17 พ.ย. 2021 เวลา 01:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ
🚀ทำความรู้จักโลกการลงทุนของ Start-Up และกองทุน Start-Up แรกของไทยในชื่อ Finnoventure Fund I
หลายคนคงได้ดูซีรีย์เกาหลีเรื่อง Start-Up ที่ดังเป็นพลุแตกเมื่อปีที่แล้ว แน่นอนว่าแอดมินก็ชอบ และดูหลายรอบแล้วเช่นกัน ซีรีย์ทั้ง 16 ตอนได้ดำเนินเรื่องให้เราได้เห็นภาพว่าการทำ Start-Up นั้นไม่ง่ายเลย ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มธุรกิจ การหานักลงทุน การดำเนินธุรกิจให้อยู่ได้ในะระยะยาว วันนี้ #เด็กการเงิน ขอพาทุกคนมาทำความรู้จักธุรกิจ Start-Up ในทุกแง่มุม และพามารู้จักกองทุน Start-Up แรกในไทยอย่าง Finnoventure Fund I
📌สิ่งที่จะได้จากบทความนี้
1. Start-Up คืออะไร?
2. นักลงทุนในธุรกิจ Start-Up คือใคร?
3. สี่รอบสำคัญการระดมทุนของ Start-Up: Seed, Serie A, Serie B, Serie C เป็นอย่างไร?
4. Unicorn คืออะไร?
5. Venture Capital (VC) สำคัญอย่างไร?
6. เป้าหมายของการลงทุนใน Start-Up คืออะไร?
7. รู้จักกองทุน Start-Up แรกของไทย: Finnoventure Fund I ที่ลงทุนใน Finnoventure Private Equity Trust I
1️⃣ Start-Up คืออะไร?
Start-Up เป็นคำที่ใช้เรียกบริษัทที่ทำธุรกิจ โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาปรับใช้ ซึ่งคนที่สามารถมองเห็นว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร จุดไหนที่สามารถเพิ่มความสะดวกสบายให้ผู้คนส่วนมากได้ หรือ Pain Point ของคนส่วนมากอยู่ตรงไหน แล้วเริ่มทำธุรกิจ สร้างสินค้า และการบริการเพื่อแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้ โดย Start-Up เหล่านี้จะสร้างรายได้มาจากการที่มีแผนธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง ทำซ้ำได้ มีคนใช้จำนวนมาก สามารถขยายกิจการได้ง่าย และหวังให้เติบโตแบบก้าวกระโดด ไม่แปลกใจเลยที่คนรุ่นใหม่ๆ อยากมี Start-Up เป็นของตัวเอง ลองทำเต็มที่สักครั้ง บ้างก็ไปถึงดวงดาว บ้างเจ็บหนักแต่ก็ได้ความภูมิใจกลับมา
1
ยกตัวอย่างไปพร้อมกับซีรีย์ Start-Up ในเรื่องนั้น พระเอกนัม โดซาน และเพื่อนอีกสองคนที่เก่งในเรื่องเทคโนโลยีมาก เขียนโปรแกรมเก่ง แต่ทั้งกลุ่มไม่มีใครเก่งด้านธุรกิจเลย จนกระทั่งมาเจอนางเอกซอดัลมี ถึงแม้ว่าซอดัลมีจะจบแค่ ม.ปลาย แต่เธอมีหัวธุรกิจ อ่านเทรนด์มหาชนออก มองภาพขาดว่าธุรกิจควรจะไปทิศทางไหน ยิ่งเมื่อได้รับคำแนะนำจากพระรองอย่างหัวหน้าฮันจีพยอง เธอก็ยิ่งเก่งครบเครื่องมากขึ้น
จากการรวมตัวกันระหว่างนัมโดซาน และซอดัลมี ก็ทำให้เกิดธุรกิจที่เป็นไปได้มากขึ้น เพราะเทคโนโลยีที่ดีของฝั่งพระเอกเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยดึงดูดนักลงทุนได้เท่ากับการมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนจากทางนางเอก ซึ่งธุรกิจที่มีแผนว่าจะสร้างรายได้และผลตอบแทนให้นักลงทุนได้อย่างไรนั้นเป็นสิ่งที่นักลงทุนมองหา
ส่วนใหญ่แล้วธุรกิจ Start-up มักเริ่มจากไอเดีย และทีมงานเพียงไม่กี่คน รวมลงขันกันแบบ Private Equity หรือจัดตั้งเป็นหุ้นส่วนกันแบบส่วนตัว มีข้อตกลงระหว่างกันที่ไม่ได้มาก ในช่วงแรกสามารถลงขัน นำเงินมาต่อยอดให้เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นมาอย่างง่ายๆ บ้างก็ได้เงินสนับสนุนจาก Angel Investor ตามด้วยการระดมทุนผ่าน Series ต่างๆ ซึ่งเราจะกล่าวในบทถัดๆไปว่ามีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงต้อง raise fund แบบเป็นขั้นๆ
2️⃣ นักลงทุนในธุรกิจ Start-Up คือใคร?
แน่นอนว่าธุรกิจนั้นก็ต้องการเงินทุนเพื่อไปดำเนินธุรกิจ ในวงการ Start-Up จะมีคำศัพท์ของนักลงทุนอยู่ 2 กลุ่ม คือ Angel Investor และ Venture Capital ซึ่งเจ้าของธุรกิจที่ต้องการระดมทุนก็ต้องนำเเผนธุรกิจหรือ Business Model ไป Pitching (นำเสนอ) กับนักลงทุนในแต่ละกลุ่ม
ถ้าหากเป็นธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นส่วนมากก็จะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า Angel Investor ที่จะมาให้เงินลงทุน หรือเรียกว่า Seed เงินลงทุนให้นั่นเอง ที่เรียกว่า Angel ก็เปรียบได้ว่านักลงทุนกลุ่มนี้เป็นนางฟ้าให้กับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้น ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้จะใช้เงินลงทุนของตัวเอง มีทุนไม่สูงมาก และมักจะไม่มีข้อผูกมัดมาก อาจจะแลกด้วยสัดส่วนการถือหุ้นเพียงเล็กน้อย
อีกกลุ่มหนึ่งคือ Venture Capital (VC) จัดตั้งมาเพื่อวัตถุประสงค์หาโอกาสการลงทุนใหม่ๆในธุรกิจ Start-Up คอยศึกษาเหล่า Start-Up และนำเงินไปร่วมลงทุนในธุรกิจเกิดใหม่ที่น่าสนใจ โดยเฉพาะธุรกิจที่สามารถเติบโตไปใน Stage ถัดๆไปได้ ซึ่ง VC นั้นถือเป็น Private Equity Fund เพราะเป็นการลงทุนในบริษัทที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ การลงทุนของ VC ถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก เพราะ Start-Up น้อยรายที่จะไปได้ไกล แต่ถ้าทำสำเร็จ VC ก็มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นการลงทุนลักษณะนี้ VC จะต้องสแกน Start-Up บ้างก็ช่วยโค้ช หรือสร้าง Connection ให้ Start-Up ด้วย ดังนั้นถ้าเราเป็น Start-Up และมี VC ที่สนใจลงทุนกับเรา นอกจากเงื่อนไขสัดส่วนการ raise fund แล้ว connection ของ VC เป็นปัจจัยหนึ่งที่ Start-Up ควรมองให้ไกล เหมือนคู่แต่งงานเลยทีเดียว
นอกจากนี้ยังมี CVC หรือที่เรียกว่า Corporate Venture Capital ซึ่งก็เหมือนกับ VC แต่ต่างกันตรงที่ CVC นั้นเกิดจาก Corporate หรือบริษัทที่มีธุรกิจอยู่แล้ว แต่ต้องการแตกหน่วยงานออกมาเป็น CVC เพื่อทำการศึกษา ค้นคว้า (และจำกัดความเสี่ยง) เมื่อค้นพบ opportunities ใหม่ๆ CVC อาจจะทำเพื่อการศึกษา เป็นหลักก็ได้ ไม่ได้เน้นเเค่เรื่องให้เงินลงทุนเพียงอย่างเดียว แต่จะเน้นหาธุรกิจมี Synergy ร่วมมือกันกับธุรกิจเดิมเพื่อต่อยอดธุรกิจเดิมไปในอนาคต จากประโยชน์ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยี
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดจากในซีรีย์ Start-Up ก็คือพ่อของนัมโดซานถือว่าเป็น Angel Investor ได้ เพราะช่วยลงทุนให้นัมโดซานกับเพื่อนได้มีเงินไปเริ่มทำธุรกิจที่เริ่มจากห้องเช่าบนดาดฟ้าตึก ส่วนหัวหน้าฮันจีพยองนั้นทำงานอยู่ที่ SH Venture Capital ซึ่งคอยหาธุรกิจที่น่าสนใจลงทุนโดยค้นหาจากทีมที่มีศักยภาพ และไอเดียสดใหม่ และเจาะลึกแผนธุรกิจที่มีโอกาสทำกำไร สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน หรือเติบโตได้อย่างมากนั่นเอง
1
3️⃣ สี่รอบสำคัญการระดมทุนของ Start-Up: Seed, Serie A, Serie B, Serie C เป็นอย่างไร?
1. Seed Funding: ถ้าแปลตรงตัวคือนำเงินมาเพาะบ่มเมล็ดให้เริ่มเติบโต คือก้าวแรกของ Start-up เลย เป็นวิธีการหาเงินทุนของ Start-Up ที่เพิ่งเริ่มต้น โดยมีไอเดียที่จะทำโปรเจคใดโปรเจคหนึ่ง ต้องการนำเงินไปใช้ทำสินค้าหรือบริการ โดยทดลองในตลาดเล็กๆ เพื่อหาความลงตัวของสินค้าหรือบริการนั้นๆ ซึ่งเงินลงทุนขั้น Seed ส่วนมากจะได้มาจากคนในครอบครัว หรือ Angel Investor หรือได้มาจากเงินรางวัลที่ส่งไอเดียเข้าประกวด หรืออาจจะได้จาก VC ก็ได้ แต่เป็นจำนวนเงินไม่มาก ส่วนมากไม่เกิน 10 ล้านบาท
จากนั้น Start-Up จะต้องพิสูจน์ตัวเองอย่างมาก ในการ raise capital ใน Serie A, B, C (และอาจจะมี D ด้วย) ซึ่งการ raise fund เป็นขั้น (แทนที่จะให้เงินตูมเดียว) เป็นการจำกัดความเสี่ยงขอผู้ให้เงินทุน และ Start-up สร้าง commitment ว่าจะนำเงินไปทำอะไร และเป้าหมายของการ raise fund ในรอบนี้จะไปถึงไหน แน่นอนว่ามีหลาย Start-up ล้มละลาย หรือถึงทางตัน ดังนั้นการตั้งเป้าหมายและระดับของเงินทุนร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ไม่แพ้การเติบโตของธุรกิจเลย
2. Serie A: เป็นวิธีการหาเงินทุนของ Start-Up ที่ต้องการออกสินค้าจริง ขยายฐานลูกค้าให้ใหญ่ขึ้น หรือขยายตลาดใหม่ โดย VC ที่จะลงทุนในกลุ่มนี้ก็จะวิเคราะห์แล้วว่าธุรกิจนั้นมีแผนว่าจะสร้างรายได้และผลตอบแทนได้ในอนาคต และคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้ ในขั้นนี้เงินลงทุนจะอยู่ที่ขั้นต่ำ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 33 ล้านบาท
3. Serie B: เป็น round ที่ Start-Up ต้องการเงินลงทุนเพื่อขยายฐานลูกค้าไปในระดับที่ใหญ่กว่าประเทศ ไปในระดับภูมิภาค หรือนำเงินไปซื้อกิจการที่เกี่ยวข้อง
4. Serie C: เป็น round ที่ Start-Up ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง และ VC มองว่าเป็น round ที่สำคัญที่ Start-Up พร้อมจะเข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์แล้ว เรียกได้ว่าเป็นจังหวะ Exit ของ VC เพื่อทำกำไรนั่นเอง
โดยเงินลงทุน round ของ Serie B, C มักมาจาก Venture Capital ขนาดใหญ่ หรือ Corporate Venture Capital โดยเงินลงทุนจะอยู่ที่ประมาณ 100 – 3 พันล้านบาท
4️⃣ Unicorn คืออะไร?
Unicorn คือธุรกิจ Start-Up ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือมากกว่า 33,000 ล้านบาท ตัวอย่างเช่น
Unicorn ระดับโลกที่อยู่ใน Silicon Valley อย่าง Uber, Airbnb เป็นต้น
Unicorn ในจีนอย่าง Xiaomi, Didi, ByteDance เป็นต้น
 
Unicorn ในอาเซียนอย่าง Grab, Gojek, Traveloka, Ajaib เป็นต้น
Unicorn ในไทยมี 2 บริษัท คือ Flash Express และ Bitkub
5️⃣ Venture Capital (VC) สำคัญอย่างไร?
จริงๆ หลายคนอาจจะมองว่า VC นั้นเป็นแค่กลุ่มที่ให้เงินลงทุนแก่ Start-Up เท่านั้น แต่จริงๆ แล้ว การมี VC ที่ดีจะเป็นเสมือนเพื่อนร่วมทางหรือพี่เลี้ยงที่ช่วยทำให้ Start-Up นั้นประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว การที่ VC และ Start-Up มีเป้าหมายเดียวกัน เดินไปในทางเดียวกัน สุดท้ายก็จะ win-win ทั้งสองฝ่าย เพราะฝั่ง Start-Up ก็สามารถขยายกิจการได้อย่างที่ตั้งใจ และ VC เองก็ได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า
จากในซีรีย์ Start-Up จะเห็นว่าหัวหน้าฮัน หรือแม้แต่ตอนเป็นผู้อำนวยการฮัน เขาก็ยังคงเข้าไปดูแล ชี้เเนะ เป็นเสมือนผู้ช่วยที่ช่วยปั้นธุรกิจให้เติบโต แม้กระทั่งตอนสุดท้ายที่ผู้อำนวยการฮันบอกว่าเขาต้องเข้าไปยุ่งกับบริษัทนัมโดซานเยอะมากนะในฐานะกรรมการภายนอกบริษัท โดยบอกหลังจากที่นัมโดซานตัดสินใจยอมรับเงินลงทุนจาก SH Venture Capital นั่นเอง
6️⃣ เป้าหมายของการลงทุนใน Start-Up คืออะไร?
ไม่ว่าจะเป็น Angel Investor หรือ VC ก็ล้วนแต่มีเป้าหมายที่จะทำกำไร หรือเรียกว่า Exit ออกจากกิจการที่ตนเองเข้าไปลงทุนถือหุ้นอยู่ โดยเป้าหมายการ Exit มีตั้งแต่การระดมทุนใน round ถัดไป การเติบโตไปในแต่ละ Serie ของ Start-Up จนกระทั่งการทำ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ได้
เมื่อ Start-Up มีความ Mature หรือเติบโตคงที่แล้วระดับหนึ่ง อาจจะพิจารณาการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อจดทะเบียนบริษัทเป็นแบบ Public Company Limited ซึ่งสามารถเพิ่มทุนได้จากนักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนรายย่อย โดยไม่จำกัดแค่ VC อีกต่อไป แต่ ownership structure ของ Start-Up นั้น ผู้ถือหุ้นเดิมมักจะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดในบริษัทนั้นๆ เพื่อทำให้การบริหารมีความคล่องตัวต่อ และสร้างความเชื่อมั่นกับผู้ที่จองซื้อ IPO
ส่วนใหญ่ VC มักจะ Exit ช่วง IPO นี่แหละ เพราะได้ทำตามวัตถุประสงค์แล้วนั่นคือ ลงทุนใน Start-Up จนเป็นบริษัทที่เติบโตจากจุดเดิมหลายเท่า และไม่ได้มีวัตถุประสงค์ในการดูแลบริษัทที่เติบโตในขั้นสุดท้าย กองทุน VC จะนำเงินไปหา opportunities อื่นแทน
แต่ CVC นั้น อาจจะมี ownership อยู่ใน start-up บริษัทลูกอยู่ เพื่อการควบคุมส่วนผู้ถือหุ้นและ ยังคงรักษา synergy ให้กับบริษัทได้
7️⃣ รู้จักกองทุน Start-Up แรกของไทย: Finnoventure Fund I ที่ลงทุนใน Finnoventure Private Equity Trust I
Krungsri Finnovate เป็นผู้นำด้านการลงทุนในธุรกิจ Start-Up ถือเป็นบริษัทร่วมลงทุน หรือ Corporate Venture Capital (CVC) โดยมีธนาคารกรุงศรีถือหุ้น 100% ทั้งนี้ Krungsri Finnovate มีประสบการณ์ลงทุนมากว่า 4 ปี และลงทุนมาแล้วกว่า 15 Start-Up รวมเงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในเริ่มแรกนั้น Krungsri Finnovate เริ่มต้นจากการจัดทำโปรเจคบ่มเพาะ Start-Up ลงทุนและเป็นพันธมิตรกับ Start-Up ต่างๆ ในการพัฒนานวัตกรรมต่อยอดธุรกิจต่างๆ รวมไปถึงนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ไปต่อยอดสู่การลงทุนในระดับกองทุนเพื่อสร้างโอกาสเติบโตให้กับ Start-Up
Finnoventure Private Equity Trust I เป็นกองทรัสต์ร่วมลงทุน (PE Trust) โดยมีผู้จัดการกองทรัสต์ก็คือ Krungsri Finnovate โดยมีนโยบายลงทุนในตราสารทุน โดยเน้นลงทุนใน 3 ธุรกิจหลักคือ Financial Tech, E-Commerce และ Automotive ในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ ได้แก่ ไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนาม ปัจจุบันมีขนาด 3,000 ล้านบาท โดยที่ Krungsri Finnovate ลงทุน 500 ล้านบาท
Finnoventure Private Equity Trust I มีกลยุทธ์และกรอบการลงทุนดังนี้
- ลงทุนใน Start-Up serie A ขึ้นไป ซึ่งถือเป็น Growth Stage และเป็นไปได้ที่ธุรกิจจะเติบโต สามารถทำกำไรให้นักลงทุนได้ โดยมีกระบวนกาารลงทุนที่คัดกรองอย่างเข้มข้น เพื่อเฟ้นหาธุรกิจที่มีศักยภาพมากที่สุด
- ลงทุนในไทย 70% อีก 30% ลงทุนในกลุ่มอาเซียน
- ให้เงินลงทุน Start-Up แต่ละแห่งประมาณ 30-150 ล้านบาท
- ลงทุนใน Start-Up 15-25 บริษัท
- มีการจัดสรรเงินลงทุนในแต่ละ Start-Up โดยในรอบแรกจะลงทุนให้ประมาณ 70% และ 30% ในรอบต่อไป
Finnoventure Private Equity Trust I ไม่ได้ลงทุนเพื่อมุ่งหวังการ Exit เพื่อทำกำไรอย่างเดียว แต่ยังมุ่งหวังเพื่อประโยชน์ในด้านอื่นๆ ด้วย ด้วยเหตุผลนี้จึงมี 3 ธีมการลงทุนหลักประกอบไปด้วย
60% ลงทุนเพื่อสร้าง Synergy ทางธุรกิจ เรียกได้ว่าหาธุรกิจลงทุนที่มีโอกาสต่อยอดเพื่อเป็นพันธมิตรของกรุงศรี สร้างความแข็งแกร่งและโอกาสเติบโตของธุรกิจในอนาคต
20% ลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนที่น่าสนใจ หรืออยู่ในช่วง Exit
20% ลงทุนเพื่อเทคโนโลยีในอนาคต โดยจะมองหาธุรกิจที่มีเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมที่มีโอกาส disrupt ธุรกิจอื่นๆได้ในอนาคต
ตัวอย่างบริษัทที่ Finnoventure Private Equity Trust I เข้าไปลงทุนได้แก่ Finnomena, Flash Express และ Builk One Group
ในส่วนของกองทุนเปิดกรุงศรี Finnoventure PE Y2033 (KFFVPE-UI) ได้จัดตั้งขึ้นมาเพื่อระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยระดับ Ultra High Net Worth เพื่อนำไปลงทุนใน Finnoventure Private Equity Trust I โดยต้องเริ่มต้นลงทุนที่ 1 ล้านบาท อายุของ PE Trust อยู่ที่ 10 ปี และต่ออายุได้อีก 2 ครั้ง ครั้งละ 1 ปี หมายความว่านักลงทุนต้องลงทุนในระยะเวลาประมาณ 12 ปีเลยทีเดียว
🤔 มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะงง เราขอสรุปโครงสร้างของกองทุนให้ฟังดังนี้ เริ่มต้นจากผู้ที่เกี่ยวข้องใน Finnoventure Private Equity Trust I
1) Krungsri Finnovate มี 2 บทบาทคือ เป็นทั้งผู้จัดการทรัสต์ที่ดูแล Finnoventure Private Equity Trust I และเป็นนักลงทุนเองด้วย
2) กองทุน KFFVPE-UI ถือเป็นนักลงทุน เพราะได้ระดมทุนจากนักลงทุนรายย่อยระดับ Ultra High Net Worth เพื่อนำเงินไปลงทุนใน Finnoventure Private Equity Trust I
3) นักลงทุนสถาบันอื่นๆก็ลงทุนใน Finnoventure Private Equity Trust I ได้
จะเห็นว่าผู้เกี่ยวข้องทั้ง 3 ข้อที่กล่าวมาต่างก็นำเงินไปลงทุนใน Finnoventure Private Equity Trust I ซึ่ง PE Trust นี้ก็นำเงินไปลงทุนใน Start-Up อีกทีนั่นเอง
อธิบายเพิ่มเติมในส่วนของกองทุน KFFVPE-UI สมมติว่ากองทุน KFFVPE-UI ระดมเงินลงทุนได้ 1,000 ล้านในช่วง IPO กองทุน KFFVPE-UI ก็จะนำเงินลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์สภาพคล่องเพื่อรอ Finnoventure Private Equity Trust I หรือเรียกว่า PE Trust เรียกชำระ เมื่อถึงรอบการลงทุน กองทุน KFFVPE-UI ก็จะชำระเงินลงทุนใน PE Trust โดยทาง PE Trust ก็จะนำเงินไปลงทุนใน Start-Up ที่มีศักยภาพ และทยอยจ่ายคืนผลตอบแทนให้นักลงทุนเมื่อมีการ Exit ออกจากแต่ละ Start-Up
📍 ผลตอบแทนที่นักลงทุนมีโอกาสได้รับ หาก PE Trust ไปลงทุนใน Start-Up จนสามารถ Exit ทำกำไรให้นักลงทุนได้ โดยมีการจัดสรรผลตอบแทนและชำระเงินคืนตามลำดับดังนี้
1. Return of Capital: ชำระเงินคืนให้แก่นักลงทุนจนกว่าจำนวนเงินสะสมที่ผู้ลงทุนได้รับเท่ากับเงินลงทุนทั้งหมดที่ได้ลงทุนไป
2. Preferred Return: จัดสรรผลตอบแทนส่วนเกินจากข้อ 1 ให้แก่นักลงทุนจนกว่าจะได้ผลตอบแทนคาดหวัง IRR 8% ต่อปี
3. Catch-up: จัดสรรผลตอบแทนส่วนเกินจากข้อ 2 ให้แก่ผู้จัดการทรัสต์จนกว่าผู้จัดการทรัสต์จะได้รับส่วนเเบ่งกำไรจากการลงทุน 20% ของผลตอบแทนส่วนเกินทั้งหมด
4. 80/20 Split: จัดสรรผลตอบแทนส่วนที่เหลือจากข้อ 3 ในอัตรา 20:80 สำหรับผู้จัดการทรัสต์:ผู้ลงทุน
📍ความเสี่ยงแบบ Worst Case Scenario
หาก PE Trust ร่วมลงทุนไม่ประสบความสำเร็จ ขาดทุนหรือล้มละลาย ทำให้ PE Trust ไม่สามารถจ่ายคืนหรือถอนการลงทุนได้ จะส่งผลกระทบทำให้กองทุน KFFVPE-UI ขาดทุน และนักลงทุนมีโอกาสสูญเสียเงินลงทุน
รู้จัก Krungsri Finnovate เพิ่มเติมได้จาก https://www.krungsrifinnovate.com/th/Home
📌กองทุนนี้เป็นกองทุนที่มีความเสี่ยงและซับซ้อนสูง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุน รวมไปถึงค่าธรรมเนียมต่างๆ ก่อนตัดสินใจลงทุน
📌บทความนี้เขียนขึ้นจากความสนใจส่วนตัวของเด็กการเงิน เขียนเพื่อเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น ไม่ได้เป็นการแนะนำการลงทุน
โฆษณา