19 พ.ย. 2021 เวลา 07:24 • ข่าวรอบโลก
การสอบซูนึง ชี้ชะตาอนาคตเด็กเกาหลี
สนามการแข่งขันสุดโหดที่มีไว้คัดคนที่เก่งที่สุดเท่านั้น
ส่วนคนแพ้ อนาคตที่สดใสอาจจบลงได้ในวันเดียว
2
'เกาหลีใต้' ประเทศที่ทุกอย่างรอบตัวคือการแข่งขัน ชีวิตที่เริ่มต้นตั้งแต่ลืมตาดูโลกก็ต้องเผชิญกับการต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นที่ 1 ท่ามกลางความกดดันในสังคมที่ส่งต่อกันรุ่นต่อรุ่น จนกลายเป็นวัฒนธรรมแห่งการ “ทีจริง ไม่ที่เล่น” เพราะผู้ชนะหรือประสบความสำเร็จเท่านั้นถึงจะได้รับการยอมรับ ส่วนผู้แพ้อาจไม่ได้รับเลยแม้กระทั่งรางวัลปลอบใจ
2
บรรยากาศในประเทศเกาหลีใต้เวลานี้ คงเป็นช่วงเวลาที่ตึงเครียดที่สุดของวัยรุ่นที่อยู่ในชีวิตหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเป็นวันกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองว่าจะได้เดินต่อไปจนถึงฝั่งฝันหรือไม่ จะมีอนาคตทั้งการเรียน และการทำงานที่สดใสรอหรืออยู่หรือเปล่า หรืออาจจะต้องผิดหวังไม่สามารถไปถึงฝันได้ เพราะถูกตีตราว่า “เก่งไม่พอ” ภายในเพียงแค่วันเดียว
4
'การสอบซูนึง' หรือ College Scholastic Ability Test (CSAT) เป็นการทดสอบความสามารถด้านการศึกษาระดับอุดมศึกษา เรียกง่ายๆ คือการสอบแอดมิชชั่นเข้ามหาวิทยาลัยอย่างที่คนไทยคุ้นเคย ซึ่งจะจัดสอบในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
1
แต่การสอบซูนึงนั้นมีความเข้มข้นกว่า ยากกว่า และโหดกว่า ถึงขนาดที่เด็กเกาหลีใต้ขนามนามกันว่าเป็นช่วงนรกของชีวิต เนื่องจากมันเต็มไปด้วยความเครียดและกดดันที่สุดของชีวิตนักเรียน เพราะถ้าทำข้อสอบพลาด นั่นหมายถึงชะตาชีวิตหลังจากวันนี้จะเปลี่ยนทันที และมันคือการแบกความคาดหวังของทั้งตัวเองและครอบครัวที่พยายามผลักดันให้ลูกหลานสอบให้ผ่าน และเขามหาวิทยาลัยชั้นนำหัวแถวของประเทศให้ได้
3
🔵 เตรียมตัวมาทั้งชีวิตเพื่อวันนี้
ปีนี้ทั่วประเทศเกาหลีใต้มีนักเรียนเข้าสอบซูนึงราว 500,000 คน ซึ่งน้อยกว่าปีที่แล้วที่มีนักเรียนเข้าสอบถึง 650,00 คน เนื่องจากอยู่ในสภาวะโรคระบาด ในศูนย์สอบ 1,251 แห่ง โดยใช้เวลาสอบทั้งหมด 8 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 8:40 – 17:50 น. ซึ่งการเตรียมตัวมาทั้งชวิตเพื่อวันนี้วันเดียวนั้น ถูกวางแผนไว้ตั้งแต่เรียนชั้นอนุบาล โดยพ่อแม่ ผู้ปกครองต่างพยายามให้ลูกของตัวเองเรียนให้มากที่สุด หนักที่สุด เยอะที่สุด
2
และในวันสอบพ่อแม่ไม่มีสิทธิ์มารอลูกที่หน้าศูนย์สอบ มาส่งแล้วต้องออกจากพื้นที่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าจะมีพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวนมากไปอธิฐานขอพรตาม โบสถ์ วิหาร และศาลเจ้า เพื่อให้ลูกหลานของตัวเองสอบผ่าน
3
เด็กเกาหลีใต้จริงจังกับการเรียนมาก และใช้เวลาในการเรียนมากถึงวันละ 14-16 ชั่วโมง นอกจากเรียนตามปกติในโรงเรียนแล้ว หลังเลิกเรียนก็จะต้องเรียนพิเศษ บางคนอาจเรียนพิเศษที่โรงเรียน บ้างก็เรียนที่สถาบันกวดวิชา และบางคนพ่อแม่ก็จะจ้างครูพิเศษมาสอนที่บ้าน โดยมากกว่า 80% ของเด็กเกาหลีใต้จะต้องเรียนกวดวิชาเพิ่มเติม
1
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าโรงเรียนเลิกตอนบ่าย 3 โมง ก็จะเรียนกวดวิชาที่โรงเรียนต่อจนถึง 5 โมงเย็น จากนั้นก็กลับบ้านมากินข้าว พักผ่อน เปลี่ยนเสื้อผ้า จนเวลา 1 ทุ่มก็ออกไปเรียนพิเศษภาคค่ำถึง 3 ทุ่ม แต่ถ้าใครฟิตมากๆ อยากอัดวิชาเพิ่ม ก็เรียนต่อถึง 5 ทุ่ม เที่ยงคืน แล้วเช้าก็ตื่นไปโรงเรียนตั้งแต่ 8 โมง วนกิจวัตรแบบนี้ทุกวัน
1
ถ้าหากวันไหนไม่ได้ไปเรียนพิเศษ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะผ่านไปเลย เพราะเด็กจะต้องเรียนให้ครบคอร์ส โดยเฉพาะเวลาเรียนพิเศษวิชาภาษาอังกฤษที่มีเทสต์ตลอดเวลารวมถึงต้องท่องศัพท์ และหากท่องศัพท์ไม่ได้ตามที่ครูบอก ครูก็จะยื้อเวลาสอนเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง
1
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อวันสอบซูนึง เพียงวันเดียว แน่นอนว่าคนเราเกิดมาสมองไม่สามารถรับรู้ให้เท่ากันได้ คนเก่งไม่เท่ากัน คนฉลาดไม่เท่ากัน แต่สังคมต้องการคนในมาตรฐานที่เหมือนกัน ดังนั้นเด็กเกาหลีใต้จึงเผชิญกับภาวะเครียดสะสมสูง จากแรงกัดดันของสังคม และป่วยด้วยโรคซึมเศร้าในที่สุด
5
ผู้ที่ประสบความสำเร็จสอบผ่านก็ได้ไปสานฝันต่อ ถึงยิ่งเข้ามหาวิทยาลัยแนวหน้าก็ให้รู้เลยว่าเรียนจบมามีงานทำ มีบริษัทน้อยใหญ่จองตัวไปทำงานรอเรียบร้อยแล้ว
ส่วนผู้ที่ล้มเหลว สอบไม่ผ่านอาจเรียกได้ว่าโลกทั้งใบของเขาพังทลายได้เลย เพราะอย่าลืมว่าสิ่งที่พยายามทำมาตลอด สิ่งที่ทุ่มเทมาทั้งชีวิตก็เพื่อวันนี้ แต่มันไม่เป็นดังที่ตั้งใจ ท้ายที่สุดคนที่ผ่านมันไปได้จะกลับไปฝึกหนักว่าเดิม เรียนหนักกว่าเดิม เพื่อมาสอบใหม่ให้ได้ในปีหน้า แต่บางคนที่ผ่านจุดแตกสลายของชีวิตช่วงนั้นไม่ได้ อาจป่วยด้วยโรคทางสภาวะจิตใจขั้นรุนแรง และนำไปสู่การฆ่าตัวตาย เพราะหลังจากการประกาศผลสอบทุกปีทีไร จะต้องมีข่าวเด็กฆ่าตัวตายตามมาเสมอ สำหรับคนที่ผิดหวัง
6
🔵 ทุกความหวังมุงสู่ SKY
แน่นอนว่ามหาวิทยาลัยหัวแถวของประเทศ เป็นที่ต้องการเข้าไปศึกษาต่อของเด็กเกาหลีใต้เกือบทุกคน โดยเฉพาะ 3 มหาวิทยาลัยแนวหน้าในกลุ่ม “SKY” ที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่เด็กเกือบทุกคนจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งให้ได้
“SKY” คือชื่อย่อของกลุ่มมหาวิทยาลัยที่เป็นที่สุดของประเทศเกาหลีใต้ เด็กหลายคนต่างใฝ่ฝันที่จะสอบเข้าเรียนให้ได้ รวมทั้งเป็นความหวังของครอบครัวไว้เชิดหน้าชูตา ซึ่งประกอบด้วย 3 มหาวิทยาลัยชื่อดังคือ
🔹️มหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (SEOUL NATIONAL UNIVERSITY)
🔹️มหาวิทยาลัยโคเรีย (KOREA UNIVERSITY)
🔹️มหาวิทยาลัยยอนเซ (YONSEI UNIVERSITY)
โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล คือมหาวิทยาลัยอันดับ 1 ของประเทศที่หากใครเข้าเรียนที่นี่ได้จนจบหลักสูตร การันตีได้เลยว่ามีงานทำในตำแหน่งที่ดีกว่า และสูงกว่าผู้ที่จบจากมหาวิทยาลัยอื่นๆ แน่นนอน เป็นตัวเลือกอันดับแรกที่บริษัทขนาดใหญ่ต่างๆ ของเกาหลีใต้จะพิจารณาจองตัวว่าที่บัณฑิตกันเป็นที่แรก และยังติดอันดับ 7 ของมหาวิทยาลัยที่นายจ้างหรือบริษัททั่วทั้งเอเชียชื่นชอบผู้ที่จบการศึกษาจากที่นี่มากที่สุดปี 2018
4
รวมทั้งได้รับการจัดอันดับว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก โดยรั้งอันดับที่ 31 ของโลก จากสื่อยักษ์ใหญ่อย่างรอยเตอร์
2
แต่จะมีนักเรียนประมาณ 1% เท่านั้นที่ผ่านเข้าสู่จุดหมายในมหาวิทยาลัยของกลุ่ม SKY ได้ดังฝัน และที่เกาหลีใต้ไม่มีมหาวิทยาลัยเอกชนรองรับเหมือนหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
1
ดังนั้น นักเรียนที่พลาดการสอบเข้ากลุ่ม SKY ก็จะเรียนในสถาบันที่มีดีกรีรองลงมา แต่ถ้าคะแนนแย่จริงๆ ก็อาจจะไม่เรียนต่อ หรือบ้านใครมีเงินก็จะส่งไปเรียนต่างประเทศ หรือใครที่ตั้งเป้าว่าจะต้องเข้าให้ได้ ก็จะไปเรียนกวดวิชาอย่างหนักอีก 1 ปีเต็มเพื่อมาวัดฝีมือกันอีกครั้งในการสอบปีหน้า
3
🔵 ต่อให้สอบ วิทย์ คณิตฯ อังกฤษ ผ่าน แต่ตกวิชาประวัติศาสตร์ก็ไม่ผ่าน
สหรับการสอบซูนึง เริ่มจัดสอบครั้งแรกเมื่อปี 2537 จัดสอบโดย Korea Institute of Curriculum and Evaluation (KICE) ซึ่งในการสอบมีทั้งหมด 6 วิชาหลัก ได้แก่
🔹️ภาษาเกาหลี : จำนวน 45 ข้อ 100 คะแนน เวลาสอบ 80 นาที
🔹️คณิตศาสตร์ : จำนวน 45 ข้อ 100 คะแนน เวลาสอบ 100 นาที
🔹️ภาษาอังกฤษ : จำนวน 45 ข้อ 100 คะแนน เวลาสอบ 70 นาที
🔹️ประวัติศาสตร์เกาหลี สังคมศึกษา วิทยาศาสตร์ และอาชีวศึกษา : จำนวน 20 ข้อ 50 คะแนน เวลาสอบ 102 นาที
🔹️ภาษาต่างประเทศ เช่น ฝรั่งเศส เยอรมัน สเปน จีน ญี่ปุ่น รัสเซีย อาหรับ เวียดนาม : จำนวน 30 คำถาม 50 คะแนน เวลาสอบ 40 นาที
6
แม้ว่าจะมีวิชาต่างๆ ที่สามารภทำคะแนนได้สูง แต่วิชาประวัติศาสตร์เกาหลี ถือเป็นวิชาบังคับเลือกสอบ ซึ่งทุกคนต้องสอบ และต้องสอบให้ผ่าน หากไม่ทำการสอบหรือสอบไม่ผ่าน คะแนนทั้งหมดทุกวิชาจะเป็นโมฆะทันที ขณะที่วิชาอื่นๆ สามารถเลือกสอบได้ตามแผนการเรียน และคณะที่จะเข้าเรียนในอนาคต
1
ดังนั้นถ้าคะแนนหายไปเพียงจุดทศนิยม หรือทำไม่ได้เพียงข้อเดียว เส้นทางชีวิตก็เปลี่ยนได้ทันที และไม่มีการมาสอบแก้ สอบซ่อมใดๆ
🔵 ทุกภาคส่วนในสังคมร่วมใจเพื่อ ซูนึง
การสอบระดับชาติที่มีนักเรียนที่เป็นอนาคตในการพัฒนาประเทศจำนวนมากสอบพร้อมๆ กันในวันเดียว รวดเดียว ย่อมต้องเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาต่างๆ และอำนวยความสะดวกให้กับเด็กมากที่สุด
เหมือนวันสอบไม่ได้เป็นเพียงแค่วันของเด็ก แต่เป็นวันของคนทั้งประเทศ สถานที่ทั้งราชการและเอกชน จะเลื่อนเวลาเปิดทำการสายเพิ่มขึ้น 1 ชั่วโมง รวมทั้งตลาดหลักทรัพย์ ก็เปิดทำการช้ากว่าปกติด้วยเช่นกัน เพื่อที่จะเด็กๆ เดินทางไปสอบได้ทันเวลา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำในทุกจุด และเป็นจำนวนมาก เพื่อให้เด็กไม่ต้องเผชิญกับปัญหาการจราจรในชั่วโมงเร่งด่วน
5
รถตำรวจจะจอดรอท่าเอาไว้เพื่อให้เด็กนักเรียนที่อาจจะหลงว่าศูนย์สอบของตัวเองอยู่ที่ไหน ถ้าเกิดจะต้องรีบไปให้ทัน รถตำรวจจะพาเด็กไปส่งยังศูนย์สอบทันที ซึ่งการที่เห็นเด็กลงจากรถตำรวจเพื่อวิ่งเข้าศูนย์สอบนั้นเกิดขึ้นให้เห็นจนชินตา
5
ระบบขนส่งมวลชนทุกประเภท จะได้รับการเพิ่มจำนวนความจุและเที่ยวโดยสารเป็นพิเศษ แม้แต่รถฉุกเฉินของหน่วยงานภาครัฐ ก็นำมาสมทบเพื่อเตรียมความพร้อมรองรับเด็กๆ ที่จะต้องเดินทางอย่างเร่งด่วน ซึ่งมีมากกว่า 2,000 คนในกรุงโซล และเกือบ 10,000 คันทั่วประเทศ
6
สายการบินที่ต้องบินผ่านน่านฟ้าใกล้ศูนย์สอบ จะต้องมีการสั่งห้ามขึ้นบินในช่วงเวลาที่เด็กๆ กำลังสอบทักษะการฟังภาษาอังกฤษ เป็นเวลา 35 นาที ซึ่งสื่อสังคมออนไลน์ของเกาหลีใต้ก็ได้มีการแชร์ภาพเครื่องบินจอดรออยู่ที่สนามบินในช่วงเวลาที่กำลังสอบวิชานี้อยู่ ดังนั้นวันที่มีการสอบซูนึง ตารางเที่ยวบินทั่วประเทศจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ
7
ที่สำคัญเครื่องบินที่อยู่บนท้องฟ้าแล้ว จะต้องบินในระดับที่สูงเท่านั้น ห้ามเครื่องบินที่บินในระดับต่ำผ่านน่านฟ้าใกล้กับสถานที่สอบเด็ดขาด เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวนสมาธิของนักเรียน
9
จะเห็นได้ว่าทุกภาคส่วนให้ความสำคัญกับการสอบซูนึงอย่างมาก เพื่อหวังให้เด็กนักเรียนมีสมาธิมากที่สุด แต่ก็คาดหวังสูงว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องทำคะแนนออกมาดีดังที่ผู้ใหญ่ทุ่มเทให้ รวมทั้งลูกหลานของตัวเองจะได้เข้าเรียนต่อในสถาบันการศึกษาที่ครอบครัวมุ่งหวัง
หากตอบคำถามว่าทำไมประเทศเกาหลีใต้ถึงพัฒนาได้รวดเร็ว คำตอบก็คงอยู่ที่การให้ความสำคัญด้านการศึกษาเป็นหลัก และการเรียนอย่างหนัก หนักชนิดที่ว่าคงมีแค่ญี่ปุ่นกับจีนที่เรียนหนักแบบนี้ได้ แต่ผลลัพธ์คือทำให้ประเทศพัฒนาก้าวกระโดดรวดเร็วทัดเทียมกับประเทศในโลกตะวันตกที่เจริญก้าวหน้ามานาน ในช่วงเวลาเพียงแค่ชั่วอายุคนรุ่นเดียว
1
แต่มันก็แลกมากับความเครียด ความกดดัน และปัญหาสุขภาพจิตที่สูงอย่างมาก และการต้องเป็นแค่ผู้ชนะเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนอื่น ไม่มีความเท่าเทียมใดๆ ในสังคมของการแข่งขันให้ผู้แพ้ได้ยืนหยัด มีแค่คนเก่ง และเป็นเลิศเท่านั้นที่จะอยู่รอด เพราะโลกของชาวเกาหลีใต้คือ ต้องเป็นที่ 1 ไม่ใช่อันดับรอง เพราะตั้งแต่ที่ 2 ลงไปไม่มีใครจดจำและให้ที่ยืนอย่างสง่างามนั่นเอง
5
╔═══════════╗
ไม่พลาดบทความสาระดีๆ ที่ Reporter Journey ตั้งใจสร้างสรรเพื่อผู้ติดตามทุกท่าน อย่าลืมกดติดตามเพจ ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
╚═══════════╝
.
ติดตาม Reporter Journey ได้ทุกช่องทางที่
โฆษณา