25 พ.ย. 2021 เวลา 14:43 • สุขภาพ
การแพทย์แผนจีน อีกทางเลือกรักษาโรคด้วยหลักสมดุล
น่าแปลกที่เมื่อโลกเข้าสู่ยุคดิจิทัล ยิ่งกลับทำให้คนโหยหาธรรมชาติ กลัวสารเคมี ดังนั้นศาสตร์อะไรก็ตามที่แนบชิดธรรมชาติ จึงได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึงการรักษาโรคด้วยการแพทย์แผนจีน ซึ่งตอนนี้เป็นอีกทางเลือกที่ได้รับการยอมรับ
โดยปัจจุบันประเทศไทยมีสถานบริการด้านการแพทย์แผนจีนกระจายอยู่ทั่วประเทศ รวมแล้วกว่า 300 แห่ง เป็นศูนย์แพทย์แผนจีนที่อยู่ในโรงพยาบาลของรัฐ จำนวน 224 แห่ง ซึ่งสามารถเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลได้ตามสิทธิ และสถานพยาบาลที่เป็นภาคเอกชน จำนวน 103 แห่ง
ตามหลักการแพทย์แผนจีนจะรักษาแบบองค์รวม ไม่ได้มองเป็นโรคๆ และจัดยารักษาเฉพาะโรค โดยแก่นการรักษาจะให้ความสำคัญไปที่ “ชี่” (气) หรือ ลมปราณ ซึ่งเป็นสสารขนาดเล็กมากที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายเราทุกคน ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของร่างกาย ลมปราณจะเคลื่อนไหวขึ้น ลง ออก เข้า เมื่อใดที่ลมปราณเคลื่อนที่ไม่สมดุล อวัยวะก็จะทำงานได้ไม่สมบูรณ์ไปด้วย และเมื่อไหร่ที่ลมปราณไม่มีการเคลื่อนไหว ก็หมายถึงชีวิตสิ้นสุดลง
โดยชี่ในร่างกายจะแบ่งเป็น อิน และ หยาง หรือหยินหยางที่เรารู้จักนั่นเอง โดยในชี่อินนั้น มีความหนาวเย็น ส่วนชี่หยางนั้นมีความอุ่นร้อน อินและหยางในร่างกายจะต้องทำงานอย่างสมดุล หากไม่สมดุลจะทำให้เกิดโรคได้ เช่น เมื่อไหร่ที่เรากินอาหารไม่ดี ได้รับมลพิษ หรือเกิดความเครียด มีอารมณ์ขุ่นมัว ก็จะทำให้หยินและหยางเสียสมดุล แผนจีนเชื่อว่าก่อให้เกิดการเจ็บป่วย
การรักษาแบบแพทย์แผนจีนมีอะไรบ้าง? เรามาคุยกับ หมอจีนศรัณยพงศ์ โพธิประสิทธิ์ ซึ่งเป็นหมอหนุ่มที่ศรัทธาในการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนตั้งแต่เด็ก และเลือกเรียนแพทย์แผนจีนที่วิทยาลัยนครราชสีมา ความศรัทธาทำให้เขาได้เกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อยิ่งไปฝึกปฏิบัติที่โรงพยาบาลการแพทย์แผนจีนแห่งเมืองเฉิงตู ในประเทศจีน รวมกว่า 6 เดือน ยิ่งทำให้เขามั่นใจในการรักษาตามแบบแผนจีน
ความเชื่อมั่น และศรัทธาของหมอศรัณยพงศ์ ทำให้วันนี้ “เทียนซินคลินิก” ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลพลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ของเขา มีคนไข้เข้ามาไม่ได้ขาดจากทุกภาคของประเทศด้วยอาศัยปากต่อปาก โรคที่มาให้เขารักษา อันดับ 1 คือ หลอดเลือดสมอง ราว 50% อันดับ 2 ออฟฟิศซินโดรม ซึ่งมาด้วยอาการปวดคอบ่าไหล่ 20% อันดับ 3 หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท 10 กว่า% อันดับ 4 พอๆ กัน คือ ข้อเข่าเสื่อม อันดับ 5 ไมเกรน ราวๆ 5%
เขา เล่าว่า คนไข้ที่มาให้เขารักษาต้องเรียกว่า มาด้วยอาการไม่ธรรมดาแล้วทั้งนั้น นั่นหมายถึงไปรักษามาหลายศาสตร์ แต่ไม่ได้ผลในระยะยาว ก็เลยมองหาการรักษาด้วยแผนจีน
หมอศรัณยพงศ์ อธิบายถึงโรคหลอดเลือดสมองว่า ตามสมมติฐานของแผนจีน ปัจจัยก่อโรคมาจาก 5 สาเหตุคือ ลม ไฟ เสมหะ เลือดคั่ง และภาวะพร่องในร่างกาย ทั้ง 5 ปัจจัยมาอุดกั้นทวารสมอง ซึ่งตามตำราแผนจีนโรคหลอดเลือดสมอง แยกเป็น 2 กลุ่มอาการ คือ โรคกระทำต่อเส้นลมปราณ (จ้งจิงลั่ว) อาการหลัก คือ ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง อัมพฤกษ์อัมพาตครึ่งซีก
และโรคกระทำต่ออวัยวะภายใน (จ้งจั้งฝู่) หมายถึงอาการรุนแรงแล้ว นอกจาก ใบหน้าเบี้ยว ปากเบี้ยว แขนขาอ่อนแรง อัมพฤกษ์อัมพาตครึ่งซีกแล้ว จะมีการกำมือแน่น เกร็ง ท้องผูก ปัสสาวะไม่ออก หายใจแรง กัดฟัน เป็นต้น อาจมีปัญหาไปถึงการไม่มีสติรับรู้
อย่างไรก็ตามโรคนี้หากมาหาหมอ หลังจากวันที่มีอาการไม่เกิน 3 เดือน หรือไม่เกิน 6 เดือน โอกาสหายได้มากถึง 80-90% แต่ก็ต้องอยู่ที่พฤติกรรมของคนไข้ด้วย ต้องเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทั้งหมด และหันมาใส่ใจสุขภาพอย่างจริงจัง เพราะโรคนี้โอกาสกลับมาเป็นใหม่ก็ได้ด้วยเช่นกัน หากเพิ่งมาหาหมอหลังจากเป็นมาหลายปี ก็ยากที่จะฟื้นตัว แต่ก็มีบางรายยังต้องการให้หมอรักษา เพราะเขาคิดว่าแม้ฟื้นตัวเพียงเล็กน้อย ก็ทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้นแล้ว
วิธีรักษาหลักๆ ในการตรวจผู้ป่วยที่มาหาครั้งแรก หมอศรัณยพงศ์ จะให้กรอกประวัติอย่างละเอียด มีการซักถาม การจับชีพจร การมองลักษณะภาพรวมของผู้ป่วย เช่น ใบหน้า การตรวจลิ้น หากเป็นฝ้าขาวมากๆ แสดงถึงสมดุลที่เสียไปของร่างกาย
ส่วนวิธีการรักษาก็จะมีการฝังเข็ม การครอบแก้ว การรมยา และยากิน ทั้งยาลูกกลอน และยาสมุนไพรจีน แบบผงสกัด เพื่อปรับสมดุลในร่างกายใหม่ ซึ่งโรคอื่นๆ ก็จะได้รับการรักษาหลักๆ แบบนี้เช่นเดียวกัน แต่ที่แตกต่างคือยาสมุนไพรสกัดที่ต้องจัดให้เหมาะกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งเขานำเข้าจากประเทศจีนทั้งหมด
สำหรับการรักษาแต่ละแบบ ทำอย่างไรเรามาดูกัน ในส่วนของการ การฝังเข็ม ซึ่งเป็นการรักษาหลัก จะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กและบางฝัง เข้าไปยังจุดต่างๆ ของร่างกายตามเส้นลมปราณ แบบเบามือ จากนั้นอาจมีการหมุนหรือขยับเข็ม เพื่อสร้างพลังงานความร้อน และกระตุ้นด้วยไฟฟ้าแบบอ่อนๆ เข้าไปตามเข็มนั้นๆ โดยระยะเวลาการฝังเข็มส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณ 15 นาที
การครอบแก้ว เป็นการนำวัตถุลักษณะคล้ายถ้วย มาทำให้เกิดสุญญากาศ และครอบลงตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งภาวะสุญญากาศในแก้วจะดูดเลือดมายังผิวหนังบริเวณที่ครอบแก้วลงไป ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว
การรมยา เป็นการเผาสมุนไพร เพื่อรมยาบริเวณผิวหนัง และการอบความร้อนด้วยโคมไฟ มักใช้ร่วมกับการรักษาด้วยวิธีการฝังเข็มหรือครอบแก้วเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ส่วนยาจะเป็น
สมุนไพรจีน มีทั้งแบบลูกกลอน และแบบสกัด แยกเป็นซองชงรับประทาน ไม่ต้องต้มให้เหนื่อยอีกต่อไป
และนอกจากโรคฮิตที่มีคนไข้มาหาหมอจีนศรัณยพงษ์ให้รักษาแล้ว ก็มีหลายโรคที่รักษาได้ด้วยการแพทย์แผนจีน โดยเฉพาะโรคนอนไม่หลับ รวมถึงภูมิแพ้ผิวหนัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถรักษาในเรื่องสิว ฝ้า กระ แล้วก็การลดความอ้วนด้วย สำหรับการรักษาแต่ละโรคจะต้องต่อเนื่องเป็นคอร์ส 10-20 ครั้ง หรือประมาณสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งโดยเฉลี่ย ค่ารักษาหลักพันต่อคอร์สไปจนถึงหลักหมื่น
ป้าบุญจันทร์ อายุ 61 ปี อาชีพทำไร่ทำนาในตำบลพลูตาหลวง หนึ่งในคนไข้ของหมอศรัณยพงษ์ ซึ่งมาให้หมอรักษาด้วยอาการปวดกล้ามเนื้อ จนเดินเหินยาก แถมมาด้วยอาการชาตามแขนขา และมีอาการเวียนหัว จนทำมาหากินไม่ได้ การนอนในแต่ละคืนเป็นเรื่องยากสำหรับป้า แก เล่าว่า รักษามาหลายทางแล้ว ทั้งทางแพทย์แผนปัจจุบัน ไปจนถึงไสยศาสตร์ รวมถึงการนวดด้วย แต่ก็ไม่ได้ผล “หายแป๊ปๆ ก็เป็นอีก” จนเห็นเพื่อนบ้านที่เป็นคนไข้ของหมอมารักษาแล้วอาการดีขึ้น ตอนนี้เธอมาหาหมอ 4-5 ครั้งแล้ว อาการต่างๆ ทุเลาลง เมื่ออาการทางกายดีขึ้น เธอก็นอนหลับได้ ส่วนค่ารักษา ป้า บอกว่าไม่ต่างจากที่เสียเงินให้กับหมอนวด เพราะป้านวดจนบ่อยมากจนนวดให้คนอื่นได้แล้ว แต่อาการต่างๆ ก็ไม่หายไป
การที่หมอศรัณยพงศ์ เป็นที่รู้จักของชาวบ้าน เพราะได้จัดโครงการรักษาด้วยการฝังเข็ม 8 บาทให้กับผู้ยากไร้ โดยเดินสายไปตามชุมชนต่างๆ ต่อเนื่องมาหลายปี เพิ่งหยุดในช่วงโควิดนี่เอง หมอ บอกว่า หลังโควิด ก็จะทำต่อ เพราะ เลข 8 คือ อินฟินิตี้ เป็นการทำความดีไม่สิ้นสุดสำหรับเขา ซึ่งการทำโครงการนี้เองที่ทำให้หมอเป็นที่รู้จัก ลามไปถึงคนไข้ในจังหวัดอื่นๆ ที่ตีรถไกลทุกภาคมาให้หมอรักษาด้วย หมอศรัณยพงศ์ บอกว่า “ไม่เลือกปฏิบัติ ทุกคนคือคนไข้ของผม ที่ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด”
ตอนนี้ด้วยความสนใจการดูแลสุขภาพแบบองค์กรรวมตามแผนจีนที่ขยายวงมากขึ้น หมอศรัณยพงศ์ จึงขยายมาทำศูนย์ฟื้นฟูดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ เทียนซิน ตั้งในบริเวณเดียวกับคลินิกด้วย เพื่อการดูแลองค์รวมตั้งแต่อาหารบำบัดโรค และกิจกรรมประจำวัน เช่น วารีบำบัด นวดถุยหนา หรือศาสตร์การนวดแบบจีนและกวาซา หรือการใช้อุปกรณ์ลักษณะโค้งมน เช่น หยก เขาควาย ขูดบริเวณผิวหนังตามเส้นลมปราณ และบริเวณจุดฝังเข็มตามร่างกาย หรือการอบสมุนไพร เป็นต้น
การรักษาและดูแลสุขภาพตามแผนจีน ก็ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ควรไม่ควรมองข้าม แต่เมื่อตัดสินใจที่จะเข้ารับการรักษาแบบแพทย์แผนจีนแล้ว ผู้สนใจควรหาข้อมูลเกี่ยวกับคลินิกและเลือกใช้บริการสถานบริการสุขภาพที่ได้มาตรฐาน เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
#แพทย์แผนจีน #ฝังเข็ม #ศาสตร์จีน #ยาจีน #หลอดเลือดสมอง #สมุนไพรจีน #หยินหยาง
โฆษณา