17 พ.ย. 2021 เวลา 01:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ
PTT-GULF หุ้นพลังงานรายใหญ่ของไทย กับแนวโน้มกำไรที่ยังเติบโตต่อเนื่อง
2 หุ้นพลังงานรายใหญ่ของไทย อย่างบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT และ บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF รายงานผลประกอบการงวดไตรมาส 3/64 และงวด 9 เดือนปี 64 ออกมาอย่างโดดเด่น ดังนั้นผู้เขียนจะพานักลงทุนมาหาคำตอบว่า นับจากนี้ผลประกอบการทั้ง 2 บริษัทจะมีความน่าสนใจแค่ไหน
เริ่มจาก PTT งวดไตรมาส 3/64 มีกำไรสุทธิ 23,652.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.5% จากงวดเดียวกันปี 63 ที่มีกำไร 14,120.18 ล้านบาท มี EBITDA เพิ่มขึ้น 43,057 ล้านบาท หรือ 63.8% จากในไตรมาส 3/63 โดยหลักมาจากกลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น
ตามผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจปิโตรเคมีจากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีกับวัตถุดิบทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์ที่ปรับตัวสูงขึ้นและปริมาณขายโดยรวมที่เพิ่มขึ้น สุทธิกับผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจการกลั่นตามปริมาณขายที่ลดลง ประกอบกับเกิดขาดทุนจากการป้องกันความเสี่ยงที่สูงขึ้นในไตรมาสนี้ แม้ว่ากำไรสต็อกน้ำมันของกลุ่ม ปตท.จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2,000 ล้านบาท ตามราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่มากกว่าในไตรมาส 3/63
ในส่วนของธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม มีผลการดำเนินงานปรับตัวดีขึ้นตามปริมาณขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น โดยหลักจากการเข้าซื้อโครงการโอมาน แปลง 61 ในเดือน มี.ค.64 และราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งกลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติมีผลการดำเนินงานดีขึ้น จากธุรกิจโรงแยกก๊าซธรรมชาติและ ธุรกิจจัดหาและจัดจำหน่ายก๊าซฯ จากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น
ทำให้งวด 9 เดือน มีกำไรสุทธิ 80,819.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 228.27% เทียบช่วงเดียวกันปี 63 ที่มีกำไร 24,619.11 ล้านบาท ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 64 มี EBITDA จำนวน 326,685 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 172,627 ล้านบาท หรือมากกว่า 100% จากช่วง 9 เดือนแรกของปี 63
นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ PTT เปิดเผยว่า กลุ่ม ปตท. ได้เตรียมแผนลงทุน 5 ปี รวม 865,000 ล้านบาท เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจตามกรอบวิสัยทัศน์ Powering Life with Future energy and Beyond ขับเคลื่อนทุกชีวิต ด้วยพลังงานแห่งอนาคต ร่วมผลักดันอุตสาหกรรมเป้าหมายของประเทศ (New S-Curve)
ประกอบด้วยการลงทุนในพลังงานอนาคต (Future Energy) อาทิ พลังงานทดแทน ระบบการกักเก็บพลังงาน ธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า ศึกษาการใช้พลังงานจากไฮโดรเจน และลงทุนนอกธุรกิจพลังงาน(Beyond) อาทิ ธุรกิจวิทยาศาสตร์เพื่อชีวิต (ยา อาหารและโภชนาการ วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์) ต่อยอดธุรกิจปิโตรเคมีสู่ผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ปรับธุรกิจน้ำมันให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ธุรกิจโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงระบบปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และเทคโนโลยีดิจิทัล
PTT มีปัจจัยบวกรุมเพียบ
ขณะที่มุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า PTT มีปัจจัยบวกหลายประการที่จะผลักดันให้กำไรไตรมาส 4/64 เติบโตจากไตรมาสก่อน และโตสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ 1.ปริมาณขายบวกราคาขายของ PTTEP เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลและตามราคาน้ำมันดิบ
2.ธุรกิจโรงกลั่นจะได้แรงหนุนจากค่าการกลั่นที่พุ่งขึ้น ร่วมกับปริมาณขายสูงขึ้นจากการผ่อนคลาย มาตรการล็อกดาวน์ 3. กำไร OR น่าจะฟื้นตัวจากฐานต่ำตามปริมาณขายน้ำมันที่สูงขึ้นและการเปิดห้างทำให้ ธุรกิจ Retails ฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามมาร์จิ้นว่าจะกระทบมากน้อยเพียงใด
4.กำไรของธุรกิจถ่านหิน เพิ่มขึ้นตามราคาถ่านหินที่สูงขึ้น และ 5. ธุรกิจก๊าซจะได้แรงหนุนจากปริมาณขายที่สูงขึ้นจากการปิดซ่อมบำรุงลดลง ความต้องการก๊าซของโรงไฟฟ้าสูงขึ้นตาม High season ของ Hydro ได้ผ่านไปแล้ว มีโรงไฟฟ้ า IPP ของ GULF เริ่ม COD ตั้งแต่ 1 ต.ค. ร่วมกับราคาขายเฉลี่ยที่สูงขึ้นตามราคาอ้างอิง ปัจจัยบวกทั้งหมดนี้จะหนุนให้กำไรทั้งปี 64 กลับไปสู่ระดับแสนล้านบาท อีกครั้ง โดยคาดปี 64 จะรายงานกำไรสุทธิ 108,270 ล้านบาท เติบโต 187% จากปี 63
ดังนั้นยังแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 48.50 บาท โดยมองว่าปัจจัยพื้นฐานของ PTT มีความแข็งแกร่ง ทิศทางกำไรยังคงเติบโต โดยเฉพาะจากธุรกิจก๊าซซึ่งดำเนินงานเอง นอกจากนั้น Valuation ยังน่าสนใจเพียง P/BV 1 เท่า และคาดเงินปันผลเพิ่มขึ้น ตามกำไรที่ปรับขึ้นดีโดยคาด D/P สูงถึง 6% รวมถึงการมีเงินสดในมือจำนวนมากจะหนุนโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ
GULF ไตรมาส 3/64 กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 64%
ถัดมา GULF นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ กรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน เปิดเผยว่า ไตรมาส 3/2564 บันทึกกำไรสุทธิ (Net Profit) เท่ากับ 1,588 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 64% จาก 970 ล้านบาทในไตรมาส 3/63 เนื่องจากบันทึกผลขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Unrealized Loss) จำนวน 767 ล้านบาท จากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ที่อ่อนค่าลงจาก 32.22 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาส 2 มาเป็น 34.09 บาท/ดอลลาร์ ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2564
โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) จำนวน 2,293 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 968 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อน สาเหตุหลักมาจากการรับรู้รายได้เงินปันผลจาก INTUCH จำนวน 1,666 ล้านบาท ประกอบกับรับรู้ผลกำไรของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ หน่วยที่ 1 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2564
และกำไรที่เพิ่มขึ้นจากโครงการโรงไฟฟ้า 12 SPP ภายใต้กลุ่ม GMP จากปริมาณการขายไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และลูกค้าอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องประดับ กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มบรรจุภัณฑ์ โดย 12 SPP มี Load Factor เฉลี่ยของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสนี้ เท่ากับ 59% เทียบกับ 57% ปีที่แล้ว
นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้า 7 SPP ภายใต้กลุ่ม GJP ยังสามารถขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากกลุ่มสิ่งทอ และกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยมี Load Factor เฉลี่ยของกลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมเท่ากับ 61% เมื่อเทียบกับ 60% ในปีก่อน อย่างไรก็ตาม โครงการโรงไฟฟ้า GNS ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้ GJP มีการหยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 3 ปี 2564 เป็นเวลา 10 วัน จึงส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานของ GJP ลดลงในไตรมาสนี้เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2563
นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2564 BGSR 6 และ BGSR 81 ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง GULF บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียนิ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) และบริษัท ราช กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)
โดยได้ลงนามสัญญาร่วมทุนระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชน (Private Public Partnership: PPP) กับกรมทางหลวง เป็นระยะเวลา 30 ปี เพื่อดำเนินโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 สายบางปะอิน-นครราชศรีมา (M6) ระยะทาง 196 กิโลเมตร และโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 สายบางใหญ่-กาญจนบุรี (M81) ระยะทาง 96 กิโลเมตร โดยคาดว่าทั้ง 2 โครงการจะเริ่มงานก่อสร้างภายในเดือนธันวาคม 2564 และมีกำหนดเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2567
นอกจากนี้ GULF ได้ปรับโครงสร้างการลงทุนในกลุ่มบริษัท โดยจัดตั้งบริษัท Gulf Renewable Energy ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ GULF ถือหุ้น 100% มาดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานหมุนเวียนทั้งหมด เช่น โครงการพลังงานลม โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ โครงการโซล่าร์รูฟท็อบ โครงการพลังงานชีวมวล และโครงการพลังน้ำ รวมถึงศึกษาโครงการพลังงานหมุนเวียนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดย GULF มีนโยบายไม่ลงทุนในธุรกิจถ่านหิน (No Coal Policy) และตั้งเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งจากพลังงานหมุนเวียนให้มากกว่า 30% ของกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งรวมของ GULF ภายในปี 2573
นางสาวยุพาพิน กล่าวต่อว่า ไตรมาส 4/2564 GULF มีความคืบหน้าของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 โครงการโรงไฟฟ้า GSRC หน่วยที่ 2 ขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 662.5 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ ซึ่งเป็นไปตามแผน นอกจากนี้ โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F ที่ GULF ร่วมทุนกับบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด และ CHEC OVERSEA INFRASTRUCTURE HOLDING PTE. LTD. เพื่อดำเนินธุรกิจขนส่งตู้สินค้าผ่านท่าเทียบเรือน้ำลึกนั้น คาดว่าจะสามารถลงนามสัญญาร่วมลงทุนระหว่างหน่วยงานภาครัฐและเอกชนกับการท่าเรือแห่งประเทศไทย ภายในเดือนพฤศจิกายน 2564
สำหรับความคืบหน้าของโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำที่ประเทศลาว ได้แก่ โครงการ Pak Beng กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 912 เมกะวัตต์ และโครงการ Pak Lay กำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ คาดว่าจะสามารถลงนามบันทึกความเข้าใจการรับซื้อไฟฟ้า (Tariff MOU) กับ กฟผ. ได้ภายในสิ้นปี 2564 เช่นกัน
GULF ไตรมาส 4 โตได้อีก
ด้านมุมมองของนักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/64 เติบโตสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการบันทึกกำไรของ INTUCH และโครงการใหม่ โดย GULF ได้เปลี่ยนวิธีการบันทึกบัญชีสำหรับเงินลงทุนใน INTUCH เป็น Equity Method ทำให้จะเริ่มต้นรับรู้ส่วนแบ่ง กำไรเป็นครั้งแรกในไตรมาส 4/64 คาดราว 1.1 พันล้านบาท (เทียบกับเงินปันผล 1.7 พันล้านบาท ใน 3Q64 และไม่มีใน 4Q63) โดยจะส่งผลให้กำไรไตรมาส 4/64 เติบโตสูงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนั้น กำไรจะได้แรงหนุนจากการเริ่ม COD ของโครงการ IPP GSRC หน่วยที่ 2 อีก 662.5 MW เมื่อ 1 ต.ค. ทำให้รับรู้เต็มไตรมาสเป็นครั้งแรก อีกทั้งกำไรจาก BKR2 น่าจะสูงขึ้นตามความเร็วลมที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล และอาจจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการ Wind ที่เวียดนามอีกเล็กน้อย ซึ่งมีกำหนด COD ในเดือน ธ.ค. 64 จึงคาดปี 64 จะรายงานกำไรสุทธิ 7,793 ล้านบาท เติบโต 82% จากปีก่อน
ทั้งนี้ด้วยแนวโน้มกำไรปกติไตรมาส 4/64 เติบโตสูงจาก INTUCH และโครงการใหม่ และยังมีประเด็นบวกรออยู่ข้างหน้าจากความเคลื่อนไหวของธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวกับ Data Center ร่วมกับ Singtel และ ADVANC การทำ Assets Monetization ทั้งของ GULF และ ADVANC และ ความคืบหน้าของแผน PDP ฉบับใหม่ ซึ่งน่าจะมีความคืบหน้าโครงการ Hydro ที่ลาว ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่ GULF มุ่งหวัง ทำให้ยังแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” พร้อมให้ราคาเป้าหมาย 45.00 บาท
PTT-GULF หุ้นพลังงานรายใหญ่ของไทย
ติดตามอัพเดตความรู้ทางการเงิน-การลงทุนได้ที่
.
Facebook : Wealthy Thai
โฆษณา