22 พ.ย. 2021 เวลา 02:00 • กีฬา
" เวนเกอร์ No Sauce "
อันโตนิโอ คอนเต้ เข้ามาเป็นกุนซือคนใหม่ของสเปอร์ส งานแรกที่เขาทำคือสั่งนักเตะซ้อมดับเบิ้ลเซสชั่น เพื่อปรับความฟิต และปรับให้เข้ากับระบบการเล่นของเขาทันที
อีกอย่างที่ คอนเต้ ทำคือสั่งแบนอาหารบางอย่างรวมถึงเครื่องปรุงอย่างซอสมะเขือเทศ (Ketchup)
ซอสมะเขือเทศมีปริมาณน้ำตาลสูง โซเดี้ยมสูง อย่าว่าแต่กับนักกีฬาอาชีพเลย คนปกติ จริงๆ แล้วก็ไม่ควรบริโภคเยอะ
ผู้จัดการทีมหลายคน อาจจะสั่งห้ามรับประทานอาหารอย่างชิพส์, พิซซ่า หรือขนมอบเบเกอรี่ ทั้งหลายที่มีน้ำตาล เนย หวานเค็มมากๆ ในช่วงเวลาเท่านั้นเท่านี้ก่อนแข่ง
น้ำอัดลมเป็นสิ่งหนึ่งที่โดนห้ามอยู่แล้ว เพราะมันคือการซดน้ำเชื่อมอัดแก๊สดีๆ นี่เอง แต่บางคนก็เข้มงวดไปกว่านั้นอีก
ซอสมะเขือเทศ เครื่องปรุงรส หลายๆ ชนิดอย่างเช่น บราวน์ซอส ที่คนอังกฤษนิยมกันมากก็ถูกสั่งห้าม และว่าไปจริงๆ แล้ว คอนเต้ ไม่ใช่กุนซือคนแรกที่เข้มงวดเรื่องเหล่านี้
คอนเต้ ไม่ใช่คนแรกแน่นอน ฟาบิโอ คาเปลโล่ ได้ชื่อเป็นโค้ชจอมเฮี้ยบ เขาชัดเจน ตรงไปตรงมา และระเบียบวินัยจัดในทุกเรื่อง นี่คือหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จ
ตอนคุมทีมชาติอังกฤษ เขาก็สั่งแบนซอสชนิดต่างๆ บนโต๊ะอาหาร รวมถึงเนยด้วย เพราะเมือมีขนมปัง ส่วนใหญ่มักปาดเนยมาทา เพื่อเพิ่มรสชาติ รสสัมผัสเป็นปกติ แต่มันคือแคเลอรี่ ที่เพิ่มมาโดยไม่จำเป็น
หรือไม่ต้องย้อนไปไหนไกล ที่สเปอร์ส เองนี่แหละ ตอนปี 2007 ฆวนเด้ รามอส เข้ามาเป็นกุนซือสเปอร์ส
ยุคนั้น ในอังกฤษก็ผ่านการมีกุนซือต่างชาติมาเยอะแล้ว วัฒนธรรมการคุมอาหาร วิทยาศาสตร์การกีฬาเริ่มแพร่หลาย แต่นโยบายเข้มงวดของ ฆวนเด้ รามอส ก็ยังทำให้สื่อเอาไปเล่นเป็นข่าวใหญ่
ฆวนเด้ รามอส แบนซอสมะเขือเทศอย่างเดียวไม่ว่า เขาแบนกระทั่งเกลือ กับพริกไทย ซึ่งเป็นเครื่องปรุงพื้นฐานบนโต๊ะอาหารฝรั่ง
การเหยาะเกลือ "เล็กน้อย" ไม่ได้แย่เกินไปนัก และทำให้นักเตะกินอาหารได้ง่ายขึ้น สิ่งที่มีบนโต๊ะอาหารนักเตะสเปอร์ส ตอนนั้นคืออาหารจืด ไก่จืดๆ จนมีเสียงบ่นอย่างหนัก
ปีแรกของ รามอส เขานำทีมคว้าแชมป์ ลีก คัพ ปี 2008 (แชมป์ล่าสุดของสเปอร์ส จนถึงตอนนี้) แต่พอเข้าปีที่สองได้แค่ 2 เดือน ผลงานแย่จนเขาโดนปลด
แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ เข้ามาคุมทีมแทน มีรายงานว่าบอก วันแรกที่ จ่าแฮร์รี่ เข้ามาในห้องอาหารที่สนามซ้อม เขาถือขวดซอสมะเขือเทศ มาขวดนึง วางบนโต๊ะ แล้วพูดว่า "ฉันได้ยินว่าพวกนายหิวกันมานานใช่ไหมเด็กๆ"
2
เร้ดแน็ปป์ ถูกพิสูจน์ว่าทำทีมเล่นได้สนุก จนผ่านเข้าไปเล่นใน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ด้วยซ้ำ
1
แกเป็นคนยุคคาบเกี่ยว ที่ยังมองว่าการยืดหยุ่นนิดๆ หน่อยๆ เป็นการทำให้นักเตะไม่เครียด และมีความสุขในการทำงาน มันมีเรื่องอีกเยอะที่ต้องซีเรียสมากกว่าการคุมอาหารจนเข้มงวดเกินไป อย่างเช่นเบสิค การรับส่งบอล
"ผมเห็นนักเตะมากมายวิ่งเต็มที่ได้ตลอด 90 นาทีและพวกเขาก็กิน พาย, ชิพส์, ถั่วบด หรืออะไรก็ตามในช่วง 2 ชั่วโมงครึ่งก่อนเกมแข่ง แต่ละคนก็แตกต่างกัน มันเป็นเรื่องดีนะที่เรามีผู้เชี่ยวชาญด้านฟิตเนสแล้วในตอนนี้ แต่ถ้าคุณผ่านบอลยังไม่ตรงเลย แบบนี้ก็ไม่ไหว"
แต่หากถามหาคนที่เข้ามาบุกเบิกเรื่องอาหารการกิน และฟิตเนส อย่างเป็นมืออาชีพ เน้นวิทยาศาสตร์การกีฬาบนเวทีฟุตบอลอังกฤษจริงๆ จังๆ คนแรก คงต้องยกให้ อาร์แซน เวนเกอร์
ย้อนไปตอนที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามาคุมแมนฯ ยูไนเต็ด ทำการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของนักเตะปีศาจแดงยุคนั้น แต่หลักๆ เน้นไปที่เรื่องการ "ดื่ม" เพราะเป็นเรื่องใหญ่มาก นักเตะอังกฤษยุคนั้น ซดเหล้าเบียร์กันเป็นปกติ
1
ปลายปี 1996 เมื่อ เวนเกอร์ เดินทางมาจากญี่ปุ่น เข้ามาคุมอาร์เซน่อล เขาไปไกลกว่านั้น
เวนเกอร์ ปรับเปลี่ยนวิธีการซ้อม, วิธีการเล่นฟุตบอล, การหานักเตะราคาถูกๆ จากต่างแดน สิ่งเหล่านี้พลิกโฉมฟุตบอลอังกฤษไปอย่างมากมาย จนแม้แต่ เฟอร์กี้ เองก็ต้องยอมรับ และปรับตัวตาม
1
อีกหนึ่งสิ่งที่ เวนเกอร์ เข้ามาเปลี่ยนคือเรื่องอาหารการกิน Diet ของนักเตะ
ผู้เล่นอาร์เซน่อล เดิมทีไม่ค่อยใส่ใจกับเรื่องนี้ นี่ยังไม่นับเริ่องดื่มเบียร์ ดื่มเหล้า ที่นำโดยแข้งเก๋าๆ เช่นกัปตันทีมโทนี่ อดัมส์
พฤติกรรมของนักเตะอาร์เซน่อล ยังมีเรื่องของการดื่มน้ำอัดลม กินลูกกวาดของหวาน และช็อคโกแลตแท่ง จำพวก Mars, Sneakers ก่อนเกมหลังเกมอีกต่างหาก
แน่นอนว่ารวมถึงเครื่องปรุงบนโต๊ะอาหารบางจำพวกด้วย เรื่องนี้ ไนเจล วินเทอร์เบิร์น เคยออกมายอมรับ
"เขาสั่งแบนทุกอย่าง หลังการซ้อม เราจะขึ้นไปกินข้าวกันที่ชั้นบน และมันมีแต่ ปลา, ไก่ ทั้งหมดจืดชืด"
1
"ตอนเราออกไปเล่นเกมเยือน เรามักเดินทางด้วยรถไฟกันบ่อยมาก และคุณมักเห็นพนักงานชาย หรือสุภาพสตรี ที่เดินเข็นรถมา ที่ถามว่าจะรับเค้กหรืออะไรมั้ย และเวนเกอร์จะยืนขึ้นมา แล้วยกนิ้วขึ้นมาส่ายเพื่อห้ามทันที"
1
เกมแรกของ เวนเกอร์ คือการนำทีมบุกไปเยือน อีวู้ด พาร์ค ของ แบล็คเบิร์น เขานำทีมกลับออกมาด้วยชัยชนะ 2-0 และบนรถโค้ชขากลับ นักเตะโอดครวญอยากได้ช็อคโกแลตแท่งมากินตามที่เคยทำกันมานานจนเป็นนิสัย
"ผมเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างของผู้เล่น ซึ่งไม่ง่ายเลยกับทีมที่นักเตะอายุเฉลี่ย 30 ปี ในเกมแรก นักเตะร้อง 'เราอยากได้ช็อคโกแลต Mars ของเรา!' ตอนพักครึ่ง ผมถามนักกายภาพของผม แกรี่ ลูวิน 'ไม่มีใครพูดอะไรเลย พวกเขาเป็นอะไรกัน?' เขาตอบว่า 'พวกนั้นหิวน่ะ' เนื่องจากผมไม่ได้ให้พวกเขากินช็อคโกแลตแท่งก่อนเกม มันตลกมาก"
1
เวนเกอร์ ย้อนความหลังถึงสมัยแรกที่เขาเข้ามาคุมอาร์เซน่อลใหม่ๆ
การที่เขาไปคุมทีมในญี่ปุ่น รับประทานอาหารแบบญี่ปุ่นอยู่บ้าง ทำให้เขานำมันมาปรับใช้กับการทำทีมฟุตบอล
"ผมคิดว่าในอังกฤษ พวกคุณบริโภคน้ำตาลและเนื้อแดง กันมากเกินไป กินผักกันไม่มากพอ" เวนเกอร์ เอ่ยตรงไปตรงมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษ
2
เขาสั่งห้ามไม่ให้โรงอาหารในสโมสรเสิร์ฟเบอร์เกอร์กับชิพส์ อีกต่อไป โดยเปลี่ยนมาเป็นปลา, ไก่, ผักนึ่ง และมันฝรั่งที่ไม่ผ่านกระบวนการทอด แทน
1
แม้แต่ของหวานหลังอาหารอย่างแอปเปิ้ล พาย ก็โดนทำให้ "คลีน" ขึ้นลดพวกน้ำตาล และตัดคัสตาร์ดออกไปจากชิ้นพาย
การควบคุมเรื่องอาหารของเวนเกอร์แบบนี้ เหล่านักเตะอาร์เซน่อล เรียกมันว่า "เอวิย็อง-บร็อคโคลี่" หมายถึงดื่มแต่น้ำแร่เอวิย็อง (หรือเอเวียง) กับกินผักบร็อคโคลี่เยอะๆ
โดย เอียน ไรท์ หัวหอกจอมเก๋าเป็นคนริเริ่มคำพูดนี้ เพราะเขาออกมาบ่นว่าทุกจาน มีแต่บร็อคโคลี่ๆๆๆ
แนวทางของ เวนเกอร์ ถูกพิสูจน์ว่าได้ผลทันที เพราะในปีที่ 2 ของการคุมทีม หรือปีแรกที่ทำทีมเต็มฤดูกาล เขาก็นำอาร์เซน่อล ปาดหน้าแมนฯ ยูไนเต็ดคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้เลย
1
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ อาร์เซน่อล ยุคใหม่ ที่เล่นฟุตบอลสวยงาม มีประสิทธิภาพ และนักเตะมีความฟิต กระฉับกระเฉงตลอดเวลาที่ลงสนาม
ในภายหลัง หลายทีมเปิดกว้างรับวิธีคิดเรื่องวิทยาศาสตร์การกีฬา และโภชนาการที่เคร่งครัดมากขึ้น ทำให้ความได้เปรียบเรื่องตรงนี้ค่อยๆ ถูกตัดทอนลง
แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม สำหรับวงการฟุตบอลอังกฤษแล้ว อาร์แซน เวนเกอร์ คือผู้บุกเบิกในเรื่องไดเอ็ตของนักฟุตบอลอย่างแท้จริง
.
ทุกท่านสามารถติดตามอ่านบทความย้อนหลังได้ที่ ..
.
และเพิ่มเพื่อนไลน์แอด "เพื่อเด้งเตือน" ให้คุณได้อ่านก่อนใคร กดที่ลิงค์นี้ครับ
ขอบคุณครับ
โฆษณา