20 พ.ย. 2021 เวลา 07:21 • ไลฟ์สไตล์
ขุนเขาแห่งสัจธรรม ตอนที่ 4 ยิ่งมืดยิ่งเห็นดาว
เส้นทางมุ่งสู่บ้านห้วยลอก ตำบลนาเกียน
เป็นเส้นทางคอนกรีต สลับไปกับถนนดิน
และถนนคอนกรีตสองล้อ
ระยะทางจากแยกจ่าโบ้ ประมาณ 20 กิโลเมตร
แต่การเดินทางก็ไม่สามารถทำความเร็วได้มากนัก
เนื่องจากบางช่วงถนนแคบ และบางช่วงไม่เรียบ
เส้นทางหลักตามถนนวงแหวน
ที่มุ่งจากตัวอำเภอไปยัง อบต.นาเกียน
มีการปักเสาพาดสายไฟฟ้าแล้ว
ทำให้ประชาชนบริเวณนั้นมีไฟฟ้าใช้
โดยไม่ต้องพึ่งพาไฟฟ้า
จากโซล่าเซลล์ เพียงอย่างเดียว
ไม่แน่ใจว่าแนวเสาไฟนี้จะไปสุดที่ตรงไหน แต่ก็ทำให้เห็นว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานก็มีตลอด ภายใต้ข้อกฎหมายที่เอื้ออำนวย
พื้นที่ของตำบลนาเกียน
เป็นพื้นที่ที่มีชุมชนอยู่อาศัยจำนวนหลายหมู่บ้าน
และมีชื่อเสียงจากกิจกรรมการใช้ช้างไถนา
โดยบ้านห้วยลอกที่เป็นที่หมายของเรา
เป็นหมู่บ้านที่อยู่เหนือสุดของตำบล
ห่างจากเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน
เพียงไม่กี่กิโลเมตรเท่านั้น
ตลอดทางที่รถเราวิ่งผ่าน
บรรยากาศมันดูครึกครื้น
กว่าตอนอยู่ที่บ้านยองแหละมาก
ผมเริ่มเห็นวิถีชีวิต เห็นรถราวิ่งสวนไป
เห็นร้านขายของชำของชาวบ้าน
บรรยากาศมันชวนให้นึกถึงสมัยยังเด็กๆ
เมื่อประมาณปี 2544
ที่ผมเคยอาศัยอยู่กับยายที่ อำเภอบางไทร
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
ยิ่งเห็นเด็กๆ ดูดน้ำหวานแช่แข็ง
หรือทีเราเรียกกันว่าตัวดูด
มันยิ่งชวนให้คิดถึงจริงๆ
จุดชมวิว
ตะวันลับขอบฟ้า เทเลทับบี้บอกลา... โอะเอ๊ะโอ่
เวลาประมาณ 16 นาฬิกา 40 นาที
เราเดินทางมาถึงสันเขาแห่งหนึ่ง
ที่สองข้างทางเปิดโล่ง
จนสามารถมองเห็นแนวทิวเขาไกลสุดตา
ได้อย่างชัดเจน
และเช่นกัน เราสามารถหันหลังกลับไปมอง
ยังบริเวณที่เราผ่านมาได้ด้วย
นั่นทำให้ผมเพิ่งสังเกตได้ว่า
ณ จุดที่ผมยืนอยู่ไม่มีป่าเลย
และเมื่อหันกลับไปมองทางฝั่งทิศใต้
ที่เป็นพื้นที่ของตำบลอมก๋อย
ที่เราผ่านมาไม่นาน
มันยิ่งทำให้เห็นความแตกต่างชัดเจน
"เหมือนอยู่คนละโลก"
อาจจะเป็นเพราะอากาศที่เย็น
และตลอดทั้งวันไม่มีแดด
เลยทำให้ไม่ได้รู้สึกผิดสังเกตมากนัก
อีกทั้งตลอดเส้นทางพวกเรานั่งคุยเล่นกันมาตลอด
ทำให้ผมไม่ได้สังเกตความเปลี่ยนแปลงของภูมิประเทศที่เกิดขึ้นเลย
โชคดีที่หยิบแว่นกันลมติดกระเป๋ามาด้วย เพราะนอกจากฝุ่นที่เจอตลอดทาง บางช่วงลมก็แรง
ประมาณครึ่งชั่วโมงให้หลัง
เราก็เดินทางมาถึง ศศช.บ้านห้วยลอก
ในขณะที่ฟ้ากำลังจะเริ่มมืด
ศศช.บ้านห้วยลอก
ตั้งอยู่ตรงหัวโค้งของถนนทางเข้าหมู่บ้านที่ใช้ชื่อเดียวกัน ตามลาดของเนินเขาลงไปทางทิศเหนือ
ทราบมาว่า แต่เดิมมีที่ตั้งอยู่บนเนินเขาที่สูงที่สุด
ทางทิศตะวันออกติดกับหมู่บ้าน
แต่ภายหลังชาวบ้านได้เลือกที่จะย้ายโรงเรียน
มาไว้ยังที่ปัจจุบัน
และเลือกที่จะให้พื้นที่เดิมนั้น
เป็นโบสถ์คาทอลิกแทน
ไข่เจียว
ตอนที่เรามาถึง
คุณครูได้จัดโต๊ะเตรียมสำรับอาหาร
ไว้รอพวกเราเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งมันผิดคาดจากจุดประสงค์ของเรามาก
ที่จะไม่ขอรบกวน
แต่ในเมื่อกับข้าวเตรียมไว้แล้ว
ก็ไม่ควรทำให้เสียน้ำใจ
"ขอบคุณที่ทำให้กิน" ชินจังจอมแก่น
ก่อนที่เราจะออกมาจากตัวอำเภอ
เราได้ลงขันกันซื้อเนื้อหมู
เพื่อที่จะนำมาย่างกินกับข้าวเหนียว
โดย น้องเส ช่างภาพของเรา เป็นผู้อาสา
ที่จะหมักหมูด้วยตัวเอง
แต่การหมักหมูของน้องเสนั้น ไม่ธรรมดา ....
“ใส่ผงปรุงรสอย่างเดียวพอแล้วพี่
เดี๋ยวรถมันเขย่าให้เอง”
หมอนั่นเอาหมูวางไว้กับพื้นกระบะรถ
ตั้งแต่ออกมาจากตัวอำเภอ
ดีที่ว่าไม่มีฝุ่นคลุกเคล้ามากับหมูด้วย
โรงเรียนบ้านห้วยลอก มีคุณครูอยู่ 2 ท่าน
เป็นผู้ชาย และผู้หญิง
ซึ่งครูผู้ชายเป็นคนจังหวัดน่าน
ที่สอนอยู่โรงเรียน ศศช. มาหลายปีแล้ว
ส่วนครูผู้หญิงเป็นคนในอำเภออมก๋อยนี่เอง
การเรียนการสอนของ ศศช.
จะแตกต่างจากโรงเรียนอื่นๆ
คือจะสอนเพียงให้อ่านออก เขียนได้
มีความรู้พื้นฐาน
แต่จะเน้นไปที่การสอนด้านทักษะชีวิตเป็นส่วนใหญ่
โดยใน 1 เดือน ครูจะอยู่สอนที่โรงเรียน 20 วัน
และลงมาพัก 10 วัน
ซึ่งในช่วง 20 วัน บางโรงเรียนก็สอนช่วงวันหยุด เสาร์ – อาทิตย์ ด้วย
ที่โรงเรียนห้วยลอก จะมีเด็กนักเรียนอยู่ 3 คน
ที่คอยมาช่วยงานคุณครู
เป็นเด็กผู้หญิง 2 คน และเด็กผู้ชาย 1 คน
ที่มาช่วยครูจัดเตรียมอาหารและจัดเก็บสำรับ
โดยเด็กนักเรียนหญิง จะมานอนเป็นเพื่อนครูผู้หญิง
ในห้วงที่มีการเรียนการสอน
เมื่อผมกินข้าวเสร็จแล้ว
จึงเดินไปคุยกับน้องนักเรียนหญิงทั้งสอง
ที่กำลังนั่งเล่นสมาร์ทโฟนกันอยู่หน้าอาคารเรียน
“ทำอะไรกันอยู่ครับ” ผมถามไป
“เล่นเน็ตค่ะ” น้องคนหนึ่งตอบ
“หืม? ใช้เน็ตของโรงเรียนเหรอ?”
“ไม่ใช่ค่ะ ใช้ทรู”
ที่นี่มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตมาถึง 2 ค่าย
คือ True กับ AIS
“แล้วปกติใช้โทรศัพท์เล่นอะไรกัน Facebook Youtube Tiktok ? ” ผมยังไม่เลิกถาม
“ค่ะ ก็แอพทั่วไป” น้องหันมองหน้ากันแบบงงๆ
ก่อนที่จะหันมาตอบผม
คงจะคิดในใจ เอ็งเล่นแบบไหน
ข้าก็เล่นแบบเอ็งนั่นแหละ
“พี่ถามอะไรหน่อย” ผมยังไม่เลิกเซ้าซี้
“รู้จัก...(แม่ค้าออนไลน์คนนั้น)...ไหม?”
“รู้จักค่ะ ก็ติดตามอยู่บ้าง” น้องตอบ
“แล้วรู้ไหมที่เขามาที่อมก๋อย ตอนนั้น?”
“ค่ะ ได้ยินข่าวอยู่”
“แล้วจริงไหม ที่ว่า... เด็กอมก๋อยไม่รู้จักไข่เจียว?”
ผมยิงคำถามที่เป็นประเด็นดรามาไปหาน้อง
“จะไม่รู้ได้ยังไงล่ะคะ ก็กินอยู่ทุกวัน” น้องตอบพร้อมหัวเราะคิกคัก กันสองคน
“เออ... ก็จริงเนาะ” ผมอุทานออกมาเบาๆ
ก่อนจะเดินออกมา
โปรดใช้วิจารณญาณ
เมื่อรับมอบภารกิจสำหรับเช้าวันต่อไปเรียบร้อยแล้ว
พวกเราก็แยกกันไปพักผ่อน
โดยที่โรงเรียนห้วยลอก
สามารถใช้ไฟฟ้าสำหรับส่องสว่าง
และใช้กับเครื่องทำน้ำอุ่นได้
เพราะคุณครูผู้ชายเป็นผู้ดูแล
ปรนนิบัติบำรุง แผงโซล่าเซลด้วยตนเอง
จึงทำให้มีใช้ไฟฟ้าได้ตลอด
ไฟสว่าง กลางดอย
แต่ออกมาลุยทั้งที
จะไปอาบน้ำอุ่น สบายๆง่ายๆ ได้ยังไงล่ะ
ผมเลยเลือกที่จะอาบน้ำเย็น
และช่วยโรงเรียนประหยัดน้ำ
โดยอาบไปแค่ 3 ขันเท่านั้น
เพราะอากาศที่นี่เย็นมากๆ
ผมกางเต็นท์นอนในอาคารเรียน
ที่ครูได้จัดพื้นที่ไว้ให้พวกเรา
ตอนแรกตั้งใจจะไปกางข้างนอก
แต่ผมคิดถูกแล้วที่ไม่ออกไป
เพราะลม โค ตะ ระ แรง จริงๆ
ผมเคยมีประสบการณ์เสาเต็นท์หัก
ตอนออกฝึกที่ บ้านแม่แฮเหนือ
ตำบลแม่นาจร อำเภอแม่แจ่ม
ที่มีลักษณะภูมิประเทศคล้ายๆกับที่เราอยู่ในตอนนี้ในวันนั้นผมกางเต็นท์อยู่ข้างนอก
โดยลืมดูทิศทางลม
ทำให้ผมไม่กล้าเอาเจ้าเต็นท์ราคาไม่กี่ร้อย
ไปเสี่ยงกับสภาพอากาศอีกเลย
ผมมุดหัวเข้าเต็นท์ ตั้งแต่ 2 ทุ่มกว่าๆ
แต่พยายามข่มตายังไงก็ไม่หลับ
จากเสียงจอแจ ของพวกที่นั่งผิงไฟอยู่ข้างนอก
ที่ไม่ยอมหลับนอน ประกอบกับแปลกที่
ผมจึงเดินออกไปนั่งร่วมวงสนทนา
ของเหล่าคนรักแอลกอฮอล
“นอนไม่หลับล่ะสิท่า” ครูผู้ชายแซวผม
ด้วยอาการกรึ่มๆ
“ครับ แปลกที่นิดหน่อย อีกอย่างไม่ค่อยเพลีย”
ผมตอบกลับไป
“งั้นเอานี่ซักหน่อย” ครูรินน้ำสีใสๆ
ใส่แก้วเล็กให้กับผม
ผมกล่าวขอบคุณครู แล้วยื่นมือไปรับ
พร้อมกับกลิ่นของแอลกอฮอลที่โชยมาแตะจมูก
และชื่อของมันคือ ....“ดาวลอย”....
ถึงผมจะไม่ใช่สายเมา แต่ก็เคยกินเหล้ามาบ้าง
แต่ประเภทเหล้าต้มเนี่ย ไม่เคยลองมาก่อนเลย
ผมตัดสินใจกระดกรวดเดียวเข้าคอ
พร้อมกับความรู้สึกร้อนวาบจากลำคอ
จนถึงกระเพาะอาหาร
และค่อยๆซึมซาบ ผ่านเส้นเลือดฝอย
จนรู้สึกร้อนทั่วร่างกาย
วงสนทนายังคงดำเนินต่อไป
ต่างคนเมื่อเมา ก็เริ่มเล่าอะไรไปเรื่อย
ส่วนผมไอ้คนไม่เมา ก็นั่งฟังเขาเล่าอย่างเดียว
และสิ่งที่ผมคาใจมาตลอด
เกี่ยวกับประเด็นดรามาอันนั้น
ก็ถูกยกมาพูดโดยครูที่กำลังเมาได้ที่
“ตอนที่มีคลิปออกไปน่ะ พวกผมก็ไปถามไอ้น้องที่เป็นครูบ้านแม่เกิบ ว่าทำไมพูดแบบนั้น”
“มันบอกผมว่า จริงๆมันพูดยาวกว่านั้นนะ”
“มันบอกว่าเด็กไม่มีความฝัน จน กศน. เข้ามาเติมเต็มความฝันให้”
“แต่มันถูกตัดคำพูดออกไป”
“แล้วที่ว่าเด็กไม่มีรองเท้าใส่ เขาให้เด็กถอดรองเท้า แล้วเดินเท้าเปล่าไปรับของใหม่”
“ผมก็ไม่ได้อะไรหรอกนะ แต่มันน้อยใจ ที่ทำไมต้องเอาไปออกสื่อแบบนั้น”
.... เป็นคำพูดของคนเมา ....
ลมแรงพัดมาเป็นระยะ
ทำให้กองไฟที่กำลังจะมอดปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
คืนนี้ท้องฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆบัง
มองเห็นดาวสว่างเหนือท้องฟ้าบ้านห้วยลอก
เสียดายที่กล้องมือถือถ่ายไว้ไม่ได้
ผมขอตัวลาคุณครูเข้าไปนอน
หลังจากนั่งคุยมาเกือบชั่วโมง
ปล่อยให้จ่าโบ้ กับคุณครูผู้ชาย
ที่เพิ่งรู้ตัวว่าอายุเท่ากัน
นั่งสนทนากันประสาเพื่อน ท่ามกลางลมหนาวต่อไป
....โปรดติดตามตอนต่อไปครับ....

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา