Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
วิเคราะห์บอลจริงจัง
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
24 พ.ย. 2021 เวลา 02:28 • กีฬา
ความในใจของเจสซี่ ลินการ์ด จากนักเตะที่โดนมองข้าม เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงค้นพบช่วงพีกของตัวเอง ตอนย้ายไปเล่นให้เวสต์แฮม นี่คือเรื่องราวจากใจของดาวเตะบีนส์ บีนส์ บีนส์ รายนี้
10
1 เดือนที่แล้ว เกิดเหตุการณ์ที่ผมรู้สึกว่า "น่าประหลาดใจ" นั่นคือ เจสซี่ ลินการ์ด เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติอังกฤษ เขียนบทความยาว 11 หน้า A4 ระบายความในใจของตัวเอง ลงในเว็บไซต์ The Player's Tribune
ลินการ์ด ไม่ใช่คนเขียนหนังสือบ่อย เราไม่ค่อยเห็นฝีมือในการเขียนของเขานัก แต่เมื่อผมอ่านจบ ต้องยอมรับว่าเขามีทักษะการเขียนที่ดีมากทีเดียว ในฐานะคอลัมนิสต์คนหนึ่งยังรู้สึกชื่นชมไปด้วย
ความเหนือชั้นของบทความที่เขาเขียน คือต้องการสื่อความรู้สึกถึงสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดปัจจุบัน แต่ทว่า ทั้งบทความทั้ง 11 หน้า จำนวน 2775 คำ มีคำว่า Manchester United แค่ 1 คำเท่านั้น
3
นอกจากนั้นการร้อยเรียงเรื่องราว และการเปรียบเปรย ทำได้สวยงามมาก อนาคตลินการ์ดแขวนสตั๊ดไป สามารถเขียนคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ได้เลยนะ
ตอนที่บทความนี้ถูกโพสต์ ผมยังไม่เข้าใจว่าลินการ์ดเขียนด้วยความรู้สึกไหน แต่เมื่อวานนี้ ทันทีที่เขาโพสต์รูปในสตอรี่ เป็นรูปตัวเองกำลังดีใจในสีเสื้อของเวสต์แฮม ยูไนเต็ด ภาพรวมทั้งหมดก็ชัดเจนขึ้น
ภายใต้ความเฮฮา มีบางอย่างซ่อนอยู่ในใจ ภายใต้รอยยิ้ม มีเรื่องที่คิดอยากจะเปลี่ยนแปลง
1
ผมคิดว่าบทความของลินการ์ด มันสวยงามมากจริงๆ อยากแปลเป็นภาษาไทยให้อ่านกัน เมื่ออ่านจบ เข้าใจจุดยืนของลินการ์ด แล้วเรามาคุยกันต่อนะครับ
หรือใครอยากอ่านภาษาอังกฤษ พิมพ์ใน Google ว่า Lingard The Player's Tribune ก็จะเด้งขึ้นมาอันแรกเลยนะครับ
3
-----------------------------
[ ลบกระดานไวท์บอร์ดกันเถอะ โดย เจสซี่ ลินการ์ด ]
เรื่องที่ผมกำลังจะเล่านี้ ไม่ใช่เรื่องของผมซะทีเดียว แต่เกี่ยวกับพี่ชายของผม ที่ชื่อ "ลู" ถ้าไม่มีเขา ไม่มีทางเลยที่ผมจะมายืนอยู่ในจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ได้
อืมมม ไม่สิ เอาให้เป๊ะๆ สิ่งที่ผลักดันผมมาอยู่จุดนี้ คือ "ลู" กับ "กระดานไวท์บอร์ด" สองอันต่างหาก
ก่อนที่ผมจะเล่าถึงตรงนั้น เราจำเป็นต้องเริ่มจากแบ็กกราวน์ของเรื่องนี้ก่อน
ราวๆ 2 เดือนที่แล้ว ผมรู้สึกคึกคักมากๆ เพราะแฟนบอลกลับเข้าชมเกมในโอลด์แทรฟฟอร์ดได้แล้ว และตัวผมเองรู้สึกว่าเล่นได้เฉียบขาดมากในช่วงปรีซีซั่น ยิ่งไปกว่านั้น ผู้จัดการทีมโอเล่ ก็ดูจะมีความสุขกับผลงานของผม ดังนั้นผมเองรอไม่ไหวแล้ว ที่พรีเมียร์ลีกฤดูกาลใหม่ จะเริ่มต้นเสียที
แต่ 1 สัปดาห์ ก่อนนัดแรกของฤดูกาลจะมาถึง ผมติดเชื้อโควิด-19 และต้องโดนจับกักตัวเป็นเวลา 10 วัน ใช่ มันน่าผิดหวังมากจริงๆ
แต่เชื่อหรือไม่ ความเลวร้ายที่ต้องติดเชื้อและโดนกักตัว ยังเทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมเมื่อเดือนมิถุนายน 2021 ในวันที่ต้องประกาศตัว 26 ขุนพลไปลุยยูโร 2020
เอาจริงๆ ผมคิดว่าตัวเองทำผลงานได้ดีมากพอแล้วนะ ที่จะติดเป็น 1 ใน 26 ผู้เล่นไปเล่นยูโร โอเค มันก็จริงว่าทุกอย่าง อยู่ที่การตัดสินใจของแกเร็ธ เซาธ์เกต แต่ทันทีที่ผมรู้ข่าวว่าไม่ได้ไป ผมโทรหาพี่ชายเพื่อบอกให้เขารู้ คือ ผมร้องไห้เลยนะ เช่นเดียวกับพี่ชายของผม เขาก็ร้องไห้ด้วยเหมือนกัน
ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับผมสัก 2 ปีก่อนหน้านี้ การโดนปฏิเสธไม่ได้ไปเล่นทัวร์นาเมนต์สำคัญ มันคงทำลายหัวใจผมจนสิ้นซากไปแล้ว แต่ต้องขอบคุณที่เมื่อโตขึ้น ผมก็เข้าใจโลกมากขึ้น
ในเกมนัดเปิดสนามยูโร ของทีมชาติอังกฤษ ผมไม่ได้นั่งเซื่องซึมอยู่ที่มุมห้อง โอเค ว่าผมอาจไม่ได้ลงสนามด้วย แต่ผมก็ยังเป็นแฟนบอลของทีมชาติอยู่จริงไหม?
ดังนั้นผมจึงใส่เสื้อทีมชาติอังกฤษ ด้วยความที่ผมสนิทกับดีแคลน ไรซ์ ผมจึงสกรีนเสื้อ เบอร์ 4 เขียนว่า RICE ลงไปข้างหลัง จากนั้นผมก็ไปร้านเหล้า กับพี่ชายและเพื่อนอีก 2-3 คน เชื่อไหม มีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้านเหล้า พร้อมกับนกแก้วตัวโต อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น แล้วอยู่ๆ เจ้านกแก้ว มันก็บินมาเกาะที่ไหล่ของผม ตอนที่เรากำลังจะเอาชนะโครเอเชีย!
3
(note : ในแมตช์ที่อังกฤษ ปะทะ โครเอเชีย มีคนจับภาพได้ว่า ลินการ์ดมาดูบอลในผับพร้อมกับนกแก้ว คนจึงแซวว่า ในโลกนี้จะมีนักเตะคนไหนเพี้ยนขนาดเอานกแก้วมาดูบอลด้วยกัน แต่ลินการ์ดอธิบายในบทความว่า มันเป็นจังหวะบังเอิญเฉยๆ นกแก้วไม่ใช่ของเขาซะหน่อย)
3
คุณต้องหลงรักผับของประเทศเรา เวลาอังกฤษลงสนาม บรรยากาศ และความคึกคักในผับ มันจะสุดยอดมากๆ ในวันนั้นผมจำได้ว่า ถ่ายรูปกับแฟนๆ และมีเซ็นชื่อให้แฟนๆ บ้าง แล้วไปๆ มาๆ ไม่รู้ยังไง ผมไปโผล่ที่บูธดีเจเฉยเลย! นั่นเป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมจนยากจะอธิบายจริงๆ
1
ผมเลยจะพูดกับนักเตะทุกคน ว่าคุณควรจะไปดูบอลร่วมกับแฟนบอลในผับสักครั้งหนึ่งในอาชีพ คือมันจะทำให้คุณได้เห็นมุมมองที่แตกต่างไปเลยล่ะ
อย่างไรก็ตาม ผมอยากพูดให้ชัดเจนตรงนี้ว่าการได้ดูเพื่อนๆ ลงสนามกับทีมชาติ มันสนุกสนานก็จริง แต่ "การได้ลงเล่นให้ทีมชาติ" เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มากสำหรับผม ทุกครั้งที่ได้ใส่เสื้อสิงโตคำราม ผมรู้สึกภาคภูมิใจเสมอ
การมีโอกาสได้โทรศัพท์ไปบอกครอบครัว ว่าผมถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษอีกครั้งในเดือนกันยายน 2021 จึงเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์มาก จากนั้นผมก็ได้ติดทีมชาติอีกรอบ ในเกมที่เจออันดอร์ร่า กับฮังการี คือผมบรรยายไม่ถูกเลย แต่มันรู้สึกดีจริงๆ ที่ได้กลับมาจุดนี้อีกครั้ง
1
ทีมอังกฤษในชุดยูโรที่ผ่านมา ทำให้คนทั้งประเทศรวมใจกันเป็นหนึ่ง ดังนั้นแน่นอนว่าผมอยากมีส่วนร่วมกับอังกฤษชุดนี้ อยากเป็น 1 ใน 26 คนที่ได้ติดทีมด้วย คือมันคงเป็นอะไรที่พิเศษมาก
แต่สิ่งที่ผมต้องยอมรับคือ ถ้าย้อนกลับไปในเดือนพฤศจิกายน 2020 ผมไม่ใกล้เคียงกับการได้ติดทีมชาติเลยแม้แต่น้อย ผมไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ ดังนั้นตอนที่ผมถูกเรียกตัว ในเดือนมีนาคม 2021 มันเลยเป็นเรื่องสำคัญกับผมมาก และเอาจริงๆ แค่ได้รู้สึกว่ามีสิทธิ์จะถูกพิจารณาก็ถือเป็นโบนัสแล้ว
1
(Note : ลินการ์ดที่ร้างทีมชาติไปนาน โดนเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษ ในเดือนมีนาคม 2021 เพราะเล่นดีกับเวสต์แฮม โดยนัดสุดท้ายกับโปแลนด์ในช่วงพักเบรกทีมชาติ เขาเองก็ได้ลงสนามด้วย ทำให้เขาแอบหวังว่าจะได้ไปบอลยูโร แต่พอเซาธ์เกต ประกาศรายชื่อยูโรจริงๆ กลับตัดลินการ์ดออก ในรอบสุดท้าย)
2
เอาล่ะ ถ้าจะให้คุณเข้าใจความเสียใจของผม คุณต้องอย่าลืมว่าผมเคยอยู่จุดไหนมาก่อน และตกต่ำลงไปจากเดิมแค่ไหน
ย้อนกลับไปในฟุตบอลโลก 2018 อังกฤษได้ผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ นั่นคือหนึ่งในประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตของผม คุณจำเพลงนั้นได้ไหม "โว๊ะโอ อังกฤษอยู่ในรัสเซีย โว๊ะโอ เราดื่มวอดก้าของพวกแกหมดเกลี้ยง โว๊ะโอ อังกฤษชนะรวดไร้เทียมทาน" เพลงเชียร์พวกนี้ มันตลกดีนะ
3
ผมมีความสุขกับฟุตบอลโลก 2018 มาก แต่ทันทีที่พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2018-19 เริ่มต้นขึ้น ผมได้รับบาดเจ็บที่โคนขาหนีบ
ตามปกติผมเป็นคนที่วิ่งเยอะมากในแต่ละเกม 12-13 กิโลเมตรเป็นเรื่องปกติ ถ้าเจ็บนิดหน่อย ผมฝืนตัวเองให้ลุยต่อได้อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้มันต่างกัน ผมไม่สามารถฝืนวิ่งได้เลย หลังจากผมกลั้นใจเล่น 2-3 นัด ผมก็เล่นไม่ได้ ซ้อมไม่ได้ ร่างกายของผมบอกว่าจงพอได้แล้วไปรักษาตัวซะ กลายเป็นว่าทุกอย่างต้องหยุดชะงักหมด ทั้งๆที่ผมอยู่ในช่วงพีกของตัวเองแท้ๆ
1
โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ณ เวลานั้น คือยังไงดี นิสัยของเขาคือไม่ชอบให้นักเตะของตัวเองได้รับบาดเจ็บ มันทำให้ผมรู้สึกว่า "บอส นี่มันก็ไม่ใช่ความผิดของผมหรือเปล่า?"
1
จริงๆ ผมกับโชเซ่ เราก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันนะ ก่อนที่ผมจะได้รับบาดเจ็บเขาก็ดีกับผมอยู่ และให้ความเชื่อใจในสนาม ส่งผมลงตลอดในเกมสำคัญ และเราก็คว้าแชมป์ต่างๆ ร่วมกัน เขาทำให้ผมเป็นผู้ชนะ เขาเป็นโค้ชที่ดึงความเป็นผู้ชนะออกมาจากตัวคุณได้
ขณะที่สไตล์การทำงานของเขา ก็ชอบที่จะพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับนักเตะ บางครั้งอยู่ๆ เขาก็ FaceTime หาผมเฉยเลย แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คือแค่ต้องการเช็กเฉยๆ
ตอนแรกผมก็รู้สึกว่ามันประหลาดอยู่นะ เขาโทรหาผมแล้วพูดประมาณว่า "เฮ้ เจสซี่ นายกำลังทำอะไรอยู่?" ผมก็ตอบกลับไปว่า "เอ่อ นั่งชิลล์ๆ ดูทีวี (จากนั้นก็เกิดความเงียบสุดกระอักกระอ่วน) ... แล้วคุณกำลังทำอะไรอยู่?" ฮ่าฮ่าฮ่า!
ผมว่ามันเป็นอะไรที่เพี้ยนชะมัดเลย แต่อีกมุมก็ต้องยอมรับล่ะว่า เขาเองก็คงพยายามแสดงความห่วงใยกับนักเตะในทีม
1
แม้โชเซ่จะดูใส่ใจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ ที่เขารับรู้ว่านักเตะได้รับบาดเจ็บ เขาจะเปลี่ยนเป็นอีกคน มันเหมือนเป็นสิ่งที่เขาไม่อยากจะได้ยินเลยสักนิด
1
หลังจากที่ผมบาดเจ็บ จุดนั้นผมไม่สามารถคัมแบ็กกลับมาเหมือนช่วงฟุตบอลโลกได้แล้ว ผมมีปัญหาทั้งสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ นอกสนามผมก็มีเรื่องอีก เพราะคุณแม่กำลังต่อสู้กับโรคซึมเศร้า คือผมไม่ได้จะอ้างอะไรหรอกนะ แต่มันก็กระทบผมจริงๆ เพราะนั่นก็คือแม่ทั้งคนนะ"
1
การไม่ได้เล่นก็นับว่าแย่พอแล้ว แต่พอผมหายเจ็บและได้กลับมาลงสนามอีกครั้ง ผมกลับไม่สามารถเล่นได้อย่างโดดเด่นเหมือนเคย มันไม่ใช่ตัวผมเลยสักนิด ครอบครัวผมที่เข้ามาดูเกมด้วย พวกเขาพูดเลยว่า "นี่มันไม่ใช่นายเลย ออร่าของนายที่เคยมีมันหายไป" และเกมแล้วเกมเล่าผ่านไป ผมก็ไร้ตัวตนอย่างสิ้นเชิง ตอนนี้กลายเป็นแค่ภูตผีที่ไม่ถูกใครนึกถึง
ครั้งหนึ่งผมจำได้ดีเลยว่า บรูโน่ เฟอร์นันเดส เดินมาหาผมก่อนเกมแล้วพูดว่า "วันนี้ ฉันอยากเห็นเจสซี่ ลินการ์ดคนเดิม ที่ฉันรู้จัก" สิ่งที่ผมคิดก็มีเพียงแค่ "บรูโน่ ฉันทำไม่ได้ เพราะที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ฉันเลย!"
ผมรักฟุตบอลนะ รักแทบตายเลยล่ะ แต่มันก็บางช่วงเวลาเหมือนกัน ที่ผมคิดว่า "ฉันทนไม่ไหวอีกแล้ว เล่นฟุตบอลต่อไม่ได้อีกแล้ว"
(Note : ผลงานของลินการ์ด 2 ปี หลังจบฟุตบอลโลก 2018-19 ลงตัวจริง 19 นัด ยิง 4 แอสซิสต์ 3, ซีซั่น 2019-20 ลงตัวจริง 9 นัด ยิง 1 แอสซิสต์ 0 จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ทั้งจำนวนนัด และผลงาน ค่อยๆ ดร็อปลงเรื่อยๆ)
1
ในชีวิตส่วนตัวของผม ผมจะขลุกตัวเองอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์มือถือ บางครั้งคุณอาจได้ยินผมพูดว่า "อาฮะ" เวลาเราสนทนากัน แต่เชื่อไหม ว่าผมไม่ได้ฟังหรอก เพราะผมสนใจแต่เรื่องราวบนมือถือเท่านั้น
แต่ด้วยความที่ผมเล่นมือถือบ่อย อยู่ในโลกออนไลน์ตลอด ทำให้ผมกลายเป็นเป้าของสื่อมวลชน ว่าเอาแต่เล่นโทรศัพท์จนผลงานตกต่ำ
1
ผมโดนเล่นงานจากสื่อจนเละเทะมา 1 ปีครึ่งหลัง จากคนที่เคยอยู่จุดสูงสุด ร่วงลงมาติดพื้นต่ำสุดๆ แบบที่ผมเองก็ไม่เคยมาก่อน
แต่ทันใดนั้น ผมก็มีโอกาสสำคัญที่จะได้กดปุ่มรีเซ็ต ให้ทุกอย่างกลับมานับหนึ่งอีกครั้ง ซึ่งตรงนี้เอง ที่ ลู พี่ชายของผม เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
1
ผมกับลู เราสนิทกันมาก เขาเป็นพี่ชายประเภทที่พยายามปกป้องน้องชายเสมอ จริงๆ เขาเป็นคนเห็นศักยภาพผมตั้งแต่อายุน้อยๆ และคอยให้คำแนะนำพร้อมผลักดันผมอยู่เบื้องหลัง แต่ในช่วงที่ผมตกต่ำที่สุด เขาก้าวขึ้นมาทำบางอย่างแบบจริงจังมากขึ้น
สิ่งที่ผมรู้คือ ลู ไม่เคยหมดความเชื่อมั่นในตัวผมเลย
ในช่วงล็อกดาวน์ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมรู้สึกหดหู่ใจ เขาจะส่งคลิปของผมที่ยิงประตูได้ หรือคลิปตอนเล่นฟุตบอลโลก หรือไม่ก็คลิปชูถ้วยแชมป์ พร้อมกับเขียนข้อความว่า "ดูซะก่อน ว่านายเคยทำอะไรได้บ้าง เชื่อมั่นในตัวเองหน่อย นายเป็นนักเตะมีคุณภาพคนหนึ่งนะ"
เขาระดมส่งคลิป ส่งข้อความมาให้ผม บางครั้งเมื่อผมเห็นคลิปจากพี่ชาย ผมก็เริ่มเชื่อเขาขึ้นมานิดนึง ผมคิดว่า "บางทีเราอาจจะยังเป็นนักเตะที่ดีอยู่ก็ได้นะ"
พี่ชายของผม พยายามตั้งเป้าหมายให้ผม ว่าควรรักษาความฟิตแค่ไหน ในช่วงล็อกดาวน์ บางครั้งเขาวิ่ง 5 กิโลเมตร แล้วส่งเวลามาอวดผม บอกว่าเขาพยายามเอาชนะเวลาที่ผมทำได้ (แต่ขอโทษนะพี่ชาย นายเอาชนะฉันไม่ได้หรอก ฮ่าฮ่า!)
และ เขาเป็นคนแรกที่บอกผมเลยว่า "ถ้านายได้ย้ายทีมแบบยืมตัวนะ นายจะถล่มคู่แข่งจนเละแน่"
ในที่สุด ผมก็รวบรวมความกล้าไปคุยกับโอเล่ และผู้บริหารของยูไนเต็ด ว่าผมต้องเจออะไรมาบ้าง มันไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำ แต่โอเล่ ไม่ใช่แค่ผู้จัดการทีม เขายังเป็นเพื่อนของผมด้วย เราสองคนรู้จักกันมานานหลายปีแล้ว เขาเป็นคนที่ให้ผมลงเล่นกับทีมสำรองเป็นนัดแรกด้วย เขาจะบอกผมเสมอว่า "ไม่ว่าอะไรที่นายต้องการ แค่เคาะประตูห้องฉันได้เลย"
2
ตอนที่ผมบอกเขาว่าอยากย้ายทีมแบบยืมตัว สิ่งที่เขาตอบกลับมาว่า "ฉันหวังว่าจะได้นายคืนกลับมาสู่ทีมโดยเร็วที่สุดนะ" แล้วเขาก็ถามต่ออีกด้วยว่า "ทำไม มีปัญหาแล้วนายไม่ยอมพูดอะไรเลยก่อนหน้านี้"
ที่ผมไม่ยอมพูดอะไร เพราะผมคิดว่าจะจัดการได้ ด้วยตัวเองคนเดียว แต่สุดท้ายผมก็ทำไม่ได้ ผมต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่นด้วย
ตอนที่ผมพูดกับโอเล่ คือครึ่งทางของฤดูกาล 2020-21 จริงๆ โอเล่อยากให้ผมอยู่ต่อเพื่อช่วยทีมจนจบซีซั่น แต่เพื่อตัวผมเอง โอเล่ก็เข้าใจดีว่า ผมจำเป็นต้องเอาตัวเองออกมาจริงๆ ผมจำเป็นต้องได้เล่นฟุตบอลอย่างสม่ำเสมอ ผมต้องการบรรยากาศใหม่ๆ อีกครั้ง
ผมเพียงต้องการสักสโมสรที่พร้อมจะให้โอกาสผมแค่นั้นเอง
ในที่สุดวันสุดท้ายของตลาดนักเตะก็มาถึง ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างบ้าคลั่งมาก ตอนแรกผมได้ยินข่าวแว่วๆ ว่าเวสต์แฮมสนใจ แต่มันแทบไม่มีเวลาเหลือแล้วที่จะปิดดีล ข่าวมันสับสนมาก เดี๋ยวย้ายสำเร็จ เดี๋ยวไม่สำเร็จ แล้วก็กลับมาสำเร็จอีกครั้ง ความรู้สึกของผมพุ่งขึ้นลงแบบรถไฟเหาะเลยล่ะ
ตอนที่เวสต์แฮมดีลจบเรียบร้อย ผมตื่นเต้นมากกับการได้เริ่มต้นใหม่ จริงๆ ถ้าทีมแพทย์ตรวจร่างกายได้ทันเวลา ผมจะได้ลงเล่นเจอลิเวอร์พูลในอีก 2 วันต่อมาทันที ซึ่งผมก็พร้อมนะ ถ้าได้โอกาส
ที่เวสต์แฮม ผมรู้สึกได้เลยว่า ตัวเองเหมาะสมกับสถานที่เอามากๆ กลุ่มนักเตะเวสต์แฮมทำให้ช่วงเปลี่ยนผ่านของการย้ายทีมเป็นเรื่องง่ายไปเลย ในวันแรกที่ผมย้ายมา ผมแบบว่า "เอาผมเข้าไปอยู่ในกรุ๊ปแชทของทีมที!"
ดีแคลน, เฟรดโด้, แอร่อน เครสเวลล์ และ มาร์ก โนเบิ้ล พวกเขาเป็นกลุ่มนักเตะประเภทที่พร้อมจะป่วนกันเองอยู่เสมอ
เฟรดโด้ เป็นชื่อเล่นที่ผมเรียก ไรอัน เฟรเดริคส์ เวลาที่ผมมาสนามซ้อม อยู่ๆ เขาก็จะพูดขึ้นมาว่า "เฮ้ยยย ว้าว ไม่น่าเชื่อเลยว่านายจะทำเรื่องแบบนั้นลงไปได้" ผมก็จะตอบกลับไปว่า "อะไรนะ ฉันทำอะไรลงไปหรอ" คือเขาพยายามพูดให้ผมรู้สึกกลัวนั่นแหละ ว่าผมพลาดอะไรไปหรือเปล่า
เขาจะพูดอะไรแบบนั้นทั้งวัน แล้วในที่สุดพอคุณทนไม่ไหวแล้วตอบโต้ไปว่า "เฮ้ย พวก มันเกิดอะไรขึ้นจริงๆ กันแน่บอกฉันเถอะ" คุณก็จะได้รู้ความจริงว่า ทั้งหมดมันไม่มีอะไรเลย พวกเขาแค่อำคุณขำๆ แค่นั้น
นอกจากเฟรดโด้ ก็มีมาร์ก โนเบิ้ลส์ ที่ผมจะเรียกเขาว่า "โน้บส์" นี่คือจอมแหย่ตัวจริง ครั้งหนึ่งเรากำลังเล่นลิงชิงบอล สุดท้ายบอลหลุดออกจากวง และผมแตะบอลเป็นคนสุดท้าย ตามหลักผมก็ควรกลายเป็นลิงคอยไล่บอลตรงกลาง แต่เดวิด มอยส์ พูดขึ้นมาว่า "ไม่ ไม่ ไม่ เจสซี่ ไม่ต้องไปยืนตรงกลางหรอก เพราะเขาคือโกลเด้นบอยของเรา"
หลังจากนั้นล่ะ โน้บส์ก็เอาเรื่องนี้มาแซวว่าผมเป็นโกลเด้นบอยตลอด!
แม้เขาจะแซวอะไรผมบ้าง แต่ในความจริง เขาเป็นพี่ใหญ่ที่คอยแนะนำให้ผมเข้าใจว่า สโมสรเวสต์แฮมมีคาแรคเตอร์อย่างไร ผมจำได้ดี ในเกมเยือนนัดแรกตอนย้ายมาเวสต์แฮม โน้บส์ขับรถมารับผมไปสนามบิน ในรถมีผม โน้บส์ และ แอร่อน เครสเวลล์
ทันใดนั้น เป็นเหมือนอัตโนมัติที่ผมจะสิงตัวเองเข้าไปอยู่ในโทรศัพท์มือถือทันที ทันใดนั้น เขาหันหน้ามาหาผมแล้วพูดอย่างจริงจังเลยว่า "เราไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์กันที่นี่นะ แต่เราจะคุยกัน" ผมก็เลยตอบกลับไปว่า "โอเค ก็ได้"
ตามปกติบนเครื่องบิน ผมจะใส่เฮดโฟนแล้วเริ่มฟังเพลงทันที แต่โน้บส์กับนักเตะคนอื่นๆ ในทีม จะไม่ยอมให้ผมทำแบบนั้น สิ่งที่ผมรู้สึกในคาแรคเตอร์ของเวสต์แฮมคือ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน บทสนทนาระหว่างกันคือสิ่งสำคัญที่สุด
1
คุณห้ามใช้โทรศัพท์ ห้ามใช้โซเชียลมีเดีย ห้ามฟังคนอื่นแบบแกนๆ แล้วตอบว่า "อาฮะ" ถ้าเรากินดินเนอร์กันที่โรงแรมในเกมเยือน เราจะนั่งลงแล้วคุยกันเป็นชั่วโมง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกันและกันภายในทีม และเอาจริงๆ มันก็ช่วยผมเยอะมากเหมือนกัน
3
นอกเหนือจากความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ ร่วมทีมแล้ว อีกหนึ่งอย่างที่เปลี่ยนผมอย่างสิ้นเชิงในช่วงเวลาที่อยู่กับเวสต์แฮม เกี่ยวข้องกับพี่ชายของผม ลู
ตอนเราย้ายลงมาอยู่ที่ลอนดอน สิ่งแรกที่เขาทำคือเอากระดานไวท์บอร์ด 2 อัน มาตั้งไว้ที่อพาร์ทเมนต์ของเรา ตอนเขาเอามาวาง ผมคิดในใจว่า "เขากำลังทำอะไรอยู่เนี่ยะ"
จากนั้นลู ก็อธิบายว่า "กระดานอันหนึ่งเราจะเขียนเป้าหมาย ส่วนกระดานอีกด้านเราจะเขียนแรงบันดาลใจที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น"
กระดานไวท์บอร์ดด้านซ้าย เราจะเขียน ประตู, แอสซิสต์, ระยะวิ่ง, จำนวนโอกาสยิง, การเลี้ยงหลบคู่แข่ง เป้าหมายทุกอย่างที่เราต้องการ
1
กระดานไวท์บอร์ดด้านขวา เราจะเขียน แรงบันดาลใจทั้งหลาย Quote คำพูด หรือคีย์เวิร์ดต่างๆ ที่จะกระตุ้นผมให้มีไฟ
ในไวท์บอร์ดด้านซ้าย เขาเริ่มเขียนเป้าหมายจากเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ถึง มีนาคม 2021 ก่อนช่วงก่อนพักเบรกทีมชาติ บอกว่าผมควรทำให้ได้ 4 ประตู กับ 2 แอสซิสต์ ซึ่งผมก็สวนเขาไปบอกว่า "ไม่เอาล่ะ ตั้งเป้าสูงๆไปเลย 8 ลูก 9 ลูก!"
เขาตอบกลับมาว่า "เจสซี่ ถ้านายตั้งเป้าหมายสูงเกินไปตั้งแต่แรก นายอาจไปไม่ถึง ค่อยๆ ไปดีกว่า" ดังนั้นเราเลยลดเป้าหมายเหลือแค่ 4 ลูก กับ 2 แอสซิสต์ตามเดิม
ผมทำได้ถึงเป้าหมายทั้ง 2 อย่างนั้น
จากนั้นลูก็บอกว่า "เอาล่ะ งั้นเป้าหมายต่อไป 6 ประตู 4 แอสซิสต์" ซึ่งผมก็ไปถึงเป้าหมายนั้นเช่นกัน
ติ๊ก ติ๊ก ผมติ๊กถูกเป้าหมายทั้ง 2 ช่อง อีกครั้ง
ขณะที่ไวท์บอร์ดด้านขวาก็ทำงานของมันเป็นอย่างดี ตอนนี้พลังใจของผมพุ่งทะยานทะลุเพดาน ทุกสิ่งที่ผมต้องการมันรวมอยู่ในไวท์บอร์ดทั้งสองอันนี้แล้ว
ใช่ ผมลืมเล่าเรื่องนี้ไป เรื่อง "นักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก" กับ "ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก"
ในเดือนกุมภาพันธ์ ผมได้เสนอชื่อเป็นนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก มันทำให้ผมมีเป้าหมายว่า อยากจะได้รางวัลนี้สักครั้ง ผมบอกลูว่า "เขียนเพิ่มลงไปในบอร์ดเลย!"
ผมได้เสนอชื่อเข้าชิง 3 เดือนติดกัน คือกุมภาพันธ์, มีนาคม และ เมษายน คือจริงๆ ผมก็เคยถูกเสนอชื่อมาก่อนนะ แต่ผมไม่เคยชนะเลยสักครั้ง
ในเดือนมีนาคม ผมคิดว่าตัวเองน่าจะได้รางวัล แต่เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ยิงแฮททริกได้ และโฉบเอารางวัลไป ว่ากันตรงๆ ก็ยุติธรรมอยู่ ว่ากันไม่ได้หรอก
ในเดือนเมษายน ตอนที่ผมลืมเรื่องนี้ไปแล้วซะสนิท (ลืมจริงๆ นะ) อยู่ๆ สตาฟฟ์มีเดียของเวสต์แฮมก็แจ้งมาบอกผมว่า "เจสซี่ คุณได้รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยม และ ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือน"
(Note : เดือนเมษายน 2021 ลินการ์ด ลงเล่น 4 นัด มีสถิติ ยิง 4 แอสซิสต์ 1 และได้ประตูยอดเยี่ยมจากลูกยิงวูล์ฟแฮมป์ตัน ที่เลี้ยงครึ่งสนามโซโล่เดี่ยวเป็นประตู)
ตอนแรกผมยังไม่เข้าใจว่ามันคือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน จนผมโทรศัพท์หาลู และได้คุยกับครอบครัวนั่นล่ะ ผมได้ยินเสียงตื่นเต้นจากปลายสาย และผมถึงได้เข้าใจว่า ว้าว นี่เป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่จริงๆ"
จากนั้น ผมเดินกลับมาที่ไวท์บอร์ดด้านซ้าย แล้วติ๊กถูกเพิ่มอีกสองช่อง ติ๊ก ติ๊ก
ไม่นานต่อจากนั้น บรูโน่ เฟอร์นันเดส ให้สัมภาษณ์แล้วพูดถึงผมว่า "นี่คือนักเตะที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก" ผมเนี่ยนะ! คุณเชื่อไหม ว่าคำพูดแบบนี้จะมาจากปากนักเตะอย่างบรูโน่
1
ผมมีแต่ความรักให้บรูโน่นะ เขาเป็นคนส่งข้อความมาให้กำลังใจผมตลอดในช่วงเวลาที่โดนปล่อยยืมตัว ซึ่งการถูกนึกถึงจากคนที่มีความสามารถขนาดนั้น มันทำให้ผมรู้สึกดีมากๆ
เมื่อผมได้ทุกอย่างมาแบบนั้น ลูบอกผมว่า "นี่นายประสบความสำเร็จเกินกว่าที่ฉันคิดอีกว่ะ" ฮ่าฮ่าฮ่า!
1
เอาจริงๆ ผมว่ามันไม่ใช่อะไรที่มากเกินไปหรอก สิ่งที่คุณเห็นในช่วงที่อยู่กับเวสต์แฮม มันสามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันลงตัวทั้งหมด เรียกง่ายๆ ว่าเป็นตัวอัพเกรดของเจสซี่ ลินการ์ดละกัน เจสซี่ 2.0 อะไรทำนองนั้น
ตอนผมกลับจากยืมตัว มาสู่ยูไนเต็ดอีกครั้ง ผมกลายเป็นคนใหม่อย่างสิ้นเชิง ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มั่นใจขึ้น และพร้อมรับผิดชอบในสิ่งต่างๆ มากขึ้น แน่นอน ผมต้องให้เครดิตกับเดวิด มอยส์ และเพื่อนร่วมทีมเวสต์แฮม ขอบคุณทุกอย่างจริงๆ นะ
ผมตื่นเต้นมากๆ กับซีซั่นใหม่ 2021-22 ที่กำลังจะมาถึง มันฟังดูน่าตลกดีนะ ทั้งๆ ที่คุณอยู่กับสโมสรแห่งนี้มาตลอดช่วงชีวิตของคุณ ยังจะมาตื่นเต้นอะไรอีก แต่คราวนี้ ผมแค่อยากโชว์ให้ผู้คนได้เห็นว่า ผมสามารถทำอะไรได้บ้างในสนาม
1
ผมไม่อยากเป็นนักเตะประเภทที่เล่นดีประเดี๋ยวประด๋าว เป็นบางสัปดาห์ หรือบางเดือน แต่ผมอยากลองดูว่า ถ้าผมได้ลงเล่นเกมลีกเต็มๆ สัก 30 นัดขึ้นไปต่อฤดูกาล ผมจะทำประตู และแอสซิสต์ได้มากมายขนาดไหน
เช่นเดียวกับทีมชาติอังกฤษ ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติ ที่ถูกเรียกติดทีมอีกครั้ง การยิงประตูใส่อันดอร์ร่า 2 ลูก พูดตรงๆ นะ มันทำให้ผมระทึกใจมากเลย
1
แต่สุดท้ายแล้ว ผมต้องการมากกว่านั้น
ผมอยากรู้ว่า ถ้าไม่ต้องมาโดนกักตัว ไม่มีอาการบาดเจ็บ ไม่มีเหตุรบกวนใดๆ ทั้งสิ้น ด้วยความสามารถของ เจสซี่ 2.0 ผมจะปล่อยของออกมาได้แค่ไหน
มันคือการเริ่มต้นใหม่ที่สดชื่น ทั้งกับตัวผมเอง และกับพี่ชายด้วย ที่ผ่านมาลูคือโค้ชส่วนตัวของผม เขาคือคนคอยกระตุ้นให้ผมสู้ ไม่ว่าจะมีเรื่องอะไรก็ตาม ผมก็อยากโทรหาเขาเป็นคนแรก เพราะเขาอยู่ด้วยกันกับผมตลอดเส้นทาง
ขอบคุณมากนะพี่ชาย ที่ช่วยให้ผมได้กลายเป็นตัวเองอย่างแท้จริงเหมือนในวันนี้
และตอนนี้ เราสองคนมาช่วยลบกระดานไวท์บอร์ดกันเถอะ มันได้เวลาที่เราจะเดินไปข้างหน้าแล้ว
พวกเรามีเป้าหมายใหม่ ที่จะต้องไปให้ถึงนะ
อ่านจบแล้วรู้สึกไหมครับ ว่าลินการ์ดเขียนได้ดีทีเดียว เป็นบทความที่น่าประทับใจทีเดียว เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่อยู่ในใจของเขาจริงๆ
ลินการ์ดระบายออกมาว่า เขาเองโดนดูหมิ่นดูแคลนมาทั้งชีวิต ว่าเป็นของปลอม ว่าเป็นตัวโจ๊ก แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ได้ย้ายไปเวสต์แฮม เขากลับได้รับการยกย่องอย่างมหาศาล และมีช่วงเวลาดีที่สุดในอาชีพเกิดขึ้นที่นั่น
จากนักเตะที่คนอื่นไม่ค่อยให้เครดิต กลายเป็นเจสซี่เวอร์ชั่น 2.0 คว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำเดือนอีกต่างหาก
การย้ายไปเวสต์แฮม มันช่วยสร้างความมั่นใจ ว่าถ้าเขาได้รับการสนับสนุนที่ดีพอจากสโมสรและเพื่อนร่วมทีม ได้โอกาสลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ เขาก็สามารถกลายเป็นนักเตะแถวหน้าของลีกได้จริงๆ
สำหรับเส้นทางชีวิตของลินการ์ดกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดขณะนี้ ถ้าว่ากันตามตรง เขาไม่ได้เป็นตัวเลือกของโค้ช ในพรีเมียร์ลีก 11 เกมแรกของฤดูกาล ลินการ์ดลงสนามเป็นตัวจริง 0 นัด สำรอง 5 นัด ได้ลงเล่นแค่ 63 นาทีเท่านั้น
อาจเพราะด้วยตำแหน่งการเล่น ตอนอยู่เวสต์แฮม ลินการ์ดเล่นดีที่สุดในตำแหน่งกองกลางตัวรุก หรือกองหน้าแบบ False Nine ซึ่งก็จะไปชนตำแหน่งของบรูโน่ หรือโรนัลโด้อีก ครั้นจะไปยืนปีก ก็มีตัวที่เร็วกว่า สดกว่า อย่างกรีนวู้ดหรือซานโช่อยู่แล้ว ดังนั้นลินการ์ดจึงไม่ได้โอกาสอีกเลย
1
กลายเป็นว่าฟอร์มพีกที่อยู่ตอนเวสต์แฮม เมื่อขาดการสานต่อ ขาดการลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ คุณก็จะค่อยๆ Fade หายไปเรื่อยๆ และถ้าเป็นแบบนี้ โอกาสที่เขาจะได้ติดทีมชาติอังกฤษไปฟุตบอลโลก 2022 ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ตำแหน่งกองกลางตัวรุกของอังกฤษ มีคนที่จองโควต้าแล้วแน่ๆ อย่าง ฟิล โฟเด้น, เมสัน เมาท์ หรือ แจ๊ค กรีลิช ยังไม่นับดาวรุ่งรุ่นใหม่ ที่กำลังแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างเอมิล สมิธ โรว์ หรือ คอนเนอร์ กัลลาเกอร์ อีก ดังนั้นถ้าลินการ์ดไม่ได้ลงสนามอยู่แบบนี้ ความฝันฟุตบอลโลก ก็ยากที่จะเกิดขึ้นได้
ดังนั้นลินการ์ดจำเป็นต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อไปอย่างไรในอาชีพ ตอนนี้เขาอายุ 28 แล้ว จะทำอะไรก็ต้องรีบทำแล้ว ก่อนจะสายเกินไป และตลาดซื้อขายเดือนมกราคมนี้ จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่สุดของเขาด้วย
1
ตอนนี้ลินการ์ด ลบกระดานไวท์บอร์ดแล้ว เพื่อเตรียมเขียนเป้าหมายใหม่ของตัวเองลงไป
แต่มันก็แน่นอนว่า การจะได้ "ติ๊กถูก" คุณต้องได้โอกาสลงสนามก่อนจริงไหม
และถ้ายังเป็นสำรองกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่อไปแบบนี้ เป้าหมายบนไวท์บอร์ด ก็คงเป็นแค่ฝันที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง
2
#CLEARTHEWHITEBOARD
33 บันทึก
67
3
21
33
67
3
21
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย