28 พ.ย. 2021 เวลา 14:03 • หนังสือ
สรุปหนังสือ 𝙇𝙄𝙈𝙄𝙏𝙇𝙀𝙎𝙎
#8_เทคนิคเรียนรู้เร็วอย่างก้าวกระโดด !!
1
1. อ่านให้เร็วขึ้น วิธีที่ทำให้อ่านเร็วขึ้นที่สำคัญมากที่สุดคือ “ต้องไม่ออกเสียงในหัวขณะอ่าน” สังเกตเมื่อเราอ่านทีละคำ จะมีเหมือนเสียงตัวเองพูดให้ตัวเองได้ยินอยู่ในหัว จุดนี้นี่แหละทำให้เราอ่านได้ช้า
เหตุผลก็คือ เมื่อคุณเห็นภาพท้องทะเลยามเย็น แค่เห็นแวบเดียวคุณก็เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าจะให้มาอธิบายว่าภาพที่เห็นเป็นอย่างไร มันจะยาวมาก เช่น น้ำทะเลสีคราม ตัดกับทิวเขา เกาะน้อยใหญ่ ถูกสาดด้วยแสงรำไรของอาทิตย์อัสดง เม็ดทรายขาวละเอียดทอดยาวไปตามชายฝั่ง……...และอีกมากมายที่อธิบายไม่หมด
2
เราใช้หลักการเห็นเป็นภาพกับการอ่านหนังสือ นั่นก็คือ จะมีบางคำที่ไม่ให้ความหมาย เราไม่จำเป็นต้องอ่าน หรือต้องออกเสียงเลย หรือคำช่วยเสริมบางคำที่ทำให้ประโยคสวยงาม แต่คำที่เป็นคีย์หลักที่ใช้สื่อความหมายนั้นมีน้อย
แต่อย่างไรก็ตาม การอ่านเร็วจะมีประโยชน์หลัก คือเน้นสำหรับการอ่านเพื่อเอาเมนพอยท์ แต่จะไม่เหมาะกับการอ่านเพื่อเสพอรรถรสหรือความงามทางวรรณกรรม
2. วิธีการที่ทำให้คุณจดจำสิ่งใดได้อย่างแม่นยำ ก็คือคุณต้องมีความสนใจใคร่รู้ และชอบเรื่องนั้นเป็นพื้นเพมาก่อน ถ้ายังไม่ผ่านข้อแรกจะทำให้การจดจำเกิดขึ้นได้ยาก จำไว้ว่า “ไม่มีใครอยากจำสิ่งที่ไม่ได้สนใจ”
3
แต่ถ้ามันไม่ใช่จริตของคุณจริงๆ คุณต้องมีตัวช่วยนั่นก็คือเทคนิคในการจำ
3
คุณไม่สามารถจำคำ 10 คำที่ไม่เกี่ยวข้องกันได้นานๆ การจำแบบทื่อๆ ท่องจำทำให้ใช้พลังงานอย่างมาก และที่แย่ไปกว่านั้นคือมันจำได้ไม่นานแล้วก็ลืม
เทคนิคที่สำคัญคือ #การเชื่อมจุด และนำมาต่อเป็นเรื่องราว เหมือนเราเดินเข้าห้อง แล้วเราเจออะไรบ้าง เทคนิคนี้ดีมากใช้สำหรับการเล่าเรื่องยาวๆ หรือการนำเสนอแบบไร้สคริปต์ ซึ่งเรียกความน่าเชื่อถือได้อย่างดี
ยกตัวอย่าง ถ้าคุณจะเล่าเรื่องกระต่ายกับเต่า คุณก็ลิสต์จุดเชื่อมออกมา เช่น ป่า กระต่ายปราดเปรียว เต่าช้า วิ่ง นอนหลับ เต่าชนะ เมื่อเราเห็นภาพทั้งหมดแล้ว เราก็เล่าตามลำดับภาพที่เห็น เราจะใส่รายละเอียดเข้าไปได้ระหว่างทางตามใจชอบได้เลย แม้ว่าคุณจะลืมรายละเอียด แต่ยังไงคุณก็จะเล่ามันได้จบเรื่องอย่างแน่นอน และที่สำคัญคุณจะเล่ามันออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมากๆ 📌📌📌
1
3. Top Quote ของเล่มนี้คือ
“อย่าย่อขนาดสิ่งที่คุณทำได้ให้พอดีกับความคิดคุณ แต่จงขยายความคิดคุณให้พอดีกับสิ่งที่เป็นไปได้”📌📌📌
โดยการปลดล็อกศักยภาพในตัวคุณ ใช้หลักการ 3M (ไม่ใช่กาวสองหน้า) นั่นก็คือ ความเชื่อ (Mindset) แรงผลักดัน (Motivation) และวิธีการที่ถูกต้อง (Method)
1
4. จะเกิดการกระทำอย่างยั่งยืน เมื่อ 3 สิ่งนี้สอดคล้องกัน !!
1. คุณคิดว่าตัวเองเป็นอย่างไร ? เช่น คิดว่าตัวเองเป็นคนขยัน ไม่ย่อท้อ มันคือความเชื่อที่คุณมองตัวคุณเอง
2. คุณมีค่านิยมแบบไหน ? ค่านิยมมีหลากหลาย แต่คุณต้องรู้ว่าคุณมีค่านิยมแบบไหน เปิดกว้าง หรือ ปลอดภัยไว้ก่อน ใช้ชีวิตหรือเก็บเงินเพื่อบั้นปลาย ชัดเจนหรือประนีประนอม ประสบการณ์หรือทรัพย์สิน
3. เหตุผลที่คุณต้องทำอะไรบางอย่าง ? ทำเพราะมีความสุขที่ได้ทำ หรือกลัวผลที่เกิดจากการไม่ทำ เช่น คุณออกกำลังกายเพราะกลัวจะไม่ได้อยู่กับครอบครัวไปนานๆ หรือออกกำลังกายเพราะชอบที่เห็นตัวเองหุ่นดี
ถ้า 3 ข้อนี้สอดคล้องกันจะปลดล็อดพลังในตัวคุณออกมา เพราะกลไกภายในมันสอดคล้องและไม่ขัดกัน
เช่น คุณเป็นคนเบื่อง่าย ไม่ชอบอะไรซ้ำๆ จำเจ
คุณมีค่านิยมว่าความใหม่ยังไงก็ดีกว่าอะไรเดิมๆ และเชื่อว่าความใหม่คือการพัฒนา
เหตุผลของคุณคือ
คุณต้องทำงานเพราะต้องการมีรายได้เพื่อใช้ชีวิต
ยกตัวอย่าง คุณทำงานเป็นเอเจนซี่จัดทริปท่องเที่ยว ก็น่าจะดูเป็นเหตุผลที่ดี เพราะคุณจะมีรายได้ และรายได้นั้นสอดคล้องกับตัวตนและค่านิยมของคุณ
บางคนชอบทำงานปราณีต ใช้เวลา แต่ไปอยู่ในบริษัทที่ทำงานขนส่ง ซึ่งมักมีแต่งานเร่งด่วน
บางคนชอบบริการลูกค้า แต่ทำงานจัดสต๊อกหลังร้าน
บางคนชอบงาน routine เพราะให้ความรู้สึกสบายใจควบคุมได้ แต่ได้งานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลา
กำลังจะบอกว่าลองหยุดใช้เวลาสักครู่ ประเมินตัวเองว่า เราเป็นคนแบบไหน มีค่านิยมอย่างไรนั้นสำคัญมากเพราะมันจะทำให้เราหันหัวเรือได้ถูกทิศและไม่เสียเวลากลางคัน ❤️
5. เทคนิคในการจดจำสิ่งที่อ่านให้ได้นานที่สุด ก็คือ คุณต้อง remind ข้อมูลด้วยตนเอง ไม่ใช่การเปิดหนังสือแล้วอ่านซ้ำ แต่คือการนึกสิ่งที่เราจำได้ด้วยตนเอง เล่าเป็นความเข้าใจของตน เทคนิคนี้มีการวิจัยรองรับ และหนังสือหลายเล่มก็เคยกล่าวถึงวิธีนี้ไว้
แต่แค่การ remind ยังไม่พอ คุณต้องเว้นระยะในการ remind อีกด้วย โดยจะจำได้มากสุดคุณต้อง remind ประมาณ 4 ครั้ง แต่ละครั้งเว้นระยะ 1-3 วันต่อครั้ง 🧠
6. สร้างรายการสิ่งที่ “ไม่ต้องทำ” เป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่ายแต่ทำได้ยากยิ่ง เนื่องจากถ้าเราไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เราอาจวนเวียนกับการทำกิจกรรมต่างๆที่ไม่สลักสำคัญ จนทำให้โดยรวมเราเหลือเวลาให้กับเรื่องสำคัญเพียงน้อยนิด
โปรดจำไว้ว่าแม้เราจะมีแรงผลักดันมากแค่ไหน เราก็มีเวลาจำกัดไว้เพียงเพื่อทำสิ่งที่สำคัญกับเรามากที่สุดเท่านั้น 📌📌📌
7. ทานอาหารช่วยบูสต์สมองอยู่เสมอ โดย 10 อันดับสุดยอดอาหารบำรุงสมอง ได้แก่ อะโวคาโด บลูเบอร์รี บรอกโคลี่ ดาร์กช็อกโกแลต ไข่ ผักใบเขียว ปลาแซลมอน ขมิ้น วอลนัต และน้ำ
8. อย่าวัดว่าเราฉลาดแค่ไหน แต่ควรวัดว่าเราฉลาดอย่างไร !!! เรามักมองความฉลาดเป็นความฉลาดด้าน การคิดคำนวณ แต่ความจริงแล้วมีความฉลาดหลากหลายด้าน เช่น ด้านมิติสัมพันธ์ การเคลื่อนไหว ดนตรี ภาษา มนุษยสัมพันธ์ เป็นต้น
เมื่อทุกคนมีสเปกตรัมความฉลาดแตกต่างกัน จึงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องเปรียบเทียบความฉลาดของตนกับผู้อื่น การรู้ว่าเราฉลาดอย่างไรจึงสำคัญกว่ามากเพราะมันทำให้เราเลือกใช้ศักยภาพได้สอดคล้องกับงานและเป้าหมายในชีวิต และช่วยลดการตัดสินตัวเองว่าไม่ฉลาดเพราะเพียงแค่คิดเลขไม่เก่ง
ไม่แน่บางทีการปัดฝุ่นความเชื่อที่ฉุดรั้งเหล่านี้อาจจุดชนวนให้คุณมีชีวิตที่ 𝙇𝙄𝙈𝙄𝙏𝙇𝙀𝙎𝙎 🔥🔥🔥
//พะโล้
#เรื่องย่อของหนังสือเล่มเยี่ยม
โฆษณา