Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
2read
•
ติดตาม
13 พ.ย. 2021 เวลา 13:08 • ประวัติศาสตร์
"ความเด็ดขาดของสมเด็จพระนเรศ" เรื่องเล่าจากคอลัมน์ "รุ่นเก๋า...เล่าเกร็ด" บนแอป 2read
เคยมีผู้ชมรายการ ส่งคำถามมาให้ผมขณะกำลัง LIVE ในช่องยูทูบว่า “ผมชอบพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดของกรุงศรีอยุธยามากที่สุด?”
ผมตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า ผมมีความชื่นชอบ เคารพรัก และศรัทธาในองค์สมเด็จพระนเรศ มากที่สุด
พระองค์ทรงเป็นมากกว่าเจ้านาย เพราะพระองค์ทรงเป็น "ผู้นำ” ที่ยิ่งใหญ่ สมกับคำว่า “มหาราช” เป็นอย่างยิ่ง
สมเด็จพระนเรศทรงถือดาบออกนำหน้าไพร่พลของพระองค์ในทุกๆ ศึกสงคราม
พระองค์ไม่เคยทรงย่อท้อในทุกๆ เป้าหมายที่ทรงตั้งไว้ หากวันนี้ยังทำไม่สำเร็จ พระองค์ก็จะไม่ทรงล้มเลิก แต่ละทรงพยายามทำต่อไปจนสำเร็จสมบูรณ์ได้ในวันข้างหน้า
นี่คือนิยามที่สมบูรณ์แบบที่สุดของ “มหาราชผู้นำที่ยิ่งใหญ่” สำหรับทุกๆ บ้านเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรือง
และหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จรุ่งเรืองในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศ ก็คือ “ความเด็ดขาด” ที่ทรงใช้ในการปกครองบ้านเมือง และกองทัพ
เรื่องนี้ได้ถูกสะท้อนไว้ในเอกสารหลักฐานหลายชิ้นทั้งของไทย ของพม่า และของฝรั่ง ซึ่งผมรวบรวมมาให้ทุกท่านได้ดูกันแล้ว... ตามมาเลยครับ
หลักฐานพม่าบอกว่า ทหารอยุธยากลัวสมเด็จพระนเรศ มากกว่ากลัวความตาย
มหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า เล่าไว้ว่า
หลังจากที่สมเด็จพระนเรศทรงยกทัพไปล้อมหงสาวดี และกวาดต้อนครัวมอญทางฝั่งตะวันออกของหงสาวดี กลับมากรุงศรีอยุธยาเป็นระลอกแรกใน พ.ศ. 2127 (ไทยสากล) แล้ว
พระเจ้านันทบุเรงก็ทรงตอบโต้ด้วยการส่งกองทัพใหญ่ ไพร่พลเรือนแสนมาบุกอยุธยาถึง 2 ครั้ง แต่ก็พ่ายแพ้กลับไปทั้งหมด
โดยเฉพาะการยกมาตีอยุธยาครั้งที่ 2 (ประมาณ พ.ศ. 2128) ตอนนั้นทัพหงสาวดีได้แต่ตั้งล้อมอยุธยาไว้ประมาณ 1 เดือน แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสำเร็จ พระมหาอุปราชาจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองเพื่อหาทางออก
มหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า เล่าถึงฉากที่ พระยาแสนหลวง นายทหารคนสำคัญที่ร่วมมาในกองทัพหงสาวดี กราบทูลต่อพระมหาอุปราชาไว้ ดังนี้ ...
“...บัดนี้ถ้าฝ่ายเราจะเข้าตีกองทัพอยุทธยาเล่า ข้าพระพุทธเจ้าเห็นว่า
ค่ายของอยุทธยานั้นแน่นหนามั่นคงนัก ประการหนึ่งคูก็กว้างขวาง สาสตราวุธก็มาก
แล้วฝ่ายทหารนายทัพนายกองของเขาก็แข็งพร้อมมือกัน ไม่คิดแก่ชีวิตร์
แลที่จะตายนั้นเขาไม่กลัว เขากลัวแต่นายของเขาเปนกำลัง
บัดนี้ที่พระองค์รับสั่งจะออกรบนั้น ข้าพระพุทธเจ้าเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า คงจะไม่มีไชยชะนะเปนแน่...”
นี่คือสิ่งที่ทางพม่าเขาบันทึกไว้เองเลยนะครับว่า ทหารอยุธยากลัวสมเด็จพระนเรศมากกว่ากลัวตายเสียอีก จึงทำให้กองทัพอยุธยาเข้มแข็ง รวมใจกันเป็นหนึ่งเดียว เป็นที่เกรงกลัวของฝ่ายตรงข้ามได้ถึงขนาดนี้
นี่คือจิ๊กซอว์สำคัญชิ้นแรก ที่จะพาเราไปพบคำตอบในปลายทางว่า เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความแข็งแกร่งของทหาร ชนิดที่รบแบบไม่กลัวตายนั้น มาจากความเด็ดขาดในการปกครองกองทัพของสมเด็จพระนเรศนั่นเอง
ศึกยุทธหัตถี พระวิหารวัดสุวรรณดารารามราชวรวิหาร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ศึกยุทธหัตถี อาคารประวัติศาสตร์และพิพิธภัณฑ์ทหาร อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี
ฤกษ์ยาม ไม่สำคัญเท่าความพร้อมของกองทัพ
พระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ บันทึกเหตุการณ์เมื่อครั้งศึกยุทธหัตถี ที่สมเด็จพระนเรศทรงมีชัยชนะเหนือพระมหาอุปราชาของหงสาวดีไว้ ดังนี้
“…เถิงวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือน 2 เพลารุ่งแล้ว 5 นาฬิกา 3 บาท
เสด็จทรงช้างต้นพระยาไชยานุภาพ เสด็จออกรบมหาอุปราชาตำบลหนองสาหร่าย
ครั้งนั้นมิได้ตามฤกษ์แลฝ่าย (ฝ่า) ฤกษ์หน่อยหนึ่ง
แลเมื่อได้ชนช้างด้วยมหาอุปราชานั้น สมเด็จพระนารายน์บพิตรเป็นเจ้า ต้องปืนณพระหัตถ์ข้างขวาหน่อยหนึ่ง”
เนื้อหาในพงศาวดารในท่อนนี้ น่าจะพอเข้าใจได้ไม่ยากว่า
เวลาประมาณ 11.18 น. ของเช้าวันนั้น สมเด็จพระนเรศทรงเห็นว่า ไพร่พลในกองทัพมีความพร้อมเต็มที่แล้ว จึงทรงตัดสินพระทัยสั่งเคลื่อนทัพทันที โดยไม่ทรงรอให้ถึงฤกษ์งามยามดีที่โหรหลวงได้กำหนดเอาไว้
ซึ่ง พระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ เล่มนี้ เรียบเรียงขึ้นโดย พระโหราธิบดี (ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์) ผู้เขียนท่านจึงสรุปออกมาว่า การที่พระหัตถ์ขวาของสมเด็จพระนเรศถูกปืนยิงจนทรงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยนั้น มีสาเหตุมาจากการ “ฝ่าฤกษ์” ตอนเคลื่อนทัพแต่ในอีกมุมหนึ่ง
เรื่องนี้ก็สะท้อนถึงความเด็ดขาดและเด็ดเดี่ยวของสมเด็จพระนเรศได้เป็นอย่างดีว่าในการสงครามนั้น ความพร้อมของกองทัพเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด เมื่อไรที่กองทัพพร้อมเต็มที่แล้ว เหล่าทหารได้รับการปลุกเร้าจนมีขวัญกำลังใจและความเชื่อมั่นถึงขีดสุดแล้ว ก็ต้องออกเดินทัพทันที จะให้รอฤกษ์ยามที่วางไว้แบบเป๊ะๆ คงไม่ได้และถ้าการฝ่าฤกษ์ในครั้งนั้นจะมีผลทำให้เกิดการบาดเจ็บที่พระหัตถ์จริง อย่างที่พงศาวดารว่าไว้แล้วละก็ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงมีเหนือพระมหาอุปราชา ในครั้งนั้น ก็มีความสำคัญต่อความอยู่รอดของบ้านเมือง มากกว่าการทรงบาดเจ็บเล็กน้อยที่ว่านี้ตั้งไม่รู้กี่แสนกี่ล้านเท่า
ศึกยุทธหัตถี อาคารภาพปริทัศน์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี
ความเด็ดขาดในการลงโทษคนทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มีการบันทึกเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่คล้ายกัน ไว้ในเอกสาร 2 ชิ้นชิ้นแรกคือ พระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ ซึ่งบันทึกไว้ว่า “ศักราช 955 มะเส็งศก วันจันทร์ ขึ้น 5 ค่ำ เดือน 10เสด็จเถลิงพระมหาปราสาท ครั้งนั้นทรงพระโกรธแก่มอญ ให้เผามอญเสียประมาณ 100”ฉบับหลวงประเสริฐบันทึกไว้แค่นั้น ไม่ได้อธิบายว่า สมเด็จพระนเรศทรงพระโกรธแก่มอญกลุ่มนั้นด้วยเรื่องอะไรแต่เหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้ ได้ถูกบันทึกไว้ในเอกสารอีกชิ้นที่ชื่อว่า พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต ดังนี้ครับ
“…ทรงมีกระแสรับสั่งให้เตรียมเรือ และเสด็จพร้อมทั้งขุนนางไปยังเพนียด (ซึ่งเป็นโรงช้างและสถานที่ราชาภิเษก) เพื่อประกาศสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และให้ขุนนางสาบานว่าจะจงรักภักดีต่อพระองค์ตลอดไปเมื่อเสด็จถึงเพนียด ฝีพายของพระนเรศวรเทียบเรือผิด พระองค์ก็ทรงเสด็จขึ้น ไม่ได้ทรงลงพระอาญาในเวลานั้น ได้ทรงราชาภิเษกถูกต้องตามราชประเพณี เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา และทรงพระนามว่า พระนเรศราชาธิราชหลังจากพิธีราชาภิเษกแล้ว พระองค์มีรับสั่งให้เผาฝีพายเรือของพระองค์และฝีพายเรือหลวงลำอื่นๆ (ประมาณ 1,600 คน) เสียทั้งเป็น ณ สถานที่นั้นทรงมีรับสั่งกับคณะขุนนางว่า พระองค์ทรงปรารถนาให้คณะขุนนางจดจำการลงพระอาญาครั้งนี้ไว้เป็นเยี่ยงอย่างการปกครองของพระองค์และจากนั้นพระองค์ก็เสด็จกลับพระราชวัง”
แม้จะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันอยู่บ้าง (โดยเฉพาะจำนวนมอญที่ถูกเผา) แต่เหตุการณ์ในหลักฐาน 2 ชิ้นนี้ ต่างก็สามารถเติมเต็มกันและกันได้เป็นอย่างดี
เป็นอันว่า เรื่องที่ทำให้สมเด็จพระนเรศ “ทรงพระโกรธแก่มอญ” ถึงขนาดสั่งประหารชีวิตด้วยการเผา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ฝีพายชาวมอญนำเรือพระที่นั่งไปเทียบผิดที่นั่นเองเรื่องนี้คงต้องพิจารณากันใน 2 ประเด็นประเด็นแรก หลายท่านอาจจะมองว่า ความผิดของฝีพายชาวมอญนั้นดูเล็กน้อยมาก เป็นแค่การนำเรือพระที่นั่งไปเทียบผิดสถานที่เท่านั้น ไม่น่าจะต้องถูกลงโทษถึงประหารแต่ถ้าจะพิจารณากันให้ดีแล้ว การเทียบเรือพระที่นั่งผิดที่ อาจหมายถึง “การวางแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าแผ่นดิน” ได้เลยนะครับ
ในยุคสมัยและสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยศึกสงคราม การที่จู่ๆ เรือพระที่นั่งที่กำลังแล่นเหนือน้ำไปทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่กลับไปเข้าเทียบในสถานที่ที่ไม่ได้จัดกำลังอารักขาตามที่วางแผนกันไว้เดิม หากมีกองกำลังซุ่มอยู่ในที่นั้น ย่อมสามารถลอบสังหารพระเจ้าแผ่นดินได้โดยง่าย เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในกรณีลอบสังหารแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และขุนวรวงศา ซึ่งครั้งนั้นก็ทำกันบนเรือพระที่นั่งนี่แหละ และพระราชบิดาของสมเด็จพระนเรศ ก็ทรงเคยเป็นหัวหน้าชุดลอบสังหารดังกล่าวมาแล้วนี่แหละครับ ผมถึงมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และสมเด็จพระนเรศก็ทรงจัดการด้วยความเด็ดขาด เพื่อไม่ให้คนอื่นนำมาเป็นเยี่ยงอย่างได้ในภายหลัง
ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประหารฝีพายชาวมอญด้วยการเผาทั้งเป็นเรื่องแบบนี้ปรากฏอยู่เสมอๆ ในมหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า ซึ่งราชสำนักพม่ามักใช้วิธี “คลอก” ในการจัดการกับชาวมอญที่เป็นกบฏ หรือหนีทัพ คือการจับตัวเข้าคอกแล้วจุดไฟเผารวมกันทั้งเป็นแม้การประหารชีวิตด้วยการคลอกจะไม่ค่อยพบในพงศาวดารอยุธยา แต่ในกรณีนี้ โดยส่วนตัวผมมองว่า สมเด็จพระนเรศน่าจะทรงระแคะระคายอะไรบางอย่างอยู่ก่อนแล้ว พอเกิดเหตุเรือพระที่นั่งไปเทียบผิดท่า จึงได้ทรงจัดการขั้นเด็ดขาดกับฝีพายมอญส่วนเรื่องจำนวนมอญที่ถูกประหารนั้น มีความแตกต่างกันอยู่มาก ระหว่างหลักฐาน 2 ชิ้นฉบับหลวงประเสริฐบอกว่า เผามอญไปประมาณ 100 คนส่วนวันวลิตบอกว่า เผาฝีพายไป 1,600 คน (คือประหารทั้งฝีพายบนเรือพระที่นั่ง และฝีพายบนเรือหลวงลำอื่นๆ ด้วย)
โดยส่วนตัวแล้ว ผมเชื่อฉบับหลวงประเสริฐมากกว่า เพราะฉบับหลวงประเสริฐเรียบเรียงจากเอกสารของราชสำนักเป็นหลัก รวมถึงจดหมายเหตุโหร ซึ่งบันทึกเรื่องต่างๆ ไว้อย่างกระชับ แต่ชัดเจนต่างกับบันทึกของวันวลิตซึ่งได้ข้อมูลจากการไล่สัมภาษณ์ผู้คนในอยุธยาเป็นหลัก (รวมกับข้อมูลในพงศาวดารสายวัด) จึงอาจเกิดความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้ง่าย
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช วัดพยัคฆาราม จังหวัดสุพรรณบุรี
วันวลิต บรรยายหลักการปกครองที่เด็ดขาดเรื่องสุดท้ายนี้ผมนำมาจาก พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต ที่เล่าถึงหลักการปกครองอยุธยาด้วยความเด็ดขาดของสมเด็จพระนเรศ ดังนี้...
“...บ่อยครั้งที่ตรัสว่า‘นี่เป็นวิธีที่จะปกครองพวกเจ้าชาวสยาม เพราะว่าเจ้าเป็นพวกที่มีธรรมชาติที่ดื้อดึง น่าขยะแขยง ในอาณาจักรที่แสนเลวนี้แต่ข้าจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อเจ้าจนกว่าจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่น่านับถือได้เจ้าเป็นเหมือนหญ้าที่ขึ้นบนท้องทุ่งที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าตัดให้สั้นได้เท่าไร เจ้าก็จะขึ้นได้สวยงามมากเท่านั้นข้าจะหว่านทองไว้ในท้องถนนสายต่างๆ เป็นเวลาหลายเดือน ใครก็ตามที่มองทองเหล่านี้ด้วยความละโมบจะต้องถูกฆ่าตาย'...”
แม้ว่าดูๆ แล้ว ข้อมูลที่วันวลิตได้มานี้ น่าจะถูกแต่งเติมใส่สีใส่ไข่เข้าไปมากแล้วก็ตาม แต่ถ้าเราลองเอารายละเอียดนี้มากรอง แล้วเลือกพิจารณาเฉพาะแก่นของเรื่อง ก็จะช่วยให้เห็นภาพสำคัญๆ ได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ...หลังแผ่นดินสมเด็จพระไชยราชาธิราช เข้าสู่แผ่นดินขุนวรวงศาธิราช กับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ อยุธยาถูกการเมืองภายในเล่นงานจนอ่อนปวกเปียกอย่างหนักเมื่อเข้าสู่แผ่นดินสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ต่อเนื่องถึงแผ่นดินสมเด็จพระมหินทราธิราช อยุธยาก็ยิ่งอ่อนแอลงเรื่อย ๆ การเมืองภายในก็ไม่สงบ ซ้ำยังถูกอำนาจของพระเจ้าบุเรงนองเข้ามาแทรก จนต้องเสียกรุงครั้งที่ 1
หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 1 พระเจ้าบุเรงนองได้กวาดต้อนผู้คนในอยุธยาไปจนเกือบหมด จนแทบจะกลายเป็นเมืองร้างในช่วงแรกของแผ่นดินสมเด็จพระมหาธรรมราชา อยุธยาตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของหงสาวดี โดยพระเจ้าบุเรงนอง แต่เมื่อพระเจ้าบุเรงนองสวรรคต เข้าสู่แผ่นดินพระเจ้านันทบุเรง หงสาวดีก็เริ่มเข้าสู่ช่วงอ่อนแอลงตามลำดับในขณะที่อยุธยากลับค่อยๆ เข้มแข็งขึ้น
จากการที่สมเด็จพระนเรศทรงทำศึกชนะบ้านเมืองต่างๆ ทั่วทุกสารทิศ และกวาดต้อนกำลังคนมาเพิ่มให้อยุธยา ทั้งการกวาดต้อนชาวมอญจากทางตะวันออกของหงสาวดี การเทครัวหัวเมืองเหนือลงมาอยู่อยุธยา และการได้กำลังคนจากสงครามครั้งอื่นๆ อยุธยาในช่วงนั้น มีประชากรที่มาจากต่างที่ต่างถิ่น เมื่อต้องมาอยู่รวมกัน ก็จำเป็นที่จะต้องหาวิธีทำให้ประชากรเหล่านี้รวมกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อพลิกจากความอ่อนแอในช่วงก่อนหน้า ให้กลายเป็นความเข้มแข็งทั้งสมเด็จพระมหาธรรมราชา และสมเด็จพระนเรศ ต้องทรงใช้ทั้งวิธีการทางสังคม วัฒนธรรม ในการหลอมรวมผู้คนจากต่างที่เหล่านี้ให้รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน
สมเด็จพระนเรศวรทรงประกาศอิสรภาพ อาคารภาพปริทัศน์ อนุสรณ์สถานแห่งชาติ จังหวัดปทุมธานี
และเมื่อเข้าสู่แผ่นดินสมเด็จพระนเรศ พระองค์ทรงเลือกใช้ความเด็ดขาดในการปกครอง สร้างระเบียบวินัยให้ผู้คนในบ้านเมือง ลงโทษผู้กระทำผิดอย่างหนัก แต่ในขณะเดียวกันก็ได้พระราชทานรางวัลแก่ผู้ทำประโยชน์ให้บ้านเมืองอย่างถึงขนาดในรัชสมัยของพระองค์ อยุธยาได้พลิกโฉมหน้าขนานใหญ่
จากเดิมที่เคยตกเป็นประเทศราชของหงสาวดี ก็กลับกลายมาเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งเกรียงไกรอย่างยิ่ง จนบ้านเมืองรอบข้าง (หรือแม้แต่พม่า) ก็ยังต้องเกรงกลัว การติดต่อค้าขายกับต่างชาติก็รุ่งเรืองแม้ในรัชสมัยของสมเด็จพระนเรศ จะมีสงครามต่อเนื่องเกือบทั้งรัชสมัย แต่ด้วยหลักการปกครองของ “มหาราชผู้นำที่ยิ่งใหญ่” พระองค์นี้ที่ได้ทรงวางรากฐานไว้ ก็ช่วยให้อยุธยาในเวลาต่อมา ได้กลับมาเป็นอาณาจักรที่เข้มแข็งและรุ่งเรืองอย่างแท้จริงอีกครั้งดังที่วันวลิต ได้บันทึกไว้ในตอนท้ายของแผ่นดิน “พระนเรศราชาธิราช” ว่า“ในรัชสมัยของพระองค์ ประเทศเจริญรุ่งเรืองและประสบแต่โชคชัย”
เรื่องและภาพ : หอย อภิศักดิ์
::: อ้างอิง :::
พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์
มหาราชวงษ์ พงษาวดารพม่า / นายต่อ แปล. กรุงเทพฯ: ไทยควอลิตี้บุ๊คส์, 2562.รวมบันทึกประวัติศาสตร์อยุธยาของ ฟาน ฟลีต (วันวลิต) : ระบบคลังข้อมูลดิจิทัล ทางมรดกศิลปวัฒนธรรม กรมศิลปากรการปรับแก้เทียบศักราชและการอธิบายความ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐ / ตรงใจ หุตางกูร. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน), 2561.
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย