28 พ.ย. 2021 เวลา 05:55 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] 30 - Adele
ยังแจ๋ว ยังเจ็บ
[รีวิวอัลบั้ม] 30 - Adele
-กิตติศัพท์ของนักร้องสาวแม่ลูกหนึ่งวัย 33 ปีจากเกาะอังกฤษ Adele Laurie Blue Adkins ที่ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่า เธอคนนี้มีชีวิตที่ก้าวกระโดดมากๆ พาเพลงตัวเองฮิตข้ามทวีปจนได้เป็นโกลบอลสตาร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในยุคนี้ ส่วนนึงมาจากความสามารถในการร้องเพลงถ่ายทอดออกมาได้อย่าง emotional ทรงพลังจนเป็นที่ยอมรับได้อย่างไม่ฟลุ๊ค การใส่ความหนักแน่นลงในบทเพลงบัลลาดเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ Diva น้อยคนจะทำตามกันง่ายๆ
-การยึดถืออุดมการณ์บางอย่างที่หนักแน่นจนน่าเข้าข้างด้วย ไม่ว่าจะเป็น การเน้นทำเพลงเยียวยาจิตใจคนฟัง เป็นกระบอกเสียงให้กับคนรุ่นเดียวกัน คนที่เผชิญชีวิตหย่าร้างมากกว่าออกแบบมาเน้นสร้างความบันเทิง viral ประเดี๋ยวประด๋าวบน TikTok การขอให้ Spotify เปลี่ยนการตั้งค่าปุ่ม Play ไม่ให้ Shuffle โดยอัตโนมัติเมื่อเล่นเพลงโหมดอัลบั้มเป็นอีกหนึ่งจุดที่ฮือฮาในการเปลี่ยนสิ่งที่หลายคนอาจมองข้าม แต่เป็นการเปลี่ยนวัฒนธรรมการฟังเพลงที่หลายคนมองข้าม ให้คนฟังได้ทำความเข้าใจในสิ่งที่ศิลปินต้องการจะสื่อเป็นลำดับกระบวนความมากกว่านี้
-การกลับมาในรอบ 6 ปีคราวนี้จัดว่าสมประสงค์ในแง่ของผ่านการตกตะกอนทางความคิด อเดลน่าจะคิดแล้วคิดอีกเผื่อไปด้วยว่า ทำยังไงไม่ให้คนฟังติดภาพจำของการเป็นสาว Diva ลูกคอบัลลาดจนเกินไป นี่จึงเป็นไดอารี่ชีวิตของสาวผู้ก้าวเข้าสู่เลข 3 ที่ไปไกลยิ่งกว่า coming of age แต่เป็นผู้ใหญ่ที่เจอประสบการณ์ที่เจ็บปวดเสียจนการเป็นผู้ใหญ่นั้นแทบจะไม่มีความหมายในการข้ามผ่านใดๆเลย เรายังคงเป็นเด็กที่แทบจะรู้น้อยกว่าที่เราคิดเสียด้วยซ้ำ
-ถึงจะเป็นคุณแม่แล้ว แต่ไม่วายที่จะตอกย้ำความไร้เดียงสาของตัวเองอย่างต่อเนื่อง นี่คือ divorce album ที่ซื่อตรงต่อตัวเองในแง่ของการไม่ฝืนใจ ไม่พยายามยื้อ การพยายามดีลจิตใจตัวเอง ดีลกับลูกชายที่อาจจะไม่เข้าใจว่าทำไมแม่ถึงได้แยกทางกับพ่อ ในเมื่อไม่เข้าใจไม่เป็นไร เธอทำเพลงเหล่านี้ไว้เป็นไดอารี่ให้ลูกชายของเธอสามารถกลับมาฟังได้ตอนโตอยู่แล้ว จะเห็นได้ว่าประเด็นเหล่านี้ถูกร้อยเรียงเป็นวัฏจักรชีวิตหลังหย่าร้าง ต่อให้ผู้ฟังยังไม่ผ่านประสบการณ์ชีวิตถึงขั้นนั้นก็สามารถเห็นภาพได้แจ่มชัด เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ไม่ต้องหาจุดเชื่อมโยงอะไรมาก แต่ก็ไม่ใช่ของง่ายที่จะยึดตามสูตรหรือแพทเทิร์นการเดินเพลงแบบเดิมๆ ซุกซ่อนด้วยสิ่งละอันพันละน้อยเสริมสาสน์เพลงให้หนักแน่นยิ่งขึ้น แอบมีความแหก tradition เดิมๆที่เธอเคยนำเสนอ มองภาพเป็นสตอรี่มากกว่าเดิม
-เปิดอัลบั้มด้วยความแปลกใหม่ที่ไม่เคยเห็นในงานของชุดก่อนๆอย่าง Stranger By Nature รอบนี้เธอเรียกใช้บริการจาก Ludwig Göransson โปรดิวซ์เซอร์อหังการสาย Score มาช่วยรังสรรค์ให้เหมือนเพลงตีมเปิดอัลบั้ม บีทกระหึ่มที่เราคุ้นเคยของ Ludwig เป็นตัวเสริมความหม่นจนน่าขนลุก อีกทั้งเธอยังใส่ความคารวะต่อศิลปินตำนานผู้ล่วงลับ Judy Garland จากการที่เธอได้ดูหนังอัตชีวประวัติเรื่อง Judy แล้วอินอย่างมากเลยอยากใส่ความวินเทจเข้าไป อีกทั้งลองใช้ทักษะการพรรณนาในการถ่ายทอดความละเหี่ยใจของตัวเองที่ได้เห็นใจอันแตกสลายไม่ต่างกับยืนเฝ้าหลุมศพของตัวเอง
-ต่อด้วย Easy On Me ซิงเกิ้ลแรกที่อยู่ในลำดับที่ 2 ด้วยความเหมาะเหม็งอีกเช่นกันด้วยท่วงทำนองบัลลาดอันแสนคุ้นเคยของเจ้าตัวเริ่มจะใส่ดีเทลการแยกทางความสัมพันธ์ในแง่ของการพยายามปรับตัวเข้าหากัน สุดท้ายก็ไปกันต่อไม่ได้ แทนที่จะเล่าออกมาด้วยบัลลาดจริงจัง แต่มาในโทนที่สว่างและคลี่คลายได้อย่างไม่น่าเชื่อ สมชื่อเพลงที่ใส่ความง่ายในการเข้าถึง ไม่ได้ยัดความขมขื่นของการเลิกราให้คนฟัง tense ให้เนือยเปล่า ในที่สุดการแยกทางแทบจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นผู้ใหญ่เลยด้วยซ้ำ
-ขมขื่นของจริงอยู่ที่แทร็คถัดไปอย่าง My Little Love ที่ไม่ได้พูดถึงน้อง Angelo ในเชิงอภิรมย์ในความภาคภูมิใจในตัวลูกชาย ที่ไหนได้เธอยอมคุกเข่าถ่ายทอดความรู้สึกผิดต่างๆนาๆที่ดันเป็นแม่ที่ไม่ดีพอ ไม่สามารถรักษาครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาได้ แน่นอนว่าเธอรักลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างสุดหัวใจ ชื่อเพลงก็บ่งบอกอยู่ น้ำเสียงที่ถ่ายทอดก็ไปในเชิงประนีประนอม เหนือสิ่งอื่นใดมันคือเพลงๆนึงที่เธอจงใจเป็นหนึ่งในหลักฐานยืนยันให้ลูกชายของเธอได้หยิบขึ้นมาฟังเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
-การแทรกด้วย voice memo บทสนทนาระหว่างเธอกับลูกจัดเป็นการเปิดประตูให้คนฟังได้ไปเห็นมุมส่วนตัวของเธอแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งการต้องการจะระบายให้เพื่อนเธอฟัง ซึ่ง ณ ตอนนั้นเพื่อนเธอดันไม่รับสายเลยเป็นข้อความเสียงคนเดียวโดดๆอย่างที่เห็น แสดงถึงความรู้สึกทั้งเหงา เศร้า หว่าเหว่ ทำตัวไม่ถูกกับการพยายามจะทำทุกอย่างให้ดีขึ้นโดยเฉพาะกับลูกชายสุดที่รักของเธอ นับว่าเป็นองค์ประกอบที่โคตรเรียลโดยไม่ต้องปรุงแต่งใดๆ ก่อนที่จะทิ้งทายด้วย instrument ลากความรู้สึกหม่นหมองยาวไปอีกที โดยไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงแล้ว
2
-พอผ่านไปสามเพลงแรก เริ่มเข้าสู่โหมดบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ตัวเองได้ออกไปปลดปล่อยบ้าง เริ่มจาก Cry Your Heart Out ที่ขอให้น้ำตามันอาบล้นแก้มเสียก่อน มาในแนว motown-raggae คอรัสที่แปลกกว่าเพลงไหนๆ ไม่ชินเลยครับกับการที่คนขาวมาคอรัสในแนวเพลงคนดำจริงๆ แต่ก็ถือว่าฟังได้ Oh My God เป็นความเซอร์ไพร์สที่อาจต้องอุทานตามชื่อเพลง จังหวะ Afrobeat สุดวูบวาบ ชวนโยกหัวผิดกับภาพจำที่ผ่านมาที่มาแนวโยกลีลาศเสียมากกว่า อย่างไรก็ดีมันคือเพลงที่สร้างสีสันให้กับงานเพลงที่ฉาบด้วยตีม personal อย่างไม่น่าเชื่อ ใครที่คาดหวังให้เจ๊แกทำเพลงแดนซ์ เพลงนี้น่าจะสมประสงค์ไม่มากก็น้อย
1
-ดูเหมือนว่า Oh My God จะค่อนข้างอยากเริงระบำพอสมควร เหมือยถูกดูดเข้าไปในโลกคนโสดสุดเหวี่ยงอีกครั้ง ในขณะที่ Can I Get It มาในเชิงหยอดเชิงเต๊าะ มาในสไตล์อคลูสติคโฟล์ค-ป็อป จังหวะผิวปาก ภายใต้การรังสรรค์โดยคู่หู Max Martin และ Shellback พอมาเป็นสองคนนี้ปุ๊บรู้ทรงเลยว่า เริ่มวนไม่กี่สูตรแล้วจริงๆ เบรคอารมณ์ hangover ด้วยเพลงที่ไม่แน่ใจว่าจะแฮงค์กว่าเดิมรึเปล่า ที่แน่ๆเมาอย่างมีรสนิยมอย่าง I Drink Wine ขับเคลื่อนด้วยพลังบวกเปี่ยมสุขประหนึ่งนั่งจิบไวน์ชื่นชมคุณค่าตัวเอง โดยไม่ต้องไขว่คว้าที่จะเป็นคนอื่นให้มากนัก จริงๆแล้วแกไม่ได้จงใจที่จะให้คนฟังจิบไวน์ตาม แค่เปรียบเปรยถึงการใช้ชีวิตสำเริงสำราญก็เท่านั้น แก่นแท้จริงๆของเพลงนี้ก็คือการยอมลดทอนอีโก้ของตัวเองลงต่างหากที่สำคัญ มีประโยคที่เราโคตรเออออตามเลยก็คือ
They say to play hard, you work hard, find balance in the sacrifice
And yet I don’t know anybody who’s truly satisfied
2
-ท่อนนี้แม่งใช่เลย คนวัยทำงานน่าจะชอบ (แค่เอ่ยถึง อุปทานความแก่ของผู้เขียนทันที 😩) เหมือนเจ๊แกมองมาที่ตัวเองและคนอื่นๆเหมือนกันว่า ไอ้ที่ work life balance เนี่ยมันไม่มีจริงหรอก ใครมันจะทำได้ซักกี่คนเชียว เป็นอีกหนึ่งเพลงฟีลกู๊ดที่แทรกมาได้จรรโลงใจมาก 6 นาทีกว่าก็อิ่มเอมพอ 12 นาทีจะยืดเกินมั้ยหว่า ต่อมา All Night Parking อันนี้ก็เซอร์ไพรส์ตรงที่ไม่ได้มาเวย์เปียโนแจ๊สเรียบหรูแซมเปิ้ลจากศิลปินผู้ล่วงลับชั้นครู Erroll Garner เพียงอย่างเดียว ยังมีบีท trip-hop ตึบๆเจือด้วย ประหนึ่งเจ๊แกเพิ่งเจอรักใหม่ที่ทำให้ใจเต้นรัว บรรยากาศส่วนตัวภายใต้ฝนพรำ นานๆทีจะเห็นเจ๊แกทำเพลงสไตล์ฝันหวาน ร้องเพลงด้วยเสียงสองแอ๊บแบ๊ว อย่างว่ามันเป็นความรู้สึกดีที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบเท่านั้น
-หลังจากที่ออกไปท่องราตรี hang out ปิ๊งรักใหม่แค่แป๊บเดียว กลับถึงบ้านปุ๊บ ภาพเก่าของความสัมพันธ์ครั้งก่อนก็แว๊บขึ้นมา เธอก็ตัดพ้อสามีเก่าทันทีในเพลง Women Like Me มาในสไตล์บอสซ่าโนว่าสุดแห้งแล้งอิงบริบทใจที่เปล่าเปลี่ยว หาเหตุผลต่างๆนาๆของการเฟลในความสัมพันธ์ โทนการร้องยังคงประนีประนอมดูไม่เกรี้ยวกราด แต่แอบมาในเชิง diss ถ้าคนที่เธอกล่าวถึงโดยนัยได้ยินเพลงนี้อาจมีสะดุ้งได้ เพราะเล่นด่าสันดานดิบโต้งๆเลย ซึ่งเธอก็กลั่นความรู้สึกนี้ออกมาหลังจากหย่าร้างใหม่ๆด้วย
-ส่วน Hold On ที่เธอยกให้เป็น centerpiece ในอัลบั้มชุดนี้ก็มีแนวทาง self-worth จรรโลงใจไม่ต่างจาก I Drink Wine เช่นกัน เพียงแต่เพลงนี้เป็นการให้กำลังใจ มอบความหนักแน่นในตัวเองให้ใจเย็นเรื่องความรัก ให้เวลาเยียวยา ซักวันต้องเป็นของเรา ทั้งนี้เธอชวนเพื่อนๆของเธอในชีวิตจริงมาร่วมร้องเพลงนี้ด้วย มันเลยห้อมล้อมด้วยกลิ่นอายของมิตรภาพมากกว่านั่งคนเดียวจิบไวน์ชิวล์ๆ ความยาว 6 นาทีไม่แพ้กัน เอื้อนเยอะกว่า ช้าๆยืดๆสมชื่อเพลงเข้าไปอีก
1
-อีกหนึ่งแทร็คที่ยืดพอกัน แต่โชว์พลังเสียงได้จักสำคัญอย่าง To Be Loved นี่เป็นเพลงที่โคตร surrender เลยครับ ภายใต้การเค้นพลังเสียงทรงพลังอันหาที่สุดมิได้ ข้างในแม่งแตกสลายมากๆ โอเคชั้นยอมแพ้ดีกว่าหลอกตัวเองไปวันๆ ให้ทุกคนรับรู้ไปเลยว่าชั้นพยายามสุดตัวแล้วโว้ย
Ain’t it funny how the mighty fall?
Looking back I don’t regret a thing
-ชอบประโยคนี้เอามากๆ เป็นการทิ้งชื่อเสียงเงินทองไว้ข้างหลังเลย ยอมรับความล้มเหลวแต่โดยดี เป็นเพลงที่ตีความ “รักคือการเสียสละ” ได้อย่างแตกฉานมากๆ พลังเสียงขั้นสุดของเธอเป็นที่เอกฉันท์จริงๆว่า เธอคือ Diva คนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถถ่ายทอดเพลงนี้ได้อย่าง emotional หนักแน่นทุกอณู Tobias Jesso Jr. ที่เคยร่วมงานกับเธอในเพลง When We Were Young ในชุด 25 เหมือนแกจะถนัดให้อเดลเค้นศักยภาพขั้นสุดเหมือนกัน ต่อให้ภาคดนตรีไม่มีอะไรเลยนอกจากบัลลาดเปียโนเปลือยๆ แค่เสียงเจ๊ก็ไปไกลเกินกว่าจะโหมกระหน่ำด้วยดนตรีแล้วจริงๆ เป็นเพลงรองสุดท้ายที่สร้างโมเมนต์โลกหยุดหมุนได้จริงๆ ไม่แปลกใจที่เจ๊แกจะไม่พยายามแสดงสดเพลงนี้ เหมือนเปลือยหมดทุกสิ่งอย่างเพื่อลูกชายและความล้มเหลวในความสัมพันธ์ที่ผ่านมาแบบสัตย์จริงลงในเพลงนี้หมดแล้ว
-ปิดท้ายด้วยโมทาวน์สุดแช่มชื้นอย่าง Love Is A Game ที่ตัดพ้อเรื่องความรักที่ล้มเหลวแบบยิ้มทั้งน้ำตา กลเกมรักมีไว้เพื่อคนโง่อย่างเราหลงกลเข้าไปเล่นก็เท่านั้น มันโหดร้ายเกินไปที่จะก้าวข้าม ซับซ้อนเกินที่จะแก้โจทย์ ฟังดูตัดพ้อความรักในเชิงเข็ดแล้วจ้าที่รัก ทั้งนี้ด้วยโทนดนตรีที่มาในโทนบวก มโหรีออเครสตร้าจัดเต็มประหนึ่งเพลงละครเวทีก็ทำให้บริบทดังกล่าวไม่ได้ถูกย้อนแย้งด้วยสาสน์ของเพลง ต่อให้กลเกมรักที่เธอเข้าไปเล่นจะจบด้วยรักที่เป็นพิษ แต่เธอก็ไม่ปิดกั้นเรื่องความรัก จบอัลบั้มแบบทิ้งเชื้อแห่งความหวัง พร้อมมูฟออน เปิดหูเปิดตาเปิดใจต่อไป
-อย่างที่เคยได้รีวิวผลงานที่ผ่านมาในยุคนี้ การเน้นที่ความเนี๊ยบในงานเพลงอย่างเดียวไม่น่าจะพอ ปัจจัยที่จูงใจให้ผู้ฟังอยากจะฟังผลงานคุณเต็มรูปแบบจริงๆมันอยู่ที่กิมมิคการเล่าเรื่องด้วย อเดลเข้าใจสิ่งนี้ในการทำให้มันเป็น art การที่เธอเริ่มมีความ creative ในการร้อยเรียงด้วยนั้น ส่วนหนึ่งเธอเปิดรับอิทธิพลจากศิลปินทั้งในยุคอดีตและปัจจุบันเข้ามาปรับใช้ในผลงานเธอ แทบจะครูพักลักจำเลยก็ว่าได้ ซึ่งนั่นเป็นวิธีที่ดีครับ และทำในวิถีของตัวเองซะด้วย
-ยกตัวอย่างเช่น แทร็คเปิดอัลบั้ม Stranger By Nature เธอสังเกตวิธีการของ Judy Garland การแทรก voice memo ในเพลง My Little Love หรือในเพลงอื่นๆที่ทำหน้าที่ในลักษณะแชร์ความรู้สึกเล็กๆน้อยๆนอกเหนือจากการถ่ายทอดในรูปแบบขับร้อง เธอก็ยอมรับว่าได้ไอเดียมาจาก Tyler The Creator และ Skepta การแทรกด้วยแทร็คสั้น interlude ก็ดี การให้ความสำคัญในการจัดเรียงลำดับที่ออกมารัดกุมที่สุด ยิ่งจูงใจให้คนฟังยอมฟังแบบเต็มมากกว่าที่จะเลือกเพลงใดเพลงนึงมาฟังแยก หัวคิดศิลปินตัวจริงเริ่มบรรเจิดแล้ว ณ จุดนี้ ใครที่บอกว่าเจ๊แกยังเข้าสู่โหมดเพลย์เซฟ ขอเถียงอย่างเสียงแข็งเลย
-ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับการที่จะฟังอัลบั้มนี้แบบเรียงลำดับ ซึ่งผมขอย้ำเลยว่าโคตรสำคัญไม่ว่าจะอัลบั้มไหนก็ตาม ไม่ใช่แค่อัลบั้มนี้อัลบั้มเดียว แต่ข้อเสียของอัลบั้มมีจุดสะดุดไปถึงความไม่พอดีก็คือความยืดยาดในบางเพลงเนี่ยแหละ อย่าลืมว่านี่คืออัลบั้มที่มีแค่ 12 แทร็คที่กินเวลาเกือบชั่วโมง ถ้าศัพท์หนัง อัลบั้มนี้คงไม่ต่างจากหนังที่ดันแช่ฉากใดฉากนึงนานจนเกินไป ไหนจะเพลงสั้นที่ขั้นต่ำสามนาที เพลงความยาว 6 นาทีกว่าก็ปาไป 5 เพลงด้วยกัน
-ย้อนไปที่ Hold On ผมพยายามชอบเพลงนี้ เนื่องด้วยบริบทและไอเดียเพลงที่มอบพลังใจ สามารถซื้อใจผมได้เกินครึ่ง แต่เจ๊แกกลับเอื้อยอิ่งด้วยความ slow motion เกินไปเนี่ยแหละ เลยชอบได้ไม่เต็มที่เท่าไหร่นัก แต่เหนือสิ่งอื่นใด เสียงอันทรงพลังของเธอกลับทำให้ความยืดนั้นดันน่าฟังเป็นพิเศษตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเป็นประจักษ์คือเพลง To Be Loved เนี่ยแหละ ถ้าร้องเพี้ยน ถ่ายทอดไม่ถึงนี่เท่ากับกร่อยโดยอัตโนมัติเลย
-อย่างไรก็ดีการกลับมาในรอบ 6 ปีด้วยการเล่าชีวิตในช่วงเลข 3 ตอนต้นนั้นกลับฉายให้เห็นแง่มุมของนักร้องสาวผู้ทรงอิทธิพลในแบบ insight ที่ละทิ้งอีโก้ไม่โชว์เหนือเกินใครเลยด้วยซ้ำ มีแต่แพ้ในชีวิตส่วนตัว แพ้กับการรักษาความสัมพันธ์ทางครอบครัว แพ้ต่อลูกชายที่ดันจับไต๋ในความที่แม่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเขามากเท่าที่ควร ถึงขนาดอุตลิดพูดต่อหน้าแม่เลยว่า แม่เป็นผี แปลโดยนัยว่าไม่มีตัวตนในสายตาเขานั่นเอง มันไม่ใช่แค่พ่ายแพ้ แต่หลงทางสับสนปนเปในการต้องใช้ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวต่อจากนี้ นับว่าเป็น chapter 4 ที่โคตรขมขื่นจนสามารถตกผลึกความคิดได้เข้มข้นกว่าครั้งไหนจริงๆ บางทีอายุที่ล่วงเลยไปก็ไม่ได้ทำให้เรารู้อะไรมากมาย หากยังไม่เคยประสบพบเจอจริงๆ
1
ไม่เจ็บก็คงไม่เรียนรู้ จริงมั้ย?
Top Tracks : Stranger By Nature, Easy On Me, My Little Love, Oh My God, I Drink Wine, To Be Loved, Love Is A Game
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา