็ทำให้ประชาชนมีกินมีใช้ ไม่ลำบากยากเข็ญจนเกินไป และความเจริญในยุคของข้านี้เอง ก็จะเป็นต้นทุนให้ลูกหลานของข้าอีกสองรัชกาลต่อมาได้พัฒนาต่อยอดให้มั่นคงมั่งคั่งสืบไป
10 เฉียนหลงฮ่องเต้ - มหาราชผู้ปราชญ์เปรื่องรอบด้าน
ความเจริญที่เสด็จปู่และเสด็จพ่อของข้าได้สร้างสมเอาไว้นั้นเป็นสิ่งที่ดีเกินจะพรรณนา ทั้งสองท่านถือเป็นปูชนียบุคคลที่น่าเทิดทูนอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีท่านทั้งสองข้าก็คงไม่ได้ปรากฏชื่ออยู่ในลิสต์จัดอันดับครั้งนี้หรอก
ผู้สานต่อความเจริญต่อจากคังซีและยงเจิ้ง
ข้าเกิดมาในยุคที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองและมีเสถียรภาพเคียงคู่กับบัลลังก์ฮ่องเต้ผู้ทรงพระปรีชาสามารถ เสด็จพ่อของข้า จักรพรรรดิยงเจิ้ง เป็นโอรสของคังซีฮ่องเต้ ผู้เป็นเสด็จปู่ของข้า ท่านทำให้แผ่นดินจีนสงบสุข มีความมั่นคง และเจริญรุ่งเรืองจนสืบทอดความเจริญมาถึงยุคของข้า เสด็จพ่อทรงเป็นฮ่องเต้ที่แสนจะมัธยัตถ์ ตลอด 13 ปีที่ท่านครองราชย์ เศรษฐกิจจีนเติบโตและมีเสถียรภาพมาก และยังทรงใช้เงินอย่างประหยัดอดออมเพื่อให้ข้าไม่ลำบากเพื่อเติบใหญ่ จนกระทั่งข้าขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ที่ 6 แห่งราชวงศ์ชิง เงินในท้องพระคลังอันเป็นมรดกตกทอดจากเสด็จพ่อก็มีมากมาย จนข้าเกรงใจไม่กล้าใช้จ่ายเลย
1
ยุคที่เจริญสูงสุดในทุกๆด้าน
ข้าเป็นทั้งนักปกครอง นักเศรษฐศาสตร์ นักรบ นักกวี และนักรัก ข้าได้สานต่อความเจริญรุ่งเรืองของอาณาจักรจีนราชวงศ์ชิงให้อยู่ต่อไปตราบจนสิ้นชีพ ทั้งส่งเสริมและพัฒนาการเกษตร ส่งเสริมการค้าขาย ส่งเสริมความบันเทิง และส่งเสริมแสนยานุภาพเพื่อพิชิตดินแดนต่างๆ ข้ายกทัพไปยึดดินแดนเล็กๆน้อยๆเข้ามาเป็นประเทศราชของจักรวรรดิชิงเพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ผลสัมฤทธิ์ทางด้านเศรษฐกิจที่เป็นที่น่าพอใจอย่างมากที่อาณาจักรจีนขึ้นแท่นอันดับหนึ่งของประเทศที่มีจีดีพีสูงและมูลค่าส่งออกที่สูงที่สุดในโลกในสมัยนั้น
กษัตริย์เจ้าสำราญ
ข้าเป็นคนมีหัวศิลปะ ข้าชื่นชอบการแต่งบทกลอนพรรณนาเรื่องราวต่างๆ ข้ามักจะแต่งกลอนพรรณนาความงามของบรรดานางสนมที่ข้าเป็นเจ้าของมากมายหลายคน บางคนบอกว่าข้าเป็นกษัตริย์เจ้าสำราญ ข้าก็ไม่ขัด เพราะข้าก็โปรดปรานการใช้ชีวิตที่หรูหราและมีชีวิตชีวา ข้าจึงโปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์พระราชวังต้องห้ามให้สวยงามและดูดีขึ้นพร้อมทั้งสร้างตำหนักเพิ่ม ซึ่งก็เสียค่าใช้จ่ายไปมากพอสมควร ในขณะที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองเศรษฐกิจดีนี่แหละ มักจะเป็นจุดเริ่มต้นสู่ความเสื่อมโทรมในเวลาเดียวกัน และภายหลังที่ข้าสวรรคตประเทศจีนก็ดิ่งเหวลงอย่างรวดเร็ว
โฆษณา