Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
16 พ.ย. 2021 เวลา 12:26 • กีฬา
เหตุการณ์คลาสสิค วาเลนติโน่ รอสซี่ "ย้ายค่าย" จากฮอนด้า ไปยามาฮ่า เรื่องราวเป็นอย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะย้อนอดีตให้ฟัง
1
ในวงการมอเตอร์ไซค์ เรารู้กันดีว่าฮอนด้า กับ ยามาฮ่า เป็นคู่แข่งกันโดยตรง ทั้งเรื่องยอดขายสินค้า และเรื่องการชิงชัยในโลกมอเตอร์สปอร์ต
2
ถ้าไปดูในการแข่งโมโตจีพี ช่วง 40 ปีที่ผ่านมา หากไม่นับ ซูซูกิที่ได้แชมป์ 5 ครั้ง และ ดูคาติ ที่ได้แชมป์ 1 ครั้ง ที่เหลืออีก 34 ครั้ง ฮอนด้า กับ ยามาฮ่า แบ่งกันได้แชมป์ทั้งหมด นี่คือ 2 บริษัทผู้ผลิตที่ครองความยิ่งใหญ่ในวงการมอเตอร์ไซค์ยุคปัจจุบัน
ด้วยการที่ต้องชิงชัยกันอย่างเข้มข้นขนาดนี้ แต่ละบริษัท จึงต้องพยายามเหนี่ยวรั้งซูเปอร์สตาร์เอาไว้อยู่กับทีมต่อไปให้นานที่สุด ไม่ให้ข้ามฟากไปยังทีมคู่แข่งง่ายๆ อย่างมาร์ก มาร์เกวซ ก็ถือเป็นไข่ในหินของฮอนด้า ยังไงก็คงยากที่จะปล่อยให้ย้ายไปซบยามาฮ่าแน่ๆ
1
ในประวัติศาสตร์ของโมโตจีพี มีนักขับแค่ 2 คนเท่านั้น ที่ได้แชมป์โลกกับทั้งฮอนด้า และยามาฮ่า คนแรกคือเอ็ดดี้ ลอว์สัน จากสหรัฐฯ และ คนที่ 2 คือ วาเลนติโน่ รอสซี่ จากอิตาลี
1
เคสของรอสซี่นั้นน่าสนใจมาก กล่าวคือ เขาได้แชมป์โลกกับฮอนด้า 3 สมัยซ้อน (2001, 2002, 2003) ถ้ามองจากสายตาคนทั่วไป ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องย้ายทีม ถ้าอยู่ฮอนด้าต่อ ไปเรื่อยๆ ก็สามารถคว้าแชมป์ได้ต่อเนื่องอีกหลายปี
1
แต่รอสซี่กลับเลือกย้ายไปยามาฮ่า ที่ ณ เวลานั้น ศักยภาพเป็นรองชัดเจน ถ้าดูสถิติจะเห็นว่า ยามาฮ่าไม่ได้แชมป์โลกมา 11 ปีติดต่อกันแล้ว (1993-2003) หลายคนบอกว่ายามาฮ่ากำลังอยู่ในช่วงขาลง แต่แม้จะรู้ทั้งรู้ รอสซี่ ก็กล้าย้ายไปอยู่ดี
มันเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น ณ ตอนนั้น เราจะย้อนไปดูประวัติศาสตร์ที่สำคัญนี้ด้วยกัน
เรื่องความสามารถของวาเลนติโน่ รอสซี่ ทุกคนคงรู้ดีอยู่แล้ว นี่คืออัจฉริยะเรื่องการขับขี่ยานยนต์อย่างแท้จริง ตอนเล็กๆ เขาขับโกคาร์ทและทำผลงานได้ไม่เลว แต่ด้วยฐานะทางบ้านที่ไม่ได้มีเงินเยอะ การขี่มอเตอร์ไซค์จะประหยัดค่าใช้จ่ายกว่า ทำให้รอสซี่เปลี่ยนมาขับสองล้อแทน
เมื่อจับสองล้อแล้ว ทุกอย่างมันก็คลิก เขาพัฒนาตัวเองอย่างรวดเร็วมาก เส้นทางอาชีพของรอสซี่ ได้แชมป์โลกอย่างง่ายดายมาตลอด ตั้งแต่รุ่น 125cc ตามด้วย 250cc จากนั้นในปี 2000 ตอนที่รอสซี่อายุ 21 ปี มิค ดูฮาน นักขับจากฮอนด้า ประกาศรีไทร์จากรุ่นใหญ่สุด 500cc ทำให้มีสล็อตนักขับว่างหนึ่งที่ ทีมฮอนด้าจึงดันรอสซี่จากรุ่น 250cc ขึ้นมาเสียบแทนอย่างรวดเร็ว
ปีแรกของรอสซี่ในรุ่น 500cc (ปี 2000) เขาคว้าอันดับ 2 มาครองได้อย่างเหลือเชื่อ ซึ่งสำหรับรุกกี้การได้เป็นรองแชมป์โลกเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมากแล้ว
จากนั้นปีที่สอง (ปี 2001) รอสซี่ทำให้เห็นเลยว่า ซีซั่นที่แล้ว เขาไม่ได้ฟลุ้ก เมื่อสามารถคว้าแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่ โดย 16 เรซที่ลงแข่ง เขาคว้าแชมป์ไป 11 เรซ คือทำแต้มทิ้งห่างคนอื่นแบบไม่เห็นฝุ่นเกินกว่าร้อยแต้ม
หลังจากได้แชมป์โลก ฮอนด้าต่อสัญญารอสซี่ อีก 2 ปี ด้วยค่าจ้างปีละ 5 ล้านปอนด์ ทำให้เขากลายเป็นนักขับที่มีค่าจ้างแพงที่สุดตลอดกาล ณ เวลานั้น โดยตำนานอย่างมิค ดูฮาน เคยได้สูงสุดปีละ 4 ล้านปอนด์ ส่วน คาร์ล โฟการ์ตี้ นักขับเวิลด์ซูเปอร์ไบค์คนดัง ได้ค่าจ้างปีละ 1 ล้านปอนด์เท่านั้น
ปีที่ 3 ของรอสซี่ (ปี 2002) ทางสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ ได้ปรับเปลี่ยนจากรุ่น 500cc เป็น รุ่น 990cc พร้อมทั้งรีแบรนด์ชื่อรายการใหม่เป็น "โมโตจีพี " แต่แม้กำลังเครื่องจะแรงขึ้น ตัวรอสซี่ยังคงไร้เทียมทานต่อไป เขาคว้าแชมป์โลกได้อีกสมัย เรียกได้ว่าไม่มีใครต่อกรได้เลย
1
พูดถึงแล้ว ถ้าคุณเก่งกาจจนได้แชมป์โลก 2 สมัยซ้อนแบบนี้ ความสัมพันธ์กับบริษัทต้นสังกัดน่าจะแน่นแฟ้นเอามากๆ อย่างไรก็ตาม ตัวรอสซี่กับฮอนด้า ไม่ได้สนิทใจกันขนาดนั้น สาเหตุหลักๆ เพราะฝั่งฮอนด้า ไม่ได้ให้เครดิตกับรอสซี่เท่าที่ควรจะได้รับ
ณ เวลานั้น ฮอนด้าเป็นผู้ผลิตเบอร์ 1 ของโมโตจีพีอยู่แล้ว จึงมีคำกล่าวว่า เอาใครมาขับก็คว้าแชมป์ได้ทั้งนั้น และผู้คนเริ่มตั้งคำถามว่า "รอสซี่เก่งจริง" หรือที่ชนะ "เพราะรถมันดีอยู่แล้ว"
ดราม่าครั้งแรกเกิดขึ้นในเดือนเมษายน 2003 สนามแรกของซีซั่น ในศึกแจแปนีสกรังด์ปรีซ์ ที่ซูซูกะ เซอร์กิต แน่นอนว่ารอสซี่ เข้าป้ายด้วยการเป็นแชมป์ตามคาด หลังจบเรซ ผู้จัดการทีมฮอนด้า โนริอากิ นากาตะ กล่าวชมทีมงานทุกคน วิศวกร ช่างเครื่อง แต่ไม่เอ่ยชื่อรอสซี่แม้แต่คำเดียว
1
โดยนากาตะต้องการสื่อว่า สิ่งที่ทำให้ฮอนด้าคว้าแชมป์แจแปนีส กรังด์ปรีซ์ คือศักยภาพของเครื่องยนต์ ไม่ใช่นักขับ
ตัวรอสซี่ เมื่อรู้ว่านากาตะทำแบบนั้น จึงตอบโต้ด้วยการสัมภาษณ์ว่า "ทีมฮอนด้าต้องการให้ผู้คนสนใจสมรรถนะของรถ พยายามทำให้แน่ใจ ว่าตัวรถไม่ได้โดนผมบดบังรัศมีไปหมด"
1
เรื่องนี้ก็บานปลายอีก เพราะในยุคนั้น ฮอนด้าเป็นองค์กรที่บริหารงานในสไตล์ดั้งเดิม คือต้องการให้พนักงานทำตามหน้าที่ไป อย่าโต้แย้งหรือสร้างดราม่ากับผู้บริหาร ดังนั้นเมื่อเจอรอสซี่ ที่ไม่ใช่เด็กว่านอนสอนง่ายสวนกลับมาแบบนั้น จึงเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ คือจะเห็นว่า มีร่องรอยของการผิดใจสั่งสมกันมาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว
1
บรรยากาศของมอเตอร์สปอร์ตยุคนั้น ประเด็นเรื่องรถฮอนด้ายอดเยี่ยม หรือจริงๆ รอสซี่เก่งกาจ เป็นดีเบทที่ใครๆ ก็พูดถึงกัน แม้แต่ แม็กซ์ บิอัจจิ นักขับจากยามาฮ่า มีการแซะรอสซี่เบาๆ ว่า ที่ได้แชมป์โลกเพราะอยู่กับฮอนด้าต่างหาก
แม็กซ์ บิอัจจิ
รวมไปถึงเคสของอเล็กซ์ บาร์รอส นักขับชาวบราซิลก็มีประเด็นน่าสนใจ โดยในฤดูกาล 2002 ใน เรซ 1-12 เขาขับฮอนด้า รุ่น NSR500 ผลลัพธ์คือไม่ได้แชมป์อะไรเลยแม้แต่รายการเดียว
1
แต่ในเรซที่ 13-16 เขาเปลี่ยนไปขับ ฮอนด้า RC211V รุ่นเดียวกับรอสซี่ ปรากฏว่า พอเปลี่ยนใช้รุ่นเดียวกับรอสซี่ปั๊บ ทำให้บาร์รอส คว้าแชมป์ทันที 2 สนาม คนก็เลยวิจารณ์ว่า ถ้าได้ขับฮอนด้าตัวท็อปแบบที่รอสซี่ขับ ใครๆ ก็เก่งเป็นเทพได้ทั้งนั้นล่ะวะ
ปีที่ 4 ของรอสซี่กับฮอนด้า (ปี 2003) เขาโชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมตามมาตรฐาน ทำแต้มนำโด่ง น่าจะได้แชมป์แบบสบายๆ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เหมือนเดิมอีกครั้งคือ ฝั่งผู้ผลิตจะรับเครดิตแทบทั้งหมด และให้คุณค่ากับนักขับน้อยมาก รอสซี่เคยออกมาให้สัมภาษณ์อย่างดุเดือดว่า "มันทำให้ผมโมโหทุกครั้ง ที่ผู้คนไม่เห็นความสำคัญกับสิ่งที่ผมทำเลย ทุกคนควรจะเข้าใจว่า ความสำเร็จของฮอนด้ามีผมเป็นองค์ประกอบสำคัญอยู่ด้วย"
ขณะที่บรรยากาศของฮอนด้า ก็เต็มไปด้วยความจริงจัง ไม่มีใครหัวเราะ ไม่มีใครเล่นมุกตลก ซึ่งขัดกับนิสัยของรอสซี่ จนเขาบ่นอุบว่า "ผมไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศที่ไม่มีเสียงหัวเราะ คนทำงานที่นี่ไม่สามารถที่จะยิ้มได้ด้วยซ้ำ"
เข้าสู่ช่วงกลางฤดูกาล สัญญาของรอสซี่ใกล้จะหมด ฝั่งรอสซี่เจรจาขอค่าเหนื่อยเพิ่มเป็น 7 ล้านปอนด์ต่อปี เพื่อทำลายสถิติค่าจ้างแพงที่สุดในวงการมอเตอร์ไซค์อีกครั้ง ในมุมของรอสซี่ เขาเป็นแชมป์โลก 2 สมัยซ้อน และกำลังจะได้สมัยที่ 3 ก็สมควรได้รับค่าเหนื่อยระดับนี้
แต่คาร์โล ฟิโอรานี่ ทีมบอสของฮอนด้า ให้สัมภาษณ์ว่า "ตัวเลขที่เขาต้องการ กับตัวเลขที่ฮอนด้าต้องการจะจ่าย มีช่องว่างต่างกันอย่างสิ้นเชิง วาเลนติโน่ต้องเข้าใจก่อนว่า เราไม่สามารถยื่นเช็กเปล่า แล้วให้เขากรอกตัวเลขที่ต้องการได้หรอกนะ"
เราจะเห็นได้เลยว่า ความเชื่อใจระหว่างรอสซี่ กับ ฮอนด้า ที่มีให้กันนั้น ดูจะง่อนแง่นมาก ฝั่งรอสซี่ก็มั่นใจในความสามารถของตัวเอง ว่าตัวเขาต่างหากที่เก่ง แต่ฝั่งฮอนด้าก็มองว่า รถของเราดีต่างหาก มันเป็นความเห็นที่ไม่ตรงกันของทั้ง 2 ฝ่าย
จุดแตกหักสำคัญ เกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2003 เพราะมีข่าวลือหลุดออกมาว่า รอสซี่ คุยกับฮอนด้าไม่ลงตัว และจะเริ่มเจรจากับทีมอื่นแล้ว แทนที่ฝั่งฮอนด้าจะเร่งปิดดีลรอสซี่ให้ได้เพื่อสยบข่าวลือ แต่ผู้บริหารฮอนด้า ซูกูรุ คานาซาวะ ประกาศผ่านสื่ออย่างชัดเจนว่า "ถ้าวาเลนติโน่เลือกย้ายไปขับให้ผู้ผลิตรายอื่น เราก็จะสร้างมอเตอร์ไซค์ที่ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อบดขยี้เขากับทีมใหม่ให้ราบคาบ"
1
การโดนพูดซะขนาดนั้น ทำให้รอสซี่เริ่มต้นเจรจากับทีมอื่นอย่างเปิดเผย
ทีมแรกที่เขาไปคุยก่อนคือดูคาติ โดยรอสซี่ ไปเยี่ยมชมโรงงานดูคาติที่โบโลญญ่ามาแล้ว อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่าดูคาติจะมีแนวทางเหมือนฮอนด้า คือใส่ใจรถกับเทคโนโลยีมาก่อนคนขับ ดังนั้นรอสซี่จึงปฏิเสธข้อเสนอของดูคาติไป
เมื่อข่าวว่ารอสซี่ไม่เอาดูคาติหลุดออกไป ฝั่งยามาฮ่าจึงเริ่มมองความเป็นไปได้ที่จะดึงรอสซี่มาอยู่ด้วย
ทาคาชิ คาจิคาวะ รองประธานยามาฮ่า เล่าว่า "เราเริ่มเปิดประเด็นกันว่าทำไมไม่ลองทาบทามรอสซี่เข้ามาสู่ยามาฮ่าดู และทีมงานของเราบอกว่า ถ้าเราได้ตัวเขาจริงๆ ทุกคนจะยอมทำอย่างที่รอสซี่ต้องการ คือเราจะสร้างรถโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง"
มุมของยามาฮ่านั้น พวกเขาไม่ได้แชมป์โลกมาแล้ว 11 ปี ดังนั้นโอกาสดีที่สุด ที่จะโค่นล้มอาณาจักรของฮอนด้า คือเอาแชมป์โลก 3 สมัยมาอยู่ด้วย มาเริ่มต้นสร้างความยิ่งใหญ่ไปพร้อมๆ กัน และรอสซี่อยากได้อะไร ทีมงานจะจัดให้ทุกอย่าง
เมื่อตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าจะเอา ยามาฮ่าจึงทาบทามรอสซี่ในที่สุด
สำหรับรอสซี่ ข้อเสนอจากยามาฮ่าถือว่าน่าสนใจ อย่างน้อยที่สุดนี่ก็เป็นผู้ผลิตที่จะให้เครดิตเขา มากกว่าที่ฮอนด้าเคยให้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่รอสซี่ต้องคิดให้ดีคือ จะย้ายจากทีมที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว ไปนับหนึ่งกับทีมใหม่จริงๆ หรือ
ณ เวลานั้น ช่องว่างของฮอนด้ากับยามาฮ่าในโมโตจีพีนั้นกว้างใหญ่มาก เพราะนักขับของยามาฮ่าที่ได้แชมป์โลกคนสุดท้ายคือ เวย์น เรนีย์ ในปี 1992 ยุคนั้นก็ยังเป็น 500cc อยู่เลย และในตอนนี้ ทีมยามาฮ่าก็มีนักขับระดับธรรมดา เช่น คาร์ลอส เชก้า หรือ มาร์โก เมลันดรี้
ตรงข้ามกับฮอนด้าที่ครองความยิ่งใหญ่อย่างมากในทศวรรษที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีหลังที่เปลี่ยนเป็นโมโตจีพี (2002 กับ 2003) มีการแข่งทั้งหมด 33 เรซ ฮอนด้ากวาดแชมป์ไปซะ 29 เรซ
ว่ากันง่ายๆ ถ้าหากรอสซี่อยากคว้าแชมป์ไปเรื่อยๆ อีก 3-4 ปีติดๆ กัน การอยู่ฮอนด้าต่อก็เป็นชอยส์ที่เพลย์เซฟกว่ามาก ต่อให้จะอึดอัดใจตอนทำงานก็ฝืนๆ กันไป เพราะถ้าสุดท้ายได้แชมป์โลกมันก็น่าจะโอเค
แปลง่ายๆ ว่า รอสซี่จำเป็นต้องเลือก ระหว่างความสำเร็จที่การันตี กับความสบายใจในการทำงาน
หลังจากคิดคำนวณอยู่นานในที่สุด รอสซี่เลือก "ยามาฮ่า" เหตุผลคือคับที่อยู่ได้คับใจอยู่ยาก
คริส เฮอร์ริ่ง ผู้จัดการทีมเวิลด์ซูเปอร์ไบค์ของฮอนด้า เล่าว่า "นักขับอิตาเลียนเป็นพวกต้องการความรัก ความสนใจ มากเป็นพิเศษ พวกเขาต้องการความสัมพันธ์ และความสนิทสนมภายในทีมเป็นอย่างมาก และนั่นคือสิ่งที่ทีมฮอนด้า มีให้วาเลนติโน่ไม่ได้"
สุดท้ายเมื่อหมดสัญญากับฮอนด้า ในวันที่ 31 ธันวาคม 2003 รอสซี่ จึงย้ายค่ายแบบ 360 องศามาอยู่ยามาฮ่าแทน แม้จะรู้ดีว่าเขาต้องเหนื่อยแสนสาหัสแน่นอนในการป้องกันแชมป์ เพราะคุณภาพของรถแข่งขันชั่วโมงนั้น ฮอนด้าดูได้เปรียบจริงๆ
ตอนย้ายออกมา รอสซี่ โน้มน้าวสตาฟฟ์ที่เขาเชื่อใจตอนร่วมงานกันที่ฮอนด้า ให้ย้ายมาทำงานด้วยกันที่ยามาฮ่า ซึ่งหลายคนตอบตกลง ยอมทิ้งงานที่มั่นคงอยู่แล้ว มาเดิมพันกับรอสซี่ อย่างไรก็ตามฝั่งฮอนด้า ณ เวลานั้น ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก จะเสียสตาฟฟ์คนไหนก็เสียไป หาใหม่ได้เสมอ กับทัศนคติว่า "เราคือฮอนด้า มอเตอร์ไซค์ของเรายังไงก็ชนะได้อยู่แล้ว"
สำหรับรอสซี่ การย้ายทีมครั้งนี้เป็นการเดิมพันที่สูงมากจริงๆ เพราะถ้าหากเขาล้มเหลวกับยามาฮ่า คนก็จะพูดทันทีว่า "ก็ว่าแล้ว ว่าเก่งได้เพราะรถดี" กลายเป็นว่าคำที่คนเคยดูถูกจะเป็นจริงขึ้นมาเลยทันที ดังนั้นเขาจึงโฟกัสมากๆ ทุกอย่าง ทั้งการปรับแต่งรถ และการซ้อม
แต่เอาจริงๆ ฝั่งยามาฮ่าไม่ได้กดดันรอสซี่มาก ยามาฮ่าบอกว่า "ปีแรกเรียนรู้ ปีที่สองค่อยลุ้นแชมป์" แต่รอสซี่อยากได้แชมป์เลยทันทีตั้งแต่ปีแรกมากกว่า
3
หลังจากรอคอยมาหลายเดือน ในที่สุดฤดูกาล 2004 ก็เริ่มต้นขึ้นในเรซแรก ที่ประเทศแอฟริกาใต้ ในศึกเซาธ์แอฟริกัน กรังด์ปรีซ์
1
โดยยามาฮ่า ก็มีรอสซี่เป็นตัวที่ดังสุด ส่วนฮอนด้า มีตัวท็อปมากมาย โดยคนที่เด่นที่สุด คือแม็กซ์ บิอัจจิ คนที่เคยแซะรอสซี่ในอดีต ตอนนี้เขาย้ายข้ามฟากไปอยู่ฮอนด้าแล้ว
ถ้าพูดด้วยความสัตย์จริง รถยามาฮ่าตอนนั้น ต้องยอมรับว่ามีความเร็วน้อยกว่าฮอนด้ากับดูคาติ แต่ด้วยเทคนิคอันมหัศจรรย์ของรอสซี่ ทำให้เขาคว้าโพล โพสิชั่นได้สำเร็จตั้งแต่รายการแรก
1
จากนั้นเข้าสู่วันแข่งจริง หลังจากผ่านไปครึ่งทาง (14 จาก 28 รอบ) มีนักขับเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น ที่มีลุ้นแชมป์ในเรซนี้ ได้แก่ รอสซี่จากยามาฮ่า และบิอัจจิจากฮอนด้า
ตอนเหลือ 10 รอบสุดท้ายรอสซี่นำอยู่ แต่บิอัจจิไล่บี้และแซงทางตรงขึ้นนำได้สำเร็จตอนเหลืออีก 5 รอบ
สถานการณ์ตอนนี้ บิอัจจิได้เปรียบอย่างมาก แต่แล้วตอนเหลืออีกแค่ 2 รอบสุดท้ายรอสซี่โฉบเข้าวงในตัดหน้าแซงได้อย่างเหนือชั้น
1
2 รอบสุดท้ายเป็นการไล่บี้กันชนิดที่ใครพลาดแม้แต่นิดเดียวจะเป็นฝ่ายแพ้แน่นอน เวลาที่บิอัจจิตามหลังรอสซี่อยู่ที่ 0.056 คือน้อยกว่าเสี้ยววินาทีเสียอีก มันไล่จี้กันดุเดือดขนาดนั้น
ในรอบสุดท้าย รอสซี่ใช้ประสบการณ์แชมป์โลกสามสมัย เขาไม่ทำพลาดเลยแม้แต่จังหวะเดียว สุดท้ายเร่งเครื่องเข้าเส้นชัยได้แบบระทึกสุดๆ
นี่เป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของทีมยามาฮ่า พวกเขาสามารถประเดิมชัยชนะได้ตั้งแต่เรซแรกของฤดูกาล
แน่นอน สำหรับตัวรอสซี่เอง เขารู้สึกถึงความพิเศษอย่างมาก โดยรอสซี่ให้สัมภาษณ์ว่า "90 วันที่แล้ว ผมไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ มันไม่น่าจะคว้าชัยชนะได้จริงๆ แต่กลับกลายว่า นี่เป็นเรซที่ดีที่สุดในชีวิตของผม มันไม่อยากเชื่อเลยว่าตัวเองจะชนะ มันเป็นเหมือนปาฏิหาริย์ชัดๆ"
"ตอนนี้ผมได้แต่หัวเราะออกมา เพราะความรู้สึกมันไหลรวมกัน ทั้งภูมิใจ โล่งใจ และมีความสุข"
ในที่สุดรอสซี่ ก็พิสูจน์ตัวเองให้โลกได้เห็นแล้วว่า เขาเก่งเพราะความสามารถตัวเอง ไม่ใช่เก่งแค่เพราะรถดี เหมือนที่โดนแซะ โดนแขวะแต่แรก
รอสซี่กับยามาฮ่า เป็นพาร์ทเนอร์กันที่ยอดเยี่ยม สุดท้ายพวกเขาคว้าแชมป์โลกได้สำเร็จในปี 2004 จากตอนแรกที่ยามาฮ่าไม่ได้หวังว่าจะได้แชมป์ทันทีในซีซั่นแรก สุดท้ายรอสซี่คว้าแชมป์ได้ทันทีแบบไม่ต้องรอ
แน่นอนว่า คำดูถูกว่าเขาเก่งเพราะรถ ก็หายไปอย่างสิ้นเชิง ทุกคนยอมรับรอสซี่คือเพชรแท้ของจริง
และจากนั้น รอสซี่ ก็ได้แชมป์โลกกับยามาฮ่าอีก 3 สมัยคือ 2005, 2008 และ 2009 รวมแล้ว เขาคว้าแชมป์โลกทั้งหมด 7 สมัย (ฮอนด้า 3 - ยามาฮ่า 4)
นี่คือตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในโลกมอเตอร์สปอร์ต โดยคนที่ได้แชมป์โลกมากกว่ารอสซี่ มีแค่คนเดียวคือ จาโคโม่ อกอสตินี่ (8 สมัย) แต่นั่นก็เป็นในยุค 500cc ไม่ใช่ยุคโมโตจีพี
เรื่องของรอสซี่ เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจว่า ความสำเร็จของมอเตอร์สปอร์ต สุดท้ายแล้วมันคือส่วนผสมระหว่าง เครื่องยนต์กับนักขับ
เครื่องยนต์สุดยอด แต่นักขับไม่เก่งพอ ก็ยากจะเป็นแชมป์ เช่นเดียวกับ นักขับเก่งกาจ แต่เครื่องยนต์ย่ำแย่ ก็ยากจะไปถึงเป้าหมายเช่นกัน ดังนั้นองค์ประกอบสองอย่างต้องรวมเข้าไว้ด้วยกัน
ณ เวลานี้ รอสซี่ประกาศรีไทร์จากโมโตจีพีเรียบร้อยแล้วด้วยวัย 42 ปี เรื่องความสำเร็จไม่ต้องพูดถึง รอสซี่ เป็นนักกีฬาที่คว้าแชมป์ได้มากที่สุดตลอดกาล รวมแล้ว 89 เรซ
แต่ที่ผู้คนชื่นชมเขามากกว่าจำนวนแชมป์ คือเรื่องความกล้าที่จะท้าทายตัวเอง ย้ายจากทีมที่ประสบความสำเร็จอยู่แล้ว มานับหนึ่งกับทีมใหม่ และสุดท้ายก็ยังจะกล้าๆ จะคว้าแชมป์ได้อีก ซึ่งเอาจริงๆ คงจะมีนักกีฬาน้อยคนที่จะทำได้ดีขนาดนี้
ในแต่ละวงการจะมี G.O.A.T. (Greatest of all time) ในอเมริกันฟุตบอลมีทอม เบรดี้ ในบาสเกตบอลมีไมเคิล จอร์แดน ในมวยสากลมี มูฮัมหมัด อาลี
และถ้าถามถึง G.O.A.T. ในวงการโมโตจีพีล่ะก็ ไม่มีข้อสงสัยอะไร มันก็ต้องเป็นวาเลนติโน่ รอสซี่ คนนี้แน่นอนอยู่แล้ว
1
#LEGEND
11 บันทึก
79
3
10
11
79
3
10
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย