Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
23 พ.ย. 2021 เวลา 12:27 • กีฬา
สงสัยไหมครับ ว่าทำไมการแยกทางของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถึงทำได้ยากขนาดนี้ นั่นเพราะสโมสรต้องคิดถึง "ภาพลักษณ์" ของตำนานด้วย วิเคราะห์บอลจริงจัง จะอธิบายให้ฟัง
2
ในประวัติที่ผ่านมา เราเห็นอยู่แล้วว่าถ้าทีมปีศาจแดงฟอร์มแย่เมื่อไหร่ ผู้บริหารจะไม่ค่อยลังเลที่จะไล่โค้ชออก อย่างตอนเดวิด มอยส์ หรือ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็เด้งออกกลางฤดูกาลเลยด้วยซ้ำ
แต่กับเคสของโซลชา มีการคิดทบทวนรอบแล้ว รอบเล่า แม้จะแพ้ลิเวอร์พูล 5-0 ก็ยังไม่ปลด ตามด้วยแพ้แมนฯ ซิตี้ คาบ้านแบบเอาต์คลาส 2-0 ก็ยังให้อยู่ต่อ จนมาถึงการแพ้วัตฟอร์ด ทีมหนีตาย 4-1 มันเป็นอะไรที่ไม่ไหวแล้วจริงๆ สุดท้ายก็เลยต้องจบลงตรงนี้
2
สาเหตุที่ทำให้ทุกอย่างยืดเยื้อ นั่นเพราะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องใช้ความระวังอย่างมาก ในการจะทำอะไร พวกเขาไม่ต้องการให้สเตตัสของความเป็นตำนาน สูญหายไปจากตัวโซลชา
สโมสรฟุตบอลแห่งหนึ่งจะมีความยิ่งใหญ่ได้นั้น คุณต้องมีประวัติศาสตร์ ต้องมีเรื่องราวเล่าขานที่ถูกย้อนกลับมาพูดถึงแบบไม่รู้จบ
ลิเวอร์พูลมีปาฏิหาริย์อิสตันบูล, อาร์เซน่อลมี The Invincibles, เชลซี มีมหัศจรรย์มิวนิค เรื่องราวเหล่านี้ เป็นรากฐานของสโมสร ที่ทำให้แฟนรุ่นเก่าตื้นตัน และช่วยดึงแฟนรุ่นใหม่ให้เข้ามาหลงใหลทีม ยิ่งไปกว่านั้น มันเป็นความภูมิใจว่าครั้งหนึ่งสโมสรของเราเคยสร้างความยิ่งใหญ่ขนาดนั้นในโลกลูกหนัง
2
สำหรับแมนฯ ยูไนเต็ด เหตุการณ์ที่อยู่ในจุดสูงสุดของความทรงจำ คือ ชัยชนะนัดชิงเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ปี 1999 ที่คัมป์นู เพราะเกมนี้มันแสดงให้เห็นถึงคาแรคเตอร์ทุกอย่างของทีม
1
จากโดนบาเยิร์น มิวนิคนำ 1-0 แต่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บ แมนฯ ยูไนเต็ด ยิง 2 ลูกรวด พลิกชนะ 2-1 ใครจะไปเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นได้จริง
1
สปิริตที่ไม่ยอมถอยแม้จะไม่มีเวลาเหลือ, การแก้แท็กติกที่ถูกต้องของโค้ช และชัยชนะที่ทำให้แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ความทรงจำเรื่องนี้ ไม่ว่าใครก็มาลดทอนคุณค่าไม่ได้ทั้งนั้น
1
และแน่นอน ทุกคนรู้ดีว่าคนสำคัญในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีก ปี 1999 คือโอเล่ กุนนาร์ โซลชา เพราะเป็นคนยิงประตูชัยให้ทีมได้แชมป์
1
นอกจากยิงให้ทีมชนะบาเยิร์นในเกมนั้นแล้ว ในฐานะนักเตะ โซลชาเป็นสัญลักษณ์ของผู้เล่นที่มีวินัย ตั้งใจซ้อม และไม่เคยบ่นแม้จะเป็นสำรอง ทุกครั้งที่ได้โอกาสแม้จะมีเวลาน้อยนิดแค่ไหน เขาก็พร้อมลงมาเปลี่ยนเกมได้เสมอ
ในช่วงท้ายอาชีพ แฟนบอลสดุดีเขาด้วยคำว่า 2OLEGEND (20 + OLE + LEGEND) เพราะ โอเล่ คือตำนานของสโมสร แม้เขาจะไม่ได้เป็นตัวหลักทุกๆ ซีซั่น เหมือนพวก สโคลส์, กิ๊กส์ หรือ เนวิลล์ ก็ตามที แต่เครดิตที่ได้รับก็สูงค่าไม่แพ้กัน
ความยากของผู้บริหารแมนฯ ยูไนเต็ดชุดปัจจุบัน เมื่อต้องดีลกับปัญหาโซลชาเลยอยู่ตรงนี้ เพราะถ้าหากแยกทางกันอย่างโหดร้าย ไล่ออกแบบที่มูรินโญ่เคยโดน จะทำให้คุณค่าของ "ความเป็นตำนาน" ของโซลชา ลดลงไป เวลาพูดถึงมหัศจรรย์ที่คัมป์นู ปี 1999 แทนที่เด็กรุ่นใหม่จะรู้สึกวูบวาบกับโมเมนต์นั้น อาจจะหยิบมาแซวก็ได้ว่า "อ๋อ คนที่ยิงในเกมนั้น คือโซลชาที่คุมทีมแพ้ลิเวอร์พูล 5-0 ไง ฮ่าฮ่าฮ่า"
3
ดังนั้นการกระทำทุกอย่าง จึงต้องรอบคอบอย่างมาก การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดแน่ แต่ก็ต้องทำอย่าง Soft ที่สุด เพื่อรักษาความรู้สึกดีๆ ที่แฟนบอลเคยมีให้โซลชาเอาไว้
-------------------------------
เหตุการณ์ของโซลชาทำให้ผมย้อนไปคิดถึงเรื่อง แกรม ซูเนสส์ อย่างช่วยไม่ได้
1
ซูเนสส์ เป็นยอดกองกลางลิเวอร์พูลในยุคที่รุ่งเรืองที่สุด เขาพาทีมคว้าแชมป์ลีก 5 สมัย แชมป์ยุโรป 3 สมัย เรียกได้ว่าเป็นยอดคนตัวจริง
2
ความรู้สึกที่แฟนบอลมีให้เขา ไม่ต่างอะไรกับที่แฟนแมนฯ ยูไนเต็ด มีให้รอย คีน หรือ แฟนอาร์เซน่อล มีให้ปาทริก วิเอร่า เขาคือยอดมิดฟิลด์ ที่กระหายในชัยชนะอย่างเต็มเปี่ยม
1
ซูเนสส์ เป็นผู้เล่นกองกลางที่ครบเครื่องมาก เขาสามารถเป็นฮาร์ดแมนได้ แต่ก็สามารถเล่นเกมรุกได้ดีมากๆ เช่นกัน (เคยได้ดาวซัลโวยูโรเปี้ยนคัพ 1 สมัย) นอกจากนั้น ยังมีความเป็นผู้นำเต็มเปี่ยม โดยในปี 1982 บ๊อบ เพสลีย์ ได้มอบตำแหน่งกัปตันทีมลิเวอร์พูลให้เขา ต่อจากฟิล ธอมป์สัน
1
ผลงานมาสเตอร์พีซของซูเนสส์ คือในยูโรเปี้ยนคัพ 1984 นัดชิงชนะเลิศที่โรม เกมที่ลิเวอร์พูล เจอโรม่า นัดนั้นซูเนสส์แค่คนเดียว กลับข่มกองกลางโรม่าทั้งทีมจนอยู่หมัด ตัวดังๆ อย่างโตนินโญ่ เซเรโซ่, ฟัลเกา หรือ บรูโน่ คอนติ ไม่มีใครทะลวงผ่านเขาได้เลย จากนั้นเมื่อจบ 120 นาที จึงต้องดวลกันที่ลูกจุดโทษ และปรากฏว่าหงส์แดงชนะ โดยซูเนสส์ที่มีชื่อยิงจุดโทษก็ซัดเข้าไม่พลาดด้วย
2
ในยุคของเขาหงส์แดงได้แชมป์มากมาย ก่อนที่ซูเนสส์ จะ อำลาทีมหลังจากอยู่ด้วยกันมา 7 ปี เรียกได้ว่าเป็นการแยกจากกันที่แฟนบอลอาลัยมาก เพราะนี่คือยอดนักเตะที่ทำผลงานมาสเตอร์พีซ ชิ้นแล้วชิ้นเล่าให้กับสโมสร
เวลาผ่านไป ซูเนสส์ย้ายไปซามพ์โดเรีย จากนั้นในปี 1986 เขารับงานเป็น นักเตะควบผู้จัดการทีม ของกลาสโกว์ เรนเจอร์ส ในสกอตแลนด์ และถือว่ามีผลงานที่โอเคมาก เขาพาเรนเจอร์ส ที่ร้างแชมป์ลีกมา 8 ปี กลับมาเป็นแชมป์ได้สำเร็จ
1
ในปี 1991 เคนนี่ ดัลกลิช ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลอย่างกะทันหัน ประเด็นคือลิเวอร์พูลในยุคนั้น มีความเชื่อเรื่องระบบ "คนใน" กล่าวคือ คนที่มาเป็นโค้ช ควรเคยทำงานในสโมสรมาก่อน หรือไม่ก็เป็นนักเตะเก่า มันจะได้รู้วัฒนธรรมของทีมโดยไม่ต้องปรับตัว
1
เมื่อดัลกลิชไปแล้ว ผู้บริหารลิเวอร์พูลก็กวาดตามองตัวเลือกอื่นๆ และมาลงตัวกับซูเนสส์ เนื่องจากซูเนสส์ในสมัยเป็นนักเตะคือฮีโร่ ดังนั้นแฟนบอลน่าจะเปิดใจให้โอกาสเขาไม่ยาก และอีกอย่างซูเนสส์เคยได้แชมป์กับเรนเจอร์สมาแล้ว ประสบการณ์ก็ไม่ได้เป็น 0 เสียหน่อย
ฟังดูแล้วก็เหมือนจะโรแมนติกดี ตำนานย้ายมาสร้างความยิ่งใหญ่ให้ทีมเดิมของตัวเอง ราวกับสคริปต์ที่เขียนไว้
แต่พอย้ายมาคุมทีมจริงๆ ซูเนสส์กลับมีผลงานแย่กว่าที่คิด เขากระทำผิดพลาดหลายอย่าง จนทีมเจ็บตัวไปหลายหน
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อตัว ที่ล้มเหลวทุกคน เริ่มจากพอล สจ๊วร์ต กองหน้าราคา 2.3 ล้านปอนด์จากสเปอร์ส (ในปีเดียวกัน แมนฯ ยูไนเต็ด ซื้อเอริค คันโตน่า มา 1.2 ล้านปอนด์) พอส่งลงสนามแล้ว สจ๊วร์ตก็เล่นไม่ออก ในฤดูกาลยิงได้ 1 ประตู นี่เขาเล่นตำแหน่งกองหน้านะ
2
ซื้อจูเลียน ดิ๊คส์ ในราคา 3 ล้านปอนด์ บวกกับอีกสองนักเตะในทีมอย่างเดวิด เบอร์โรวส์ และ ไมค์ มาร์ช แต่ผลงานของดิ๊คส์ ถือว่าเลวร้ายมาก เขาชอบวิ่งไล่เตะชาวบ้าน แทนที่จะแท็กเกิ้ลแบบสวยๆ ทำให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นวิมเบิลดันทันที ถ้าเขาลงสนาม
2
รวมถึง ทอร์เบน พีชนิค ในราคา 6.5 แสนปอนด์ และ อิซวาน คอซม่า ในราคา 3 แสนปอนด์ หลายคนที่อ่านชื่อนี้ อาจสงสัยว่า ลิเวอร์พูลมีนักเตะชื่อนี้ด้วยเรอะ ก็ใช่น่ะสิ! ขนาดคนดูบอลปกติยังไม่รู้จักเลย แล้วซูเนสส์ไปเอามาจากไหนก็ไม่รู้ สุดท้ายก็เล่นไม่ได้ ปล่อยตัวทิ้งทั้้งสองคน
1
ซื้อก็ไม่ดี ขายนักเตะก็แย่ ตัวอย่างเช่น เรย์ เฮาจ์ตัน เพิ่งติด 1 ใน 6 แคนดิเดทของนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี แต่ซูเนสส์ขายทิ้งให้แอสตัน วิลล่าเฉยเลย หรือปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ ที่กำลังฟอร์มดีอยู่ ก็โดนขายทิ้งไปเอฟเวอร์ตัน ก่อนจะไปดังเปรี้ยงอีกรอบกับนิวคาสเซิล
3
ประเด็นที่แย่ยิ่งกว่าเรื่องการซื้อขาย คือการปรับแนวทางการเล่นของทีมหงส์แดง ในอดีตตั้งแต่ยุคของแชงคลีย์, เพสลีย์, เฟแกน, ดัลกลิช ลิเวอร์พูลจะเน้นการต่อบอลสั้นที่สวยงาม ให้สมฉายาเครื่องจักรสีแดง
2
แต่ซูเนสส์มองว่า ระบบการเล่นแบบนั้นมันเอาต์แล้ว เขาอยากให้ทีมเล่นแบบดุดัน ใช้พลังเยอะๆ เน้นความฟิตมากกว่าเทคนิค ดังนั้นจึงปรับเปลี่ยนรูปแบบการซ้อมใหม่หมด ในอดีตจะมีการแบ่งโต๊ะเล็กข้างละ 5 คน เพื่อเพิ่มทักษะในการเอาตัวรอดในที่แคบๆ ซูเนสส์โละการซ้อมโต๊ะเล็กทิ้ง แล้วเอาไปเพิ่มเรื่องการวิ่งแทน
1
แยน โมลบี้ หนึ่งในซูเปอร์สตาร์ของทีมเล่าว่า ในยุคก่อนๆ โค้ชจะให้วิ่งแค่ 8 นาทีเท่านั้น ในช่วงออกสตาร์ตการซ้อม แต่พอมาในยุคซูเนสส์ เขาสั่งให้วิ่ง 45 นาทีเต็ม คือแค่นั้นก็เหนื่อยจนไม่มีแรงจะไปซ้อมอะไรอีกแล้ว
1
คือซูเนสส์ก็มีบางอย่างที่ทำถูก แต่ส่วนใหญ่จะผิดมากกว่า เช่น สั่งทุบห้อง Boot Room ในตำนานทิ้งเพื่อเอาไปสร้างเป็นห้องสื่อมวลชน หรือ ไปให้สัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟเพื่อรับเงินกับ The Sun ทั้งๆ ที่ชาวเมืองเกลียดหนังสือพิมพ์ The Sun จะตายอยู่แล้ว
4
เมื่อมีความชุลมุนนอกสนาม สุดท้ายผลงานในสนามก็ตกต่ำตามไปด้วย
2
ก่อนหน้านี้ ในรอบ 10 ปี ลิเวอร์พูลได้แชมป์-รองแชมป์ สลับกันไปมาตลอด แต่พอซูเนสส์มาคุมทีม ปีแรก (1991-92) ลิเวอร์พูลจบอันดับ 6 ส่วนปีที่สอง (1992-93) ก็จบอันดับ 6 เช่นกัน
1
จากนั้นปีที่ 3 (1993-94) ซูเนสส์ได้คุมอีกแค่ครึ่งปี ทีมก็ยังไม่เห็นแววว่าจะเป็นแชมป์ได้ สโมสรเลยไล่ออกจากตำแหน่ง และเป็นการจบกันที่ไม่ดีนัก รวมแล้วเขาได้เป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลด้วยระยะเวลา 2 ปีครึ่งเท่านั้น
1
ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้ คือเมื่อซูเนสส์ทำทีมจากที่เคยลุ้นแชมป์เป็นประจำ กลายมาเป็นทีมระดับท็อปซิกส์ ท็อปเซเว่น นั่นทำให้ความรู้สึกที่แฟนลิเวอร์พูลมีต่อเขาก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย
เวลาเด็กรุ่นใหม่นึกถึงซูเนสส์ ไม่มีใครคิดถึงผลงาน 5 แชมป์ลีก , ไม่มีใครคิดถึงผลงานมาสเตอร์พีซในกรุงโรม และ ไม่มีใครคิดถึงลีลาการเป็นกัปตันอันกร้าวแกร่ง เพราะทุกคนจะคิดถึงเขาในฐานะโค้ชที่พาลิเวอร์พูลล่มจม และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สโมสรต้องร้างแชมป์ลีกถึง 30 สมัย
1
ผลงานของซูเนสส์ในฐานะผู้จัดการทีม มันกลายเป็นไปลดคุณค่าในสมัยนักเตะอย่างช่วยไม่ได้จริงๆ คือแม้ใครจะบอกว่า "สมัยนักเตะก็ส่วนนักเตะ สมัยเป็นโค้ชก็ส่วนโค้ช ความรู้สึกแยกแยะกันได้" แต่ในความจริง มันแยกไม่ง่ายขนาดนั้น
ไซม่อน ฮิว์จส คอลัมนิสต์คนดัง กล่าวว่า "นับจากยุคสงครามโลกเป็นต้นมา ซูเนสส์ควรจะได้รับการยกย่องในระดับเดียวกับเคนนี่ ดัลกลิช หรือ สตีเว่น เจอร์ราร์ดด้วยซ้ำ เขาไม่ควรจะต้องมาเจออะไรแบบนี้"
2
-------------------------------
กลับมาที่ประเด็นของโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ถามว่าในใจลึกๆ ของสโมสรอยากปลดโซลชาไหม คำตอบคือ ก็คงไม่
ผลงานแบบ Full Season ของโซลชา จนอันดับ 3 ตามด้วย อันดับ 2 คือพาทีมได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีกทุกปี ส่วนบอลถ้วย ก็เข้าถึงรอบชิงยูโรป้าลีก แม้จะแพ้จุดโทษบีญาร์เรอัลอย่างน่าเสียดายก็เถอะ ถ้าดูแบบนี้ มันก็ไม่ได้แย่อะไรนัก
1
ขณะที่ความสัมพันธ์ของนักเตะที่มีให้เขาก็ยอดเยี่ยมมาก บรรดาผู้เล่นทั้งรักและชื่นชม พื้นฐานของโซลชาดูเป็นคนอ่อนโยนและใส่ใจคนอื่นเป็นอย่างมาก
2
ส่วนผู้บริหารสโมสรก็ชอบ เพราะโซลชาเข้าใจโครงสร้างของทีมเป็นอย่างดี รู้ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้
เอาจริงๆ ถ้าหากแมนฯ ยูไนเต็ด เกาะท็อปโฟร์ได้เรื่อยๆ แม้จะไม่ได้ลุ้นแชมป์ แต่โซลชาก็คงได้อยู่ต่อ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาพาสโมสร โดนลิเวอร์พูลบอมบ์ 5-0 โดนวัตฟอร์ดยิง 4-1 มันก็คนละเรื่องกันแล้ว
โซลชาหมดแท็กติก หมดไอเดีย เขาดื้อดึงจะใช้แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ทั้งๆที่ สภาพร่างกายไม่ฟิตเต็มร้อย เลือกจะไม่ให้โอกาสดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ทั้งๆ ที่เวลาลงมาก็เล่นได้ดีเสมอ รวมถึงการแก้เกมหลายๆ นัด ก็ทำได้ไม่ดีพอ
1
ถ้าดูไลน์อัพ ผู้เล่นแมนฯ ยูไนเต็ดชุดนี้ ตามหน้าเสื่อไปเจอใครก็ได้ทั้งนั้น แต่ด้วยฝีมือที่ไม่เพียงพอของผู้จัดการทีม การจะยกระดับทีมให้เก่งกว่านี้ก็เป็นเรื่องยาก
3
เมื่อผลงานในสนามมันเป็นแบบนี้ ไม่เห็นอนาคตข้างหน้าแล้ว ต่อให้สโมสรอยากปกป้อง ก็คงไม่ไหวจริงๆ
ความยากจึงอยู่ที่ตัวสโมสรแล้วว่า ถ้าคิดจะปลดโซลชา จะทำอย่างไรให้มันสมูธที่สุด และไม่ให้โซลชาเสียสเตตัสของความเป็นตำนานไป คือให้แฟนบอลแยกทางกับเขาด้วยความรัก ไม่ใช่ความเกลียดชังโกรธแค้น
เวลานึกถึงโซลชา ยังรู้สึกดีๆ กับตำนานซูเปอร์ซับ กับตำนานที่คัมป์นู ไม่ใช่เต็มไปด้วยคำหยาบคาย เคสแบบนี้มันมีบทเรียนให้เห็นจากกรณีของแกรม ซูเนสส์มาแล้ว และมันก็คงจะแย่ ถ้าเกิดเรื่องแบบนี้กับตำนานของฝั่งแมนฯ ยูไนเต็ดบ้าง
1
นั่นคือเหตุผลที่ โซลชากับผู้บริหารถกกันเครียดกว่า 5 ชั่วโมง เพื่อหาทางออกร่วมกัน ซึ่งสุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด เลือกใช้วิธี ทำ Exclusive Interview ให้โซลชาได้สัมภาษณ์เพื่อร่ำลาสโมสรอย่างเป็นทางการ ซึ่งโค้ชคนก่อนหน้านี้ เดวิด มอยส์, หลุยส์ ฟาน กัล และ โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่มีใครได้รับสิ่งนี้ คนอื่นไล่ออกก็ไล่ออก จบกันแค่นั้นเลย ไม่มีอะไรต้องมาห่วงหาอาลัย
5
โซลชาได้โอกาสเล่าความในใจทุกอย่าง ความรู้สึกดี ตั้งแต่เกมแรกที่คุม ไปจนถึงเกมมหัศจรรย์ที่บุกชนะเปแอสเชได้ถึงปารีส เป็นการย้อนให้ฟังถึงสิ่งดีๆ ที่เคยมีร่วมกันตลอดเส้นทาง
ขณะที่สื่อมวลชนที่ใกล้ชิดกับสโมสร อย่างแมนเชสเตอร์ อีฟนิ่ง นิวส์ ถึงกับทำช่องคอมเมนต์ โดยระบุว่า "ขอบคุณโอเล่ เขียนคำอำลาถึงโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ได้ตรงนี้เลย"
นอกจากนั้น ยังมีภาพหลุดในวันสุดท้ายของเขาในฐานะผู้จัดการทีม โซลชาขับรถออกจากแคร์ริงตัน แล้วไปกอดแฟนบอลชื่อลุค เซลเลอร์ ที่อยู่หน้าสนาม พร้อมกับพูดว่า "เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ผมได้มีโอกาสทำงานให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด"
1
เมื่อมีบรรยากาศของการร่ำลาที่ดี มีโมเมนต์ที่ทำให้เห็นว่าโซลชารักสโมสรแค่ไหน ทำให้ "โทน" ของข่าวโซลชาแปรเปลี่ยนไป จากความโกรธแค้นและสะใจในช่วงแรก กลายเป็นความเสียใจ และสงสารที่โซลชาที่ทำเต็มที่แล้ว แต่ไปไม่ถึงฝั่งฝัน
1
จะว่าไปแล้ว ในมุมของสโมสรฟุตบอล การเอาตำนานของสโมสร มาเป็นผู้จัดการทีม จึงเป็นดาบสองคมอย่างมาก
ข้อดีคืออดีตนักเตะย่อมเข้าใจคาแรคเตอร์ของสโมสรเป็นอย่างดี การทำทีมจึงง่ายกว่าเริ่มนับหนึ่งกับใครก็ไม่รู้ นอกจากนั้นแฟนบอลก็จะใจดีกับอดีตผู้เล่นเป็นพิเศษ ไม่โยนแรงกดดันให้มากเกินไป ถ้าไม่สุดทนจริงๆ
แต่ข้อเสียก็คือ ถ้าหากตำนานคนนั้นทำทีมแย่เมื่อไหร่ มันก็จะส่งผลเสียหายถึงประวัติศาสตร์สโมสรด้วย และการปลดออกจากตำแหน่งก็ต้องระมัดระวังอย่างมาก สามารถทำได้ยากกว่าโค้ชทั่วๆ ไป
2
ดังนั้นนี่เป็นบทเรียนให้แต่ละทีมได้เห็นเลยว่า ถ้าคิดจะเลือกเอาตำนานมาเป็นผู้จัดการทีมจริงๆ ต้องคิดให้ถี่ถ้วนอย่างมาก
วันที่มีความสุขก็อาจสุขเป็นสองเท่า แต่ในวันที่ทุกอย่างมันเลวร้าย จะรับได้ไหม ถ้าผู้เล่นที่เคยเป็นขวัญใจ จะต้องขับไล่ โดนแซว หรือโดนด่าด้วยคำหยาบสารพัด
#LEGENDGONE
18 บันทึก
81
2
19
18
81
2
19
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย