15 พ.ย. 2021 เวลา 04:18 • ธุรกิจ
จาก “เจียไต๋จึง” ถึง “เครือเจริญโภคภัณฑ์” ร้อยเรียงประวัติศาสตร์ 100 ปีซีพี
“ถนนทรงวาด” ย่านการค้ายุคบุกเบิกของไทยคับคั่งไปด้วยกิจการห้างร้านทางการเกษตรและสินค้าหลากหลายประเภท ท่ามกลางแหล่งชุมชนที่อยู่อาศัยอันเต็มไปด้วยผู้คนหลากหลายชาติพันธุ์ ด้วยบรรยากาศและความเป็น “ศูนย์กลาง” ทางการค้าและชุมชนด้วย จึงเป็นสิ่งที่ดึงดูดสิ่งของต่าง ๆ เข้ามา รวมถึงเรื่องวิทยาการที่คนสมัยนั้นยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เมล็ดพันธุ์พลิกโฉมการเกษตร
กิจกรรมทางเศรษฐกิจสำคัญอันดับต้นของไทยนับตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์หนีไม่พ้นเรื่องการเกษตร ไทยผลิตและส่งออกผลผลิตทางการเกษตรจำนวนมากโดยเฉพาะข้าว มีข้อมูลทางประวัติศาสตร์มากมายบ่งชี้ว่าข้าวเป็นสินค้าส่งออกสำคัญในช่วงหลังสนธิสัญญาเบาว์ริง สมัยรัชกาลที่ 4 อันส่งผลทำให้ไทยเปิดเสรีทางการค้า
ระบบเกษตรอย่างการทำไร่และสวนล้วนเป็นการเกษตรที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวไทยควบคู่ไปกับการทำนา(ข้าว) จากการศึกษาประวัติศาสตร์เทคโนโลยีการเกษตรในอดีตพบว่า ตั้งแต่ปลายสมัยกรุงธนบุรีถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 231-2397) วิถีชีวิตของเกษตรกรไทยในระยะนั้นเป็นการเกษตรเพื่อบริโภคในครัวเรือน มีเพียงส่วนน้อยที่ผลิตแบบการตลาด นั่นคือ “ผลิตเพื่อขาย”
ขณะที่คนจีน (ซึ่งเป็นเกษตรกร) ในยุคเดียวกัน ทำการเกษตรแบบ “ผลิตเพื่อขาย” พืชที่ผลิตมีตั้งแต่ อ้อย พริกไทย ยาสูบ กาแฟ และผักชนิดต่างๆ อุตสาหกรรมการเกษตรสำคัญในยุคต้นรัตนโกสินทร์ อาทิ ไร่อ้อย โรงงานน้ำตาลล้วนพบคนจีนเข้าไปมีบทบาทสำคัญทั้งด้านผู้ประกอบการและแรงงาน
ท่ามกลางชาวจีนจากหลายภูมิภาคที่เคลื่อนย้ายถิ่นฐานเข้าไทยเพื่อทำมาหากิน ชาวจีนแต้จิ๋วเป็นชาวจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดในไทย
เป็นที่รับรู้กันทั่วไปอยู่แล้วว่าลักษณะเด่นของชาวจีนคือทักษะทางการค้า สำหรับชาวแต้จิ๋วก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน แต่ยังมีทักษะอีกด้านที่พ่วงเข้ามาด้วย ชาวแต้จิ๋วเชี่ยวชาญด้านการเกษตร
ความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรของชาวแต้จิ๋วคืออีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้จำนวนชาวแต้จิ๋วในไทยเพิ่มอย่างรวดเร็ว โดยช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประมาณ พ.ศ. 2353 ความต้องการผลผลิตการเกษตรในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก การเกษตรทางตะวันออกเฉียงใต้และตอนล่างของไทยก็เริ่มพัฒนา
บรรดาชาวแต้จิ๋วที่เคลื่อนย้ายเข้ามาค้าขายในไทย หลายคนเข้ามาในไทยด้วยสถานะการเงินเริ่มต้นจากศูนย์ และมาตั้งตัวทำกิจการ ขยับขยายธุรกิจให้เติบโตกันได้หลายกลุ่ม
ขณะที่บางกลุ่มยังสามารถพัฒนาธุรกิจมาสู่บริษัทซึ่งเติบใหญ่ถึงปัจจุบัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ กิจการเจียไต๋ ซึ่งมีเจี่ย เอ็กชอ และเจี่ย จิ้นเฮี้ยง น้องชายที่มีชื่อไทยว่า ชนม์เจริญ เจียรวนนท์ ร่วมกันบุกเบิก โดยเจี่ย เอ็กชอ ท่านนี้ก็คือบิดาของธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ นั่นเอง
ข้อมูลเกี่ยวกับเจี่ย เอ็กชอ ปรากฏในบทสัมภาษณ์ของธนินท์ เจียรวนนท์ เรื่อง “จากเมืองแต้จิ๋ว สู่การตั้งรกรากที่กรุงเทพฯ (2)” ที่ระบุว่ามาจากการบอกเล่าของ ธนินท์ เจียรวนนท์ แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยโดยคุณภรณี จิรวงศานนท์ สำนักประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ตำแหน่งในขณะนั้น) และมร.หวง เหวยเหว่ย ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท ซีที อินฟราสตรักเจอร์ ดีเวลลอปเมนต์ จำกัด (ตำแหน่งในขณะนั้น) ในเนื้อหาระบุที่มาของเนื้อหาว่ามาจากหนังสือพิมพ์ “นิกเคอิ” แต่ไม่ได้ระบุวันที่และปีที่หนังสือพิมพ์เผยแพร่ เมื่อสืบค้นเพิ่มเติมจึงพบว่า มีบางแหล่งเชื่อว่าเป็นบทสัมภาษณ์ใน “Nikkei Asian Review” ราวช่วงปี พ.ศ. 2559
ธนินท์ เจียรวนนท์ เล่าภูมิหลังของบิดาไว้ว่า
“บ้านเกิดคุณพ่อของผมอยู่ที่อำเภอเถ่งไฮ่ เมืองแต้จิ๋ว ซึ่งอยู่ทางด้านตะวันออก ของเมืองกวางตุ้ง ทางใต้ของเมืองแต้จิ๋วอยู่ติดกับท่าเรือเมืองซัวเถา เมืองแต้จิ๋วกับเมืองซัวเถา เรียกรวมกันว่า ‘แต้ซัว’…”
ในบทความเดียวกัน ธนินท์ เจียรวนนท์ เล่าเสริมไว้ว่า ประมาณปี พ.ศ. 2462 บิดาเดินทางมาไทยและอาศัยอยู่กับญาติในระยะแรกเริ่ม
ธนินท์ เจียรวนนท์ ยังเล่าถึงบิดาไว้ในหนังสือ “ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว” ว่า บิดาไม่ได้เรียนถึงระดับสูง แต่ถนัดด้านเทคโนโลยี โดยสนใจเรียนรู้ด้วยตัวเอง ประกอบกับเป็นคนช่างสังเกตและวิเคราะห์เรื่องต่างๆ ได้อย่างดี ความสามารถอีกอย่างของบิดาคือด้านเมล็ดพันธุ์ หากเป็นศัพท์ในปัจจุบันก็ใช้ว่า “นักพัฒนาเมล็ดพันธุ์” จากที่ศึกษาทดลองเรื่องเมล็ดพันธุ์ผักที่ซัวเถามานาน ธนินท์ อธิบายไว้ว่า
“คุณพ่อทำธุรกิจขายเมล็ดพันธุ์ที่เมืองจีนแล้วขยายมาที่ต่างประเทศ สมัยนั้นรัฐบาลไทยสนับสนุนให้ชาวจีนเป็นเจ้าของกิจการได้ เมื่อคุณพ่อสะสมทุนได้แล้ว ท่านจึงตัดสินใจลงเรือที่ซัวเถาข้ามน้ำข้ามทะเลมาพร้อมกระสอบ ‘เมล็ดพันธุ์ผัก’ มาเปิดตลาดใหม่ที่เมืองไทย”
กิจการที่ “เจี่ย เอ็กชอ” ดำเนินการยุคแรก จากการบอกเล่าของธนินท์ เจียรวนนท์ เป็นลักษณะ “…คุณพ่อนำเมล็ดพันธุ์ที่นำมาจากเมืองจีนขายให้แก่เกษตรกรและส่งขายให้ร้านค้าปลีก ท่านค่อยๆ เก็บหอมรอมริบ เมื่อได้เงินก้อนหนึ่งในปีพ.ศ. 2464 คุณพ่อจึงเปิด ‘ร้านเจียไต๋จึง’ ” (ธนินท์ เจียรวนนท์, 2559)
ธนินท์ เจียรวนนท์ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ ถือกำเนิดบนอาคารที่ติดป้ายด้านหน้าว่า “ห้างเจียไต๋จึง” ที่มีเจี่ย เอ็กชอ ผู้เป็นบิดามาบุกเบิกนั่นเอง
แหล่งข้อมูลบางแห่งยังอธิบายว่า กิจการเมล็ดพันธุ์ผักของเจียไต๋ ถือเป็นกิจการค้าเมล็ดพันธุ์รายแรกๆ ที่ปรากฏขึ้นในไทยด้วย
กิจการของ “เจียไต๋” ในยุคแรกเริ่มโดยเจี่ย เอ็กชอ ดำเนินการคัดพันธุ์ผักที่มีผลผลิตสูงนำมาบรรจุในซองกระดาษและกระป๋องซึ่งทำจากสังกะสีเพื่อรักษาคุณภาพ ผลิตภัณฑ์แรกเริ่มใช้เครื่องหมายการค้า “ตราเรือบิน” เปลี่ยนมาใช้ “ตราเครื่องบิน” ในภายหลัง สำหรับเมล็ดพันธุ์ในยุคแรก บิดา “นำมาจากเมืองจีนขายให้แก่เกษตรกรและส่งขายให้ร้านค้าปลีก…”
จากคำบอกเล่าของธนินท์ เจียรวนนท์ ยังระบุว่า “เจี่ย เอ็กชอ” ผู้เป็นบิดาริเริ่มพิมพ์ “วันหมดอายุ” ลงบนบรรจุภัณฑ์ หากหมดอายุแล้ว ลูกค้าสามารถนำมาเปลี่ยนใหม่ได้ฟรี โดย “เจี่ย เอ็กชอ” มองว่า เกษตรกรหารายได้อย่างยากลำบาก จึงให้นำสินค้ามาเปลี่ยนได้
หากย้อนกลับไปนึกถึงคำเล่าลือบอกต่อกันมาเกี่ยวกับชาวจีน (แต้จิ๋ว) ตระกูลเจียรวนนท์และกิจการเกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ผักคืออีกหนึ่งภาพสะท้อนที่สอดคล้องกับคำเล่าลือเรื่องทักษะความสามารถของชาวจีนแต้จิ๋วที่โดดเด่นเรื่องทักษะการค้าขายและความเชี่ยวชาญด้านการเกษตร
นักวิชาการที่ศึกษาเรื่องชาวจีนในไทยอย่าง จี วิลเลียม สกินเนอร์ ยังระบุว่า ลักษณะความเชี่ยวชาญด้านการเกษตรของชาวแต้จิ๋วคืออีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้จำนวนชาวแต้จิ๋วในไทยเพิ่มอย่างรวดเร็ว โดย ช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 ประมาณ พ.ศ. 2353 ความต้องการผลผลิตการเกษตรในตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างมาก การเกษตรทางภาคตะวันออกเฉียงใต้และตอนล่างของไทยจึงเริ่มพัฒนา โดยการเพิ่มผลผลิตของน้ำตาล พริกไทย และผลิตผลการเกษตรอื่นๆ ที่ชาวจีนปลูกกันในภาคกลางระหว่างครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ล้วนดึงดูดชาวแต้จิ๋วให้มากรุงเทพฯ
ในฟากของตระกูลเจียรวนนท์ ที่เข้ามาบุกเบิกกิจการค้าเมล็ดพันธุ์ในไทยมีเรื่องเล่าในหมู่ญาติว่า ความสามารถด้านการคัดสรรและเพาะพันธุ์เมล็ดพืชมีที่มาจากฝั่งย่าทวดในตระกูลซึ่งรักการเพาะปลูก พืชที่ย่าทวดปลูกมักงอกงามได้ผลดี พืชที่ท่านชอบปลูกคือเก๊กฮวย พืชพื้นบ้านในจีน
ว่ากันว่า ความสามารถนี้ตกทอดมาสู่ทายาทรุ่นหลัง โดยกรณีของเจี่ย เอ็กชอ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งในแง่การศึกษาทดลองเมล็ดพันธุ์ผัก เมื่อมาทำการค้าก็ประสบความสำเร็จ เมล็ดพันธุ์ขายดีมาก บางช่วงต้องอาศัยญาติในครอบครัวมาช่วยกันบรรจุเมล็ดพันธุ์ใส่ซองในยามราตรี ทายาทของคุณแม่เจียร เจียรวนนท์ ภรรยาของ “เจี่ย จิ้นเฮี้ยง” หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งเจียไต๋ เล่าว่า ช่วงที่ขายดีจนทำไม่ทัน เมื่อตื่นมาตอนเช้าแล้วก็ต้องรีบทำต่อด้วย
ภายหลังจากเจียไต๋ ลงหลักปักฐานได้ดีในไทยแล้ว ตระกูลเจียรวนนท์ยังขยายกิจการต่อมาสู่ “เจริญโภคภัณฑ์” เป็นกิจการจำหน่ายอาหารสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในไทยในสมัยนั้น “ร้านเจริญโภคภัณฑ์” มีจรัญ เจียรวนนท์ และมนตรี เจียรวนนท์ พี่ชายทั้งสองของธนินท์ เจียรวนนท์ ร่วมกันก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2496
ธนินท์ เจียรวนนท์ เล่าไว้ว่า ในยุคที่หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ (สุวรรณ เรศานนท์) อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ริเริ่มพัฒนาการเลี้ยงไก่ไข่ในไทย เมื่อการเลี้ยงไก่ไข่ได้รับความนิยม แน่นอนว่า ความต้องการอาหารเลี้ยงไก่ก็ตามมา โดยยี่ห้อสตางค์ผลิตอาหารไก่ไข่ตามหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจมาเป็นรายแรก ตามด้วยรวงทอง และร้านเจริญโภคภัณฑ์เป็นรายที่ 3 ซึ่งผลิตอาหารไก่ไข่ แม้จะเป็นรายที่ 3 แต่ด้วยการยึดมั่นในคุณภาพตามคำสอนของบิดา จึงทำให้กิจการพัฒนาเติบใหญ่และขยายต่อเนื่องมาจนวันนี้
จากวิทยาการด้านการเกษตรด้วยความสามารถของเจี่ย เอ็กชอ ผู้บุกเบิกกิจการเจียไต๋ในไทย ร่วมกับเจี่ย จิ้นเฮี้ยง จุดแรกเริ่มที่ทำให้กิจการชาวจีนแต้จิ๋วก่อรากฐานมั่นคงในไทยได้ก็ด้วยการค้าเมล็ดพันธุ์คุณภาพ ค้าขายด้วยความซื่อตรง ทำให้ลูกค้าที่เป็นเกษตรกรสามารถทำผลผลิตออกมาได้ตามใจหวัง ตามความหมายของชื่อร้านที่คำว่า เจีย หมายถึง ซื่อตรง ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม ส่วน ไต๋ แปลว่า ยิ่งใหญ่ไพศาล
หากนับจากปีที่เจียไต๋ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2464 มาจนถึงวันนี้ (พ.ศ. 2564) กิจการมีอายุ 100 ปีพอดี แต่เส้นทางของธุรกิจที่เริ่มต้นจากการค้าเมล็ดพันธุ์ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ต่อยอดมาจากจุดเริ่มต้นในอดีตที่ผู้ร่วมก่อตั้งนำผลิตภัณฑ์การเกษตรเข้ามาบุกเบิกในไทยขยับขยายกิจการมาเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอีกหลากหลายประเภท
คัดเนื้อหาจาก ทรงวาดศตวรรษ
อ่านเต็มตอนได้ที่
#ซีพี #เจียไต๋ #เจริญโภคภัณฑ์ #ร้อยปีซีพี
โฆษณา