13 พ.ย. 2021 เวลา 12:19 • ประวัติศาสตร์
สี จิ้นผิง: จากชีวิตที่ยากลำบาก สู่ “บุคคลประวัติศาสตร์” หัวเรือใหญ่ ผู้นำพาจีนกลับสู่ความเกรียงไกร
25
📌 จากชีวิตที่ยากลำบาก สู่ “บุคคลประวัติศาสตร์” หัวเรือใหญ่ ผู้นำพาจีนกลับสู่ความเกรียงไกร
3
ในการประชุมคณะกรรมกลางของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (Central Committee of Communist Party) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติยกย่องให้สี จิ้นผิงขึ้นไปเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ (Historic Figure) ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เทียบเท่ากับผู้นำคนสำคัญ ผู้สร้างและวางรากฐานที่เข้มแข็งให้พรรคอย่างเหมา เจ๋อตุง และเติ้ง เสี่ยวผิง
การก้าวไปสู่ตำแหน่งดังกล่าวของสี จิ้นผิงนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะสี จิ้นผิงได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในระดับที่สามารถกุมอดีต ปัจจุบัน อนาคต หรือก็คือทิศทางทุกอย่างของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีนเอาไว้ได้
4
และการก้าวขึ้นสู่สถานะดังกล่าวยังมีนัยยะสื่อถึงการที่ประเทศจีนเองก็พร้อมที่จะยกให้สี จิ้นผิง เป็นหัวเรือหลักสำคัญในการนำเรือลำใหญ่ที่มีประชากรกว่า 1,400 ล้านคน ก้าวเข้าสู่ศึกครั้งสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ ในการก้าวข้ามสหรัฐอเมริกาสู่การเป็นมหาอำนาจของโลกอย่างที่จีนเคยเป็น และทำให้ “ความฝันของชาวจีน” หรือ Chinese Dream เป็นจริงให้จงได้
6
วันนี้ผมจึงอยากพาทุกคนมองย้อนประวัติศาสตร์เพื่อศึกษาเส้นทางการก้าวสู่อำนาจ กว่าจะมาเป็นหัวเรือ เป็นลุงสี (Xi Dada) ของชาวจีนในทุกวันนี้กันครับ
1
📌 จากหนึ่งในอีลีตแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน...สู่ชีวิตที่ลำบากยากเข็ญ
1
หากเรามองย้อนกลับไปในเส้นทางชีวิตของสี จิ้นผิงแล้ว ก็จะพบว่ากว่าที่เขาจะก้าวมาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย สี จิ้นผิง เกิดในวันที่ 15 มิถุนายน 1953 เป็นบุตรชายของสี จงซุน รองนายกรัฐมนตรีของจีน และสมาชิกระดับสูงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ผู้รบเคียงบา เคียงไหล่กับเหมา เจ๋อตุง
3
และด้วยความที่บิดาของสี จิ้นผิงมีตำแหน่งระดับสูงมากในพรรคคอมมิวนิสต์ สี จิ้นผิง จึงนับได้ว่าเป็นกลุ่มคนที่มีสถานะเป็น Princeling หรือ Crown Princes of the Communist Party กล่าวคือเปรียบเสมือนเป็นกลุ่มทายาททางอำนาจ เนื่องจากมีพื้นหลังครอบครัวที่ดี มีอำนาจมากในพรรค หรือเดินเท้าสู้รบกับประธานเหมาเอง
1
สี จงซุน
แต่ทว่าเส้นทางชีวิตของสี จิ้นผิงก็มาถึงวันพลิกผันในปี 1963 ในขณะที่สี จิ้นผิง เพิ่งมีอายุได้เพียงแค่ 9 ขวบเท่านั้น เมื่อบิดาของเขา สี จงซุน ก็ถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากถูกกล่าวหาว่ามีพฤติกรรมต่อต้านกิจการของพรรค และถูกส่งไปลงโทษในโรงงานและสถานปรับทัศนคติของพรรคคอมมิวนิสต์
2
ชีวิตของสี จิ้นผิงก็เสมือนว่าได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที แต่ชีวิตก็ยังเลวร้ายได้มากกว่านั้น เมื่อไม่กี่ปีต่อมา หลังจากนั้น ก็ได้เกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้น โดยเหมา เจ๋อตุงได้หันมาใช้บรรดาเด็กนักเรียน นักศึกษาต่างๆ เป็นอาวุธ ใช้ในการสอดแนมจับผิดคุณครู ผู้ใหญ่ในสังคม ไปจนกระทั่ง พ่อแม่ของตัวเอง ว่ามีพฤติกรรมต่อต้านพรรคหรือแนวคิดคอมมิวนิสต์หรือเปล่า
5
นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ก็ยังได้เผชิญกับเหตุการณ์เลวร้ายด้วยตัวเองอีกด้วย โดยในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ใครที่ทำผิด มีพฤติกรรมต่อต้านพรรค (ซึ่งหลายครั้ง คนจำนวนไม่น้อยก็ไม่ได้มีความผิด) จะถูกนำออกมาประจานในที่สาธารณะ โดยเรียกว่า Struggle session ซึ่งคนที่ถูกลงโทษจะขว้างปา ด่าทอโดยคนที่มามุงดูโดยรอบ ซึ่งสี จิ้นผิงก็เคยเป็นหนึ่งในนั้น โดยผู้คนโดยรอบตะโกนใส่ว่า “Down with Xi Jinping” หรือจบกันซะทีกับสี จิ้นผิง
นอกจากนี้ ในช่วงหลังจากนั้นไม่นาน สี ซงยุน บิดาของสี จิ้นผิงก็ถูกจับเข้าคุกอีกด้วย ในขณะที่สี จิ้นผิง อายุเพียงแค่ 15 ปีเท่านั้น และเมื่อไร้การปกป้องคุ้มครองของผู้เป็นพ่อ สี จิ้นผิงก็ถูกจับตัวส่งไปทำงานในนารวมที่เมืองชานซี โดยต้องไปอาศัยอยูในถ้ำร่วมกับเด็กคนอื่นๆ ไม่มีอาหารที่ดีกิน ไม่มีแม้กระทั่งเนื้อสัตว์ให้กิน
ช่วงเวลาที่ยากลำบากดังกล่าวเป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่ช่วยสร้างตัวตนสี จิ้นผิง และทำให้สี จิ้นผิงกลายเป็นผู้นำหัวมังกรที่เข้มแข็งดังที่เราเห็นในทุกวันนี้
เพราะในช่วงเวลาดังกล่าว สี จิ้นผิงได้เห็นถึงชีวิตที่ลำบากแร้นแค้นของชาวจีนในถิ่นทุรกันดาร ความล้มเหลวต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากนโยบายที่ผิดพลาด และเป็นช่วงที่ได้สร้างสำนึกสำคัญให้กับสีว่า เป็นหน้าที่ที่สำคัญของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างยิ่งในการช่วยบรรเทาและแก้ไขปัญหาดังกล่าวเพื่อให้คุณภาพชีวิตของชาวจีนดีขึ้น
3
📌 จากชีวิตที่ลำบากแสนเข็ญ...สู่การเดินทางก้าวแรกเข้าเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน
1
สี จิ้นผิงได้เริ่มสมัครเข้าเป็นสมาชิกยุวชนของพรรคคอมมิวนิสต์จีนในปี 1971 โดยถูกปฏิเสธถึงกว่า 7 ครั้งกว่าจะสำเร็จ หลังจากนั้น ก็ได้กลับมาพบกับบิดาของเขาอีกครั้งในปีต่อมา ภายหลังจากที่มีนโยบายให้ครอบครัวหวนคืนกลับมาพบกันได้ของนายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล และในปี 1973 สี จิ้นผิงก็ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกเต็มตัวของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ถูกกว่าปฏิเสธไป 10 ครั้ง กว่าที่จะได้รับการตอบรับสำเร็จในปีต่อมา
4
จุดเปลี่ยนสำคัญของสี จิ้นผิง (และอาจสำหรับชาวจีนส่วนใหญ่) เกิดขึ้นในปี 1976 เมื่อประธานเหมา เจ๋อตุง ถึงแก่อนิจกรรม และทำให้เติ้ง เสี่ยวผิงใช้โอกาสก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำใหม่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเปลี่ยนผ่านประเทศจีนเข้าสู่วิถีใหม่ โดยในช่วงนั้น คนจำนวนไม่น้อยที่ถูกเหมา เจ๋อตุงกวาดล้าง ก็กลับมามีอำนาจอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในก็คือ สี ซงยุน บิดาของสี จิ้นผิงด้วย
3
โดยในช่วงเริ่มแรก สี จิ้นผิง ได้เริ่มทำงานเป็นเลขาให้กับลูกน้องคนหนึ่งของบิดาของเขา เพื่อเริ่มเรียนรู้งานต่างๆ ในพรรคคอมมิวนิสต์จีน และต่อมาเข้าก็เติบโตขึ้นไปอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงกลางทศวรรษ 1980 เขาก็ได้ก้าวขึ้นไปเป็นรองนายกเทศมนตรีของเมืองเซี่ยะเหมิน ซึ่งมีประชากรหลายหมื่นคน และต่อมา ก็ได้ก้าวไต่เต้าตำแหน่งที่สูงขึ้นในพรรคไปเรื่อยๆ อย่างเช่น ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 ก็ทำหน้าที่อยู่ในสำนักงานรองผู้ว่าการมณฑลฝูเจี้ยน รับผิดชอบในการดึงดูดการลงทุนจากไต้หวันเข้ามา
4
และต่อมาในปี 2002 สี จิ้นผิงยังได้ย้ายจากเมืองฝูเจี้ยนไปเป็นผู้ว่าการมณฑลเจ้อเจียงชั่วคราว โดยมีนโยบายสำคัญคือการกวาดล้างการทุจริตคอรัปชั่นในพื้นที่ และทำให้ถูกยกย่องและจับตามองโดยบรรดาผู้ใหญ่ของพรรคอย่างมาก นอกจากนี้ ในปีเดียวกัน สี จิ้นผิง ก็ได้ไต่เต้าจนก้าวเข้าสู่เวทีการเมืองระดับประเทศอย่างเป็นทางการ เมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกของคณะกรรมการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างเต็มตัว
2
ผลงานในการปราบคอรัปชั่น การยึดมั่นกับหลักการของสี จิ้นผิงทำให้เขาถูกจับตามองและเป็นดาวเด่นของพรรคอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งในปี 2007 ที่เขาได้รับการแต่งตั้งเข้าสู่คณะกรมการเมืองถาวรแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเป็นผู้มีตำแหน่งอาวุโสที่สุดในนั้น แสดงให้เห็นถึงการเตรียมพร้อมสู่การขึ้นเป็นผู้นำสูงสุดคนต่อไปของพรรคต่อจาก หู จิ่นเทา
2
📌 สี จิ้นผิงก้าวขึ้นสู่อำนาจ ประกาศปณิธานสำคัญ “ความฝันของชาวจีน”
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิงได้ก้าวสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและประเทศจีนในปี 2012 โดยภายหลังจากการขึ้นสู่อำนาจไม่นาน สี จิ้นผิงก็ได้เดินทางไปปราศรัยที่แรก ณ มณฑลกวางตุ้ง เพื่อสร้างและผนึกความคิดของสมาชิกพรรคและชาวจีนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสี เพื่อเตรียมพร้อมการปฏิรูปประเทศเข้าสู่เส้นทางใหม่ในการก้าวไปสู่มหาอำนาจของโลก
5
ทั้งนี้ ผู้นำรุ่นพี่อย่างเติ้ง เสี่ยวผิง ในยุคทศวรรษ 1990 ก็ได้เดินทางมาที่มณฑลกวางตุ้งเช่นเดียวกัน ในช่วงการสัญจรมายังภาคใต้ของเติ้ง เสี่ยวผิง (Deng Xiaoping’s Southern Tour) เพื่อระดมแรงสนับสนุนในการผลักดันวาระการปฏิรูปในพรรคคอมมิวนิสต์จีน
4
ในโอกาสดังกล่าว สี จิ้นผิงได้ประกาศปณิธานซึ่งจะเป็นหมุดหมายสำคัญที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนจะต้องทำสำเร็จให้ได้ ก็คือ การประกาศความฝันของชาวจีน (Chinese Dream) โดยความฝันของชาวจีนดังกล่าวก็เรียบง่ายมาก ก็คือการฟื้นฟูชาติจีนให้กับมายิ่งใหญ่เหมือนเดิม เฉกเช่นที่เคยเป็นมาในอดีตกว่า 3,000 ปี
3
โดยเป้าหมายดังกล่าวของ Chinese Dream มีหลักๆ 2 ประการ โดยเรียกว่า เป้าหมายครบ 2 ศตวรรษ (Two Centenaries) ซึ่งก็คือ การทำให้สังคมจีนเป็นสังคมที่มั่งคั่งปานกลาง พอกินพอใช้ (Moderately well-off) ภายในปี 2021 ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งเป้าหมายดังกล่าว จีนก็ได้ประกาศความสำเร็จไปแล้ว ในงานเฉลิมฉลองเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา
13
อีกเป้าหมายหนึ่งก็คือ การทำให้จีนก้าวสู่การเป็นประเทศพัฒนาแล้วให้ได้ภายในปี 2049 ซึ่งเป็นโอกาสครบรอบ 100 ปีของการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีนขึ้นมา
2
ทั้งนี้ เส้นทางของสี จิ้นผิงในการนำพาประเทศจีนสู่การบรรลุความฝันดังกล่าวก็นับได้ว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะสี จิ้นผิงไม่ได้เดินตามกรอบแนวคิดเดิมที่บรรดาผู้นำ 3 รุ่น นับตั้งแต่เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ปูทางมา ไม่ว่าจะเป็นในด้านนโยบายเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่นโยบายการต่างประเทศก็ตาม
1
หากแต่ได้วางให้ประเทศเข้าสู่เส้นทางใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม เส้นทางใหม่ที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมประสบการณ์ การเรียนรู้ข้อผิดพลาดของจีนและประเทศอื่นๆ และการใช้โอกาสที่มีให้เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจได้ว่าประเทศจีนจะสามารถทำความฝันของตัวเองให้สำเร็จได้อย่างแท้จริง
3
📌 พลิกผันนโยบายสำคัญทางเศรษฐกิจ...เพื่อให้ความฝันเป็นจริง
1
หากจะพูดถึงที่ชัดที่สุดก็คือนโยบายด้านเศรษฐกิจ โดยในยุคของสี จิ้นผิง ได้มีนโยบายที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก ซึ่งก็คือการหันหน้าหนีจากการปฏิรูปเข้าสู่ระบบตลาดเสรีแบบทุนนิยม ที่จีนได้ดำเนินมาตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ที่เติ้ง เสี่ยวผิงได้ประกาศนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ จนทำให้จีนประสบกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมหาศาลจนถึงทุกวันนี้
นอกจากนี้ สี จิ้นผิง ยังได้หันไปสู่การดำเนินนโยบายที่มีการกำกับดูแลที่เข้มงวดมากยิ่งขึ้น เริ่มมีการเข้าปฏิรูปภาคธุรกิจต่างๆ ที่มีการเติบโตที่ไม่ยั่งยืน ตั้งแต่การประกาศใช้นโยบาย Three Red Lines ในภาคอสังหาริมทรัพย์ ไปจนถึง การเข้าปฏิรูปภาคธุรกิจกวดวิชา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการเข้ากำกับดูแลธุรกิจบางรายเป็นพิเศษ ที่ได้เติบโตมากเกินไปในช่วงที่ผ่านมา จนกลายเป็นมีอำนาจเหนือตลาด และกุมเศรษฐกิจจีนไว้ได้พอสมควร
26
นโยบายต่างๆ เหล่านี้ได้ถูกวิจารณ์อย่างหนักโดยบรรดาสถาบันวิจัยต่างๆ ในฝั่งตะวันตกว่า จะนำพาเศรษฐกิจจีนเข้าสู่สภาวะซบเซา ทางเดียวที่เศรษฐกิจจีนจะโตต่อไปได้คือจะต้องปฏิรูปตัวเองเข้าสู่ระบบตลาดแบบทุนนิยมให้ได้มากที่สุด ดังที่เคยเป็นมาโดยตลอดในอดีต
แต่สำหรับสี จิ้นผิง เขาไม่ได้คิดเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะสิ่งที่จีนกำลังทำคือการหันกลับมา คิดใหม่ ทำใหม่ และสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืนมากขึ้นต่างหาก ขณะที่ระบบทุนนิยมที่พึ่งระบบตลาดมากเกินไป จนขาดการกำกับดูแลที่เหมาะสม ซึ่งถ้าเดินตามแนวทางตะวันตกเกินไป จะนำพาจีนไปสู่วิกฤติ ดังเช่นหลายประเทศที่เคยประสบมา
7
ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือญี่ปุ่นที่เคยเติบโตอย่างมากจนก้าวไปเป็นเศรษฐกิจอันดับสองของโลก (ที่เดียวกับที่จีนกำลังยืนอยู่) และมีคนคาดเช่นเดียวกันว่าจะแซงสหรัฐฯ เมื่อใด แต่สุดท้าย ความฝันนั้นก็จบลง เมื่อการเติบโตที่ไม่ยั่งยืน ทำให้ฟองสบู่แตก และทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นซบเซามาจนถึงทุกวันนี้
6
เพราะฉะนั้น การหันกลับมาปฏิรูป กลับมากำกับดูแลที่เข้มงวดขึ้น ทั้งนี้ วิธีการของจีนในการปรับตัวเองเพื่อให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนในแบบของจีนเอง ไม่เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยชนชาวจีนทุกคนต่างมั่งคั่งไปได้ด้วยกัน (Common Prosperity) และไม่พบเจอกับวิกฤติดังเช่นที่ประเทศตะวันตกเคยเผชิญมาต่างหาก
7
อีกเรื่องที่จีนคิดใหม่ ทำใหม่ก็คือการหันกลับมามองที่เครื่องยนต์หลักในการพัฒนาประเทศ นั่นก็คือการส่งออกสินค้า โดยหันมาให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภายในประเทศมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจของจีนเองมีการพึ่งพาต่างประเทศมากจนเกินไป เกิดเป็นนโยบายที่เรียกว่าการไหลเวียนคู่ (Dual Circulation) ขึ้น
4
เรื่องนี้ ยังรวมไปถึงการปฏิรูปหัวใจสำคัญของจีนในช่วง 40 ปีผ่านมา นั่นก็คือการผลักดันให้มีการวิจัยเชิงพื้นฐาน (Basic research) มากยิ่งขึ้น แทนที่การวิจัยแบบเดิมที่เน้นเอาสิ่งประดิษฐ์ หรืองานวิจัยประยุกต์ (Applied research) ของชาติตะวันตกมาก็อปปี้และพัฒนาขึ้นไป
4
จีนได้ให้ความสำคัญกับการเน้นการสร้างรากฐานความรู้เบื้องต้น วิธีการทำสิ่งต่างๆ จากศูนย์ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากตะวันตกเหมือนเคย ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวความคิดล่าสุดที่ทาง IMF ได้เสนอมาว่าการพัฒนาด้านงานวิจัยพื้นฐานจะเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจในยุคหลังโควิด
2
📌 นโยบายการต่างประเทศรูปแบบใหม่... เมื่อจีนไม่ได้จำเป็นต้องทำตัวเล็กเช่นเคย
3
หากย้อนกลับไปสมัยของเติ้ง เสี่ยวผิง จะมีประโยคหนึ่งที่เติ้ง เสี่ยวผิงเคยกล่าวไว้เกี่ยวกับบทบาทของจีนในเวทีโลกว่าให้ทำตัวเล็กๆ เข้าไว้ และให้เก็บตัวเงียบในเวทีโลก แต่ในยุคของสี จิ้นผิงก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นอีกต่อไป เพราะในวันนี้ จีนเป็นหนึ่งประเทศที่ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทนำในเวทีโลกอย่างมาก โดยในช่วงที่ผ่านมา มีสถาบันและองค์กรระหว่างประเทศจำนวนมากที่มีตัวแทนจากประเทศจีนเข้าไปทำหน้าที่อยู่
4
สี จิ้นผิงก็ยังได้ขับเคลื่อนโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทางหรือ Belt and Road Initiatives เพื่อให้การสนับสนุนประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศกำลังพัฒนา ในการให้สนับสนุนเงินทุนเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นถนน รางรถไฟ และท่าเรือในประเทศ (นโยบายนี้ได้ถูกกล่าวหาว่าเป็น Debt-trap diplomacy) ซึ่งเป็นก้าวแรกสำคัญในการก้าวไปเป็นมหาอำนาจของโลก ดังเช่นที่สหรัฐฯ เคยทำกับแผนมาร์แชลล์เพื่อช่วยประเทศในยุโรป ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
4
การเปลี่ยนแปลงอีกประการที่เกิดขึ้นก็คือการรวมอำนาจของสี จิ้นผิง นับตั้งแต่ที่ได้ดำรงตำแหน่งมา ไม่ว่าจะเป็นการกวาดล้างบรรดาคู่แข่งและผู้ที่เห็นต่างกับตัวเองไปในการกวาดล้างการทุจริตคอรัปชันของพรรคคอมมิวนิสต์ หรือแม้แต่การยกเลิกการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง 2 สมัย ทำให้สามารถดำรงตำแหน่งผู้นำสูงสุดของประเทศจีนไปจนกว่าจะถึงสิ้นอายุขัยเลยก็ว่าได้
ทั้งหมดนี้ แม้ว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นการพยายามรักษาอำนาจของตัวเองในตำแหน่งไว้ให้ได้ แต่อีกส่วนสำคัญก็คือ สี จิ้นผิง ได้มองตัวเองว่าเป็นคนที่ใช่ ที่จะนำพาชนชาติจีนและประเทศจีนบรรลุความฝันที่ได้วางไว้ และฟื้นฟูความยิ่งใหญ่ของตัวเอง และกลับคืนสู่การเป็นมหาอำนาจดังเช่นที่เคยเป็นในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้
ในประเด็นนี้ มีสมาชิกคนหนึ่งของคณะกรรมการกลางแห่งพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้กล่าวไว้ก่อนการประชุมครั้งล่าสุดว่า “การสนับสนุน สี จิ้นผิง ในฐานะผู้นำสูงสุดและ “บุคคลประวัติศาสตร์” ของพรรค เปรียบเสมือนดั่งการสร้างสมอเหล็กที่แข็งแกร่งให้กับพรรคคอมมิวนิสต์จีน มอบกระดูกสันหลังที่แข็งแรงให้กับชนชาวจีนทั้งชาติ และสี จิ้นผิง จะเป็นหัวเรือใหญ่ ผู้ที่จะนำพาชนชาวจีนกว่า 1,400 ล้านคนกลับสู่ความยิ่งใหญ่เกรียงไกรอีกครั้ง”
2
#ประวัติศาสตร์จีน #เศรษฐกิจจีน #สีจิ้นผิง
#Bnomics #All_about_History #เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน
3
ผู้เขียน : เอกศิษฎ์ น้าวิไลเจริญ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
1
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference:
เครดิตภาพ : South China Morning Post, DW, Getty Image, New York Times, Xinhua Press

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา