24 พ.ย. 2021 เวลา 11:35 • ปรัชญา
นิทานหมากสีแดง
ครอบครัวหนึ่งมีลูกชายสองคน ลูกชายคนโตชื่อว่า ชาญชัย
ส่วนลูกชายคนเล็กชื่อว่า โชติช่วง
ชาญชัยเป็นพี่ที่มีนิสัยรักสงบ และชอบนั่งสมาธิสวดมนต์อยู่
เป็นนิจ ส่วนโชติช่วงคนน้องนั้นรักความสนุกสนานชอบพบ
ปะผู้คน และนิยมความเจริญก้าวหน้าในชีวิต
เมื่อชาญชัยและโชติช่วงเติบโตเข้าสู่วัยหนุ่ม พ่อกับแม่ก็ให้
ทั้งสองแยกเรือนออกไปลองใช้ชีวิตด้วยตนเอง ชาญชัยจึง
เปิดร้านเล็กๆ ในหมู่บ้าน ขายของกินของใช้ทั่วๆ ไป พอที่จะ
เลี้ยงตนเองได้ไม่ขัดสน ส่วนโชติช่วงคิดการใหญ่กว่าพี่ชาย
เขามองเห็นลู่ทางทำเงินมากมายรออยู่ตรงหน้า ดังนั้นเขา
จึงลงทุนทำการค้าหลายๆ แบบ และทุ่มเทตนเองในการทำ
งานอย่างหนัก โดยแทบไม่ยอมพักผ่อน ซึ่งกิจการของเขาก็
โตวันโตคืนและทำกำไรให้เขาอย่างงดงาม
ชาญชัยแม้จะเห็นน้องชายเจริญก้าวหน้าก็หาได้มีใจริษยาไม่
เขายังคงดำเนินชีวิตของตนเองไปเหมือนดังเช่นทุกวัน คือ
ตื่นนอนตอนตีสี่มานั่งสวดมนต์ทำสมาธิ จากนั้นกินข้าวเช้า
แล้วออกไปเปิดร้าน เมื่อถึงเวลาเย็นก็ปิดร้านมานั่งอ่านหนัง
สือธรรมะและคำสอนในศาสนา ก่อนจะเข้านอนก็สวดมนต์
ทำสมาธิอีกครั้ง และตื่นอีกครั้งตอนตีสี่ เป็นเช่นนี้ทุกวันไม่
เคยเปลี่ยนแปลง จนชาวบ้านพากันซุบซิบนินทาไปทั่ว ดัง
นั้นในวันหนึ่ง พ่อกับแม่จึงเรียกให้ชาญชัยไปหาที่บ้าน
“พ่อกับแม่มีอะไรจะคุยกับฉันอย่างนั้นหรือ”
ชาญชัยเอ่ยถาม
“พ่อกับแม่ไม่สบายใจเรื่องที่ชาวบ้านพูดคุย และว่าร้ายกัน
เกี่ยวกับลูกน่ะสิ”
พ่อบอกด้วยสีหน้าวิตกกังวล
“ชาวบ้านว่าอะไรฉันล่ะ”
ชาญชัยถามอีก
“เขาว่าลูกขี้เกียจสันหลังยาวนัก เปิดร้านออกมานั่งเฝ้าอยู่
เดี๋ยวเดียวก็ปิดไปนั่งอ่านหนังสือสบายใจอยู่ในบ้านเสียแล้ว”
แม่ของชาญชัยบอกลูกชาย
“แล้วเขาก็ยังว่าลูกเป็นคนโง่ที่ขี้อวดอีกด้วย เขาว่าลูกมีเงิน
อยู่นิดหน่อย แต่ชอบให้เงินแก่ขอทานและคนยากจน เขาว่า
ลูกอยากให้ใครๆ มองว่าตนเองเป็นคนมั่งมีจึงทำเช่นนั้น ทั้ง
ที่จริงๆ แล้วการค้าของลูกได้กำไรเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”
พ่อของชาญชัยว่า
“ทำไมเป็นเช่นนั้นล่ะลูก ไยเจ้าไม่เอาอย่างน้อง ลองไปดูสิ
ตอนนี้กิจการของน้องขยายใหญ่โตไปถึงต่างเมืองแล้ว น้อง
เอาแต่ทำงานไม่ได้หลับได้นอน เพื่อหาเงินหาทองให้ได้
มากๆ.แต่ดูเจ้าสิ หลายปีผ่านไปแล้วยังไม่เห็นมีอะไรเปลี่ยน
แปลงเลย แล้วอย่างนี้เมื่อไรเจ้าจะรวยเหมือนน้องสักทีเล่า”
แม่ของชาญชัยกล่าวอย่างเป็นห่วง
“พ่อกับแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก แม้ฉันจะไม่ได้ร่ำรวย แต่มี
ความสุขมาก ฉันชอบนั่งสมาธิและสวดมนต์เพราะนั่นทำใจ
ฉันสงบ และมีสุขภาพแข็งแรงดี ไม่เจ็บไม่ไข้ ฉันชอบอ่าน
หนังสือธรรมะเพราะมีประโยชน์ ทำให้ได้ขบคิดถึงความจริง
ของชีวิต และนำมาปรับใช้กับตนเองได้ ถึงแม้จะไม่มีเงิน
มากมาย แต่ฉันก็ชอบช่วยเหลือคนยาก เพราะทำแล้วสบาย
ใจที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น ชีวิตฉันไม่ต้องการอะไรมาก เท่าที่
เป็นอยู่นี้ ก็ทำให้ฉันเกิดความสุขมากพอแล้ว ฉันไม่ขวน
ขวายในสิ่งที่ใหญ่โตแต่ทำลายความสุขอันแท้จริงของชีวิต
หรอกจ้ะ”
หลายปีผ่านไป โชติช่วงซึ่งกลายเป็นมหาเศรษฐีไปแล้วได้
รับเลือกให้เป็นกำนันดูแลหมู่บ้าน กำนันโชติช่วงนั้นเห็น
ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่ชายแล้วก็รู้สึกขัดหูขัดตาเป็นกำลัง
ด้วยความรู้สึกว่า ไยมหาเศรษฐีอย่างเขาจึงมีพี่ชายที่แลดู
กระจอกงอกง่อยเช่นนี้ ดังนั้นวันหนึ่ง โชติช่วงจึงให้คนไป
ตามชาญชัยมาพบ
เมื่อชาญชัยมาถึง โชติช่วงก็พาพี่ชายเดินชมบ้านไม้สักอัน
ใหญ่โตโอ่อ่าของเขาอย่างภาคภูมิใจในฐานะของตน เมื่อ
ได้ชมบ้านจนทั่วแล้ว ชาญชัยกับโชติช่วงจึงได้นั่งคุยกัน
“บ้านของฉันใหญ่โตหรูหราดีไหมเล่า ดูสิพี่ นี่คือน้ำพักน้ำ
แรงของน้องชายพี่ทั้งนั้นล่ะ”
“บ้านจะใหญ่โตหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าอยู่แล้วมีความสุขหรือ
เปล่า”
ชาญชัยพูด
“ต้องมีอยู่แล้ว! ฉันมีเงินทองมากมายไว้ใช้จ่าย มีบริวารราย
ล้อมคอยรับใช้อยากได้อะไรก็ได้ทั้งนั้น นี่แหละคือความสุข
ล่ะ แต่ก็ช่างเถอะฉันไม่ได้เรียกพี่มาพบเพราะเรื่องนี้หรอกนะ
ฉันอยากพูดให้พี่สำนึกได้เสียที ว่าพี่ก็อายุมากขึ้นทุกๆ วัน
น่าจะคิดทำอะไรอย่างฉันบ้าง จะได้มีความเป็นอยู่ที่น่าดู
กว่านี้ อยู่ให้สมกับที่เป็นพี่ชายกำนันอย่างไรล่ะ”
“ไม่ล่ะ พี่พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่ตอนนี้แล้ว เจ้าก็เช่นกัน
ขวนขวายมากเกินไป สุดท้ายอาจก่อให้เกิดผลร้ายต่อตน
เองได้นะ”
ชาญชัยเตือนสติน้อง แต่นั่นทำให้โชติช่วงโกรธมาก เขา
ตบโต๊ะอย่างแรง แล้วหยิบหมากสีแดงที่วางอยู่ในถาดข้างๆ
ขว้างใส่หน้าพี่ชาย
“พี่เป็นคนโง่ ดังนั้นอย่าได้บังอาจเอาความโง่ของตนเอง
มาสั่งสอนคนอื่นเลย หมากสีแดงนั่นฉันมอบให้พี่ ในฐานะ
ที่เป็นคนโง่ที่สุดเท่าที่ฉันเคยพบมา ถ้าวันใดพี่เจอคนโง่
กว่าตนเอง ก็จงมอบหมากสีแดงนี้ให้เขาไปแทนเถอะ”
โชติช่วงตะโกนใส่พี่ชายด้วยอารมณ์มุทะลุดุดัน แต่ชาญชัย
ไม่ได้กล่าวว่าอะไรน้องชาย เขาเก็บหมากสีแดงใส่กระเป๋า
เสื้อแล้วจึงกลับบ้าน
สามปีผ่านไป ชาญชัยได้รับข่าวว่ากำนันโชติช่วงกำลังป่วย
หนักด้วยโรคมะเร็งขั้นรุนแรง มีความทุกข์ทรมานอย่างแสน
สาหัส และกำลังจะเสียชีวิตในอีกไม่กี่วันนี้ ชาญชัยจึงรีบ
เดินทางไปเยี่ยมน้องชายที่บ้านไม้สักอันใหญ่โตหรูหราของ
เขา และเมื่อได้พบกับน้องชาย ชาญชัยก็พบว่าโชติช่วง
ผอมซีดเซียวเป็นอย่างมาก
“เป็นอย่างไรบ้างโชติช่วง”
ชาญชัยถามน้องชาย
“เจ็บปวดทรมานมาก คิดว่าคงใกล้จะไปเต็มทีแล้ว”
โชติช่วงตอบอย่างคนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง
“แล้วเจ้าเตรียมการไว้พร้อมหรือยัง ว่าจะเอาเงินทองติดตัว
ไปด้วยมากเท่าไร”
ชาญชัยถาม โชติช่วงฟังคำถามพี่ชายก็งวยงง แต่ก็ตอบ
กลับไปว่า
“เมื่อตายแล้วจะเอาไปอย่างไรล่ะพี่ แม้แต่สลึงเดียวก็ไม่มี
ทางเอาไปได้หรอก”
“แล้วสั่งบริวารให้ไปคอยต้อนรับเจ้าที่นั่นหรือไม่ ลูกเมียเจ้า
ล่ะ ให้ตามไปด้วยหรือเปล่า”
ชาญชัยยังคงป้อนคำถามต่อ
“ที่พี่พูดมานั่น...ฉันเอาอะไรไปด้วยไม่ได้เลยสักอย่าง”
โชติช่วงตอบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ชาญชัยก็หยิบหมากสีแดงที่โชติช่วงเคย
ให้ ส่งคืนแก่เขา โชติช่วงมองหมากสีแดงอยู่ครู่หนึ่งจึงนึก
ออก
“อะไรกัน พี่เอาหมากสีแดงมาให้ฉันทำไม”
โชติช่วงร้องอุทานด้วยความตกใจ ชาญชัยจึงกล่าวแก่น้อง
ชายว่า
“เพราะเจ้าคือผู้ที่โง่เขลากว่าพี่น่ะสิ... ทั้งๆ ที่เจ้าก็รู้ดีว่า คน
เราเมื่อถึงคราวต้องจากโลกนี้ไป จะไม่มีทางเอาอะไรไปได้
เลยแม้แต่อย่างเดียว แต่เจ้าก็ยังขวนขวายทำงานหนัก จน
สุขภาพทรุดโทรมและส่งผลถึงชีวิตในวัยนี้ เหล่านี้คือการ
กระทำที่โง่จริงๆ พี่จึงต้องมอบหมากนี้คืนกลับเจ้าไป
เมื่อโชติช่วงได้ฟังดังนั้นก็คิดได้ทันที เขาได้เรียนรู้บทเรียน
ที่สำคัญของชีวิตว่า แทนที่จะมุ่งมั่นศึกษาธรรมะเพื่อความ
สุขอันแท้จริง เขากลับสูญเสียเวลาไปมากมายกับสิ่งที่หา
ได้เป็นความสุขอันแท้จริงไม่ และเมื่อตายไปก็เอาสิ่งเหล่านี้
ไปไม่ได้เลยสักอย่าง เสมือนว่า ที่เหนื่อยมาทั้งชีวิตนั้นเป็น
เรื่องที่สูญเปล่าไปโดยสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม สำหรับโชติช่วงกว่าที่เขาจะได้เรียนรู้บทเรียน
สำคัญในชีวิตบทนี้ ก็เป็นเวลาที่สายเกินไปเสียแล้ว
......เธอทั้งหลาย.....
อย่าให้ชีวิตของเธอต้องเรียนรู้บทเรียน ที่สำคัญของการใช้
ชีวิตเมื่อสายไปแล้วดังเช่นโชติช่วงเลย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มี
ใครรู้หรอกว่าชีวิตของคนๆ หนึ่งนั้น จะยืนยาวสักเท่าไร วันนี้
เธออาจจะยังยิ้ม เดิน เล่น หรือหัวเราะกับคนรอบข้างอย่าง
ขบขัน แต่พรุ่งนี้อาจจะต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่มีใครคาด
คิด ...ความไม่แน่นอนนี้แหละ คือความจริงของชีวิตที่เธอ
ต้องระลึกไว้เสมอ
ดังนั้น จงอย่าเสียเวลาอันมีค่าในชีวิตของเธอไปกับสิ่งที่หา
ประโยชน์ไม่ได้ แต่จงใช้ชีวิตของเธอให้เกิดประโยชน์สูงสุด
และคุ้มค่าอยู่เสมอ การสวดมนต์นั่งสมาธิ เป็นสิ่งหนึ่งที่สำ
คัญที่เธอควรหมั่นฝึกฝนเอาไว้ เพราะสิ่งนี้จะติดไปกับวิญ
ญาณของเธอ และเป็นเสมือนทรัพย์สมบัติอันมีค่าที่เธอจะ
นำไปใช้ในชีวิตหลังความตายได้
......จบเรื่องหมากสีแดง.....
แหล่งที่มา : จาก 'แนวทางสู่ความสุข'
โดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
โฆษณา